พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 338
แผ่นหยกนี้เป็นดังที่เหม่ยจิ่งว่า ผลิตจากทะเลขนาบใจ ทว่าจดหมายฉบับนี้กลับส่งมาจากหลี่จื้อหย่วน
หลี่จื้อหย่วนก็คือนักบำเพ็ญเพียรปราชญ์ที่พบโดยบังเอิญที่ตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจในปีนั้น สมัยเด็กมั่วชิงเฉินยังมีวาสนาได้พบเขาครั้งหนึ่ง ยามอยู่ทะเลขนาบใจก็คุยกันอย่างถูกคอ
ในจดหมายพูดถึงสถานการณ์คร่าวๆ ของเขาในหลายปีมานี้ บัดนี้กำลังท่องเที่ยวฝึกตนอยู่ที่สิบทวีปตะวันออกพอดี เนื้อหามากมายไม่จบสิ้นมั่วชิงเฉินอ่านไปหนึ่งเค่อเต็มๆ กลับเขียนไว้ที่ท้ายจดหมายถึงภาพเหมือนที่เขาวาดในปีนั้นว่า ไม่ระวังถูกอาจารย์อาระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งเห็นเข้า อาจารย์อาท่านนั้นหลงใหลในความงาม หากเจอะเจอเข้าให้หลบไปให้ไกลหน่อย จากนั้นก็ปลอบใจอีกว่าหลบไม่พ้นล่ะก็ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล อาจารย์อาผู้นั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างอื่น…
มั่วชิงเฉินตกตะลึงอ้าปากค้าง หลี่จื้อหย่วนส่งจดหมายฉบับนี้มาไกลหมื่นลี้ เกรงว่าอาจารย์อาคนนั้นของเขาคงไม่ใช่เกาะแกะธรรมดากระมัง นี่ นี่เป็นเคราะห์ที่ไม่มีเค้ามาก่อนชัดๆ นี่นา!
ทว่าความกลัดกลุ้มนี้ถูกนางปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เกรงว่าหลี่จื้อหย่วนคงคิดไม่ถึงว่าตนก่อแก่นปราณแล้วกระมัง ยังไม่พูดถึงว่าเรื่องที่ยังไม่เกิดไม่จำเป็นต้องร้อนอกร้อนใจมาก ต่อให้บุกมาหาถึงที่ก็เถอะ นางยังต้องกลัวหรืออย่างไร ก้อนอิฐนั่นก็ไม่ใช่อยู่ว่างๆ นะ
ถึงวันออกเดินทางอย่างรวดเร็ว กู้หลีกักตน พอดีกับมั่วชิงเฉินเดินทาง ในขบวนจึงมีนางและเยี่ยเทียนหยวนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่าน
ได้ยินคนอื่นแนะนำมั่วชิงเฉินจึงรู้ว่า วิกฤตอสูรดำเนินถึงบัดนี้นักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ได้ตั้งเป็นสามค่ายแล้ว ยามนั้นที่หลิวซางเจินจวินพานางไปก็คือหนึ่งในนั้น
ยิ่งกว่านั้นผ่านการสู้รบมาหลายปีเพียงนี้ ผู้มีความสามารถในสำนักเล็กๆ และตระกูลบำเพ็ญเพียรมากมายโรยรา บัดนี้ผู้ที่ต่อต้านวิกฤตอสูรที่สำคัญก็คือสี่สำนักแปดนิกายและตระกูลขนาดใหญ่บางตระกูลแล้ว
ครั้งนี้ที่พวกเขาจะไปยังคงเป็นค่ายนั้น เพราะที่นั่นใกล้กับดินแดนทุรกันดารที่สุด เป็นสถานที่ที่การสู้รบดุเดือดที่สุด
ตลอดทางพบอสูรปีศาจหลายครั้ง ถูกมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนร่วมมือกันจัดการ ไม่ได้เสียเวลาเท่าไรก็ถึงเมืองเล็กๆ นั้นแล้ว
คนที่รักษาประตูยังคงเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนนั้น เห็นนักบำเพ็ญเพียรขบวนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดเหยากวงเข้ามา จึงรีบเข้าไปต้อนรับ
“ขอคารวะท่านนักพรตทั้งสอง!” ทั้งสองคนคารวะทีหนึ่งพอเงยหน้าเห็นมั่วชิงเฉิน แล้วอดชะงักไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนหน้าเย็นเป็นน้ำค้างแข็ง สายตาเย็นเยือกกวาดมองสองคนนั้นปราดหนึ่ง ทั้งสองรีบก้มหน้าเปิดประตูเมืองออก ทุกคนจึงเดินเข้าไป
จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของทุกคน นักบำเพ็ญเพียรที่เฝ้าประตูสองคนถึงหายใจออกยาวๆ
“ศิษย์พี่จ้าว นักบำเพ็ญเพียรหญิงท่านนั้น…นักบำเพ็ญเพียรหญิงท่านนั้นมารดาท่านช่างสวยจริงๆ!” นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังพูดพลางเช็ดหน้าผาก เมื่อครู่สายตาของนักพรตลั่วหยางทำให้เขาเหงื่อเย็นไหลพรากออกมา เขากระทั่งมีลางสังหรณ์บางอย่าง หากไม่เพราะปฏิกิริยาเร็วพอเบือนสายตาออก ไม่แน่สายตาของนักพรตลั่วหยางก็จะทำให้เขาแข็งตายได้
นักบำเพ็ญเพียรแซ่จ้าวเห็นชัดว่าก็โล่งอก “ศิษย์น้องหวัง อย่าพูดเหลวไหล ข้าเคยพูดนานแล้ว ปากเจ้านี่ต้องระวังหน่อย อย่าว่าแต่นักพรตลั่วหยางเลย ผู้อาวุโสท่านนั้นก็เป็นนักพรตระดับก่อแก่นปราณแล้ว เราวิจารย์ลับหลังเช่นนี้ หากถูกนางรู้เข้า เกรงว่าจำต้องแบกรับผลที่ตามมา”
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังแสยะปากอย่างโกรธเคืองว่า “ศิษย์พี่จ้าว อย่าบอกว่าเจ้ามองทีแรกไม่ได้เหม่อลอย ศิษย์น้องเห็นนะจะบอกให้”
นักบำเพ็ญเพียรแซ่จ้าวยิ้มระทมว่า “ใช่ ความมุ่งมั่นของเรายังด้อยไปหน่อย ดูท่ารักษาประตูเมืองครั้งนี้เสร็จ อย่างไรก็ไปฆ่าอสูรปีศาจดีกว่า รักษาประตูเมืองแม้ปลอดภัย กลับสบายเกินไปแล้ว จิตใจไม่ได้รับการขัดเกลา”
“จะไปเจ้าไป อย่างไรข้าก็รักษาประตูเมืองของข้าดีกว่านะ ศิษย์น้องคราวที่แล้วได้รับบาดเจ็บยังหายดีไม่สนิทเลย”
นักบำเพ็ญเพียรเหยากวงทีมนี้ของเยี่ยเทียนหยวนหลังจากเข้าไปรายงานตัว ก็ถูกแบ่งหน้าที่ให้อย่างรวดเร็ว เขาและมั่วชิงเฉินแยกกัน ต่างคนต่างนำทีมมุ่งหน้าไปกวาดล้างอสูรปีศาจ
“ศิษย์น้องชิงเฉิน ระวังตัวให้มากด้วย” เยี่ยเทียนหยวนพูดจบก็พาคนทีมหนึ่งบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
มั่วชิงเฉินเบือนสายตากลับมา ดูสมาชิกทีมของตนแล้ว เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ทุกคนตามข้าไปเถอะ”
ภารกิจของทีมของพวกเขาคือไล่ฆ่าหมาป่าอเวจี หมาป่าอเวจีเป็นอสูรปีศาจที่อยู่กันเป็นฝูง รับมือค่อนข้างยาก มีทีมย่อยสองทีมสูญเสียในสถานที่ที่หมาป่าอเวจีปรากฏตัวบ่อยๆ แล้ว มีเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่หนีรอด
ดีที่นักบำเพ็ญเพียรที่โถงภารกิจเตือนสติว่า จ่าฝูงของหมาป่าอเวจีบาดเจ็บอยู่ และก็เพราะเหตุนี้ถึงรีบส่งทีมไป
ทุกคนหยุดลงที่ป่าที่หมาป่าอเวจีปรากฏตัว
“แต่ไหนแต่ไรหมาป่าอเวจีปรากฏตัวเป็นฝูง ต่อให้จ่าฝูงบาดเจ็บไม่ปรากฏตัว ในฝูงหมาป่าก็ต้องมีอสูรปีศาจขั้นห้าแน่นอน ถึงเวลาอสูรปีศาจขั้นห้ามอบให้ข้า พวกเจ้าตั้งใจรับมือฝูงหมาป่า หลิวต้าฝาน ธงสี่ลักษณะยังคงให้เจ้าควบคุม คนที่เหลือฟังคำสั่งเขาทุกอย่าง ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ” มั่วชิงเฉินสั่ง
นางถามศิษย์ผู้ดูแลแล้ว จ่าฝูงในหมาป่าอเวจีฝูงนี้เป็นอสูรปีศาจขั้นหก เมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ในฝูงหมาป่าก็ไม่น่ามีอสูรปีศาจขั้นหกอีก อย่างมากก็มีขั้นห้าไม่กี่ตัว
“ขอรับ” ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียงกัน
“ไป” มั่วชิงเฉินโบกมือ ทุกคนเดินเข้าใกล้ป่าไปทีละก้าวๆ
ฝูงหมาป่าอเวจีนี้ไม่รู้กินแขนขาของนักบำเพ็ญเพียรไปเท่าไร ความรู้สึกไวเป็นพิเศษต่อกลิ่นอายของมนุษย์มานานแล้ว
ยังไม่รอพวกเขาค้นหาโดยเฉพาะ ก็มีเงาดำพุ่งออกจากพุ่มไม้ข้างๆ ดังสวบ แยกเขี้ยวอันแหลมคมกัดไปที่นักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ใกล้ที่สุดคนหนึ่ง
มั่วชิงเฉินมีใจดูระดับฝีมือของสมาชิกทีมเหล่านี้ จับก้อนอิฐไว้ในมือไม่ได้เคลื่อนไหว
จานค่ายกลในมือหลิวต้าฝานหมุนอย่างรวดเร็ว ธงสี่ลักษณะแต่ละสีส่องประกาย คนที่ตำแหน่งอยู่ด้านหน้าลงมือพร้อมกัน แสงวิญญาณคาถาอาวุธเวทโกลาหลไปหมด ได้ยินเพียงเสียงหอนอันโหยหวนของหมาป่าอเวจีดังขึ้นเสียงหนึ่งร่างกายระเบิดออก หมอกโลหิตพ่นไปทั้งแถบ
คนพวกนั้นหน้าไม่เปลี่ยนสี ดูเหมือนเตรียมตัวไว้ก่อนแล้วก็ไม่ปานถอยหลังไปพร้อมกัน หลบหมอกโลหิตไป
การตายของหมาป่าอเวจีกระตุ้นความโหดเ**้ยมของพวกเดียวกันขึ้น เพียงพริบตาก็พุ่งออกมาอีกหลายเงา สู้อย่างดุเดือดกับนักบำเพ็ญเพียรขึ้นมา
มั่วชิงเฉินมองอย่างใจเย็นไม่เข้าแทรก ที่นางต้องทำก็คือหาอสูรปีศาจระดับสูงให้พบทันท่วงที ลดความสูญเสียของฝ่ายตน
ผ่านไปหลายอึดใจ ก็ได้ยินเสียง ‘บรู๋ว’ หลายเสียงดังขึ้นราวกับเสียงครวญคราง ตามมาด้วยพลานุภาพที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางป่าเขาด้านหน้าหมาป่าอเวจีสามตัวปรากฏตัวขึ้นจากพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆ
พวกมันขนาดตัวเท่าลูกวัว ขนบนตัวดำเงาลื่นเหมือนผ้าต่วน ดวงตาทอแสงสีเขียว ดูแล้วทำให้คนรู้สึกหนาวจับใจ
สามตัวนี้ล้วนเป็นอสูรปีศาจขั้นห้า
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจขึ้นแวบหนึ่ง ปกติแล้ว แม้หมาป่าอเวจีจะอยู่กันเป็นฝูง จำนวนก็มีกำหนดไว้ ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างห้าถึงสิบสองตัวโดยประมาณ
ส่วนหมาป่าอเวจีฝูงนี้ เห็นชัดว่าจำนวนไม่เพียงแค่สิบสองตัว จำนวนของปีศาจหมาป่าชั้นสูงยิ่งเหนือความคาดหมาย
มิน่าถึงมีทีมย่อยสูญเสียไปสองทีมแล้ว
หมาป่าอเวจีขั้นห้าสามตัวนั้นร่วมมือเข้ากันได้อย่างรู้ใจเป็นพิเศษ หลังจากปรากฏตัวก็ไม่ได้โจมตีนักบำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้น หากแต่สาดสายตาไปที่มั่วชิงเฉิน
หนึ่งต่อสาม ลงมือก่อนได้เปรียบ!
มั่วชิงเฉินตัดสินใจได้ตั้งแต่ในชั่วพริบตาที่พวกมันปรากฏตัว ธนูชิงอิ่นปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นง้างธนูใส่ศร ศรทองคำที่หลอมจากแก่นแร่เพชรก็บินดังสวบออกไป เกิดเสียงแหวกฟ้าขึ้น
ศรทองคำบินวนอยู่กลางอากาศ มาถึงหน้าหมาป่าอเวจีตัวหนึ่งราวสายฟ้าแล้วหายเข้ากลางหว่างคิ้วมันดังสวบ
ไม่คิดว่าการป้องกันของหมาป่าอเวจีจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อหน้าศรทองคำ เพียงประจันหน้ากัน ก็ตายภายใต้ลูกศรแล้ว!
ธนู เป็นอาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างระยะไกลตามคาด
มั่วชิงเฉินโบกมือ ศรทองคำเปล่งเสียงร้องกังวาน จากนั้นถอยออกมากลับเข้ามืออย่างรวดเร็ว
และในยามนี้เอง หมาป่าอเวจีอีกสองตัวก็เข้ามาใกล้แล้ว
ธนูชิงอิ่นโผยโฉมครั้งแรกก็ฆ่าในการโจมตีครั้งเดียว แล้วหายเข้าร่างมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว จากนั้นอัญเชิญก้อนอิฐออก ตบไปที่หมาป่าอเวจีตัวหนึ่ง
ยามที่หมาป่าอเวจีอีกตัวหนึ่งพุ่งเข้ามา ไหมเกล็ดน้ำแข็งบินออกมาขวางมันไว้ด้านนอก มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น ตั้งใจบังคับแหวกฟ้า
ให้ข้าดูหน่อยเถอะ ว่าเจ้าแหวกฟ้าอย่างไร
มั่วชิงเฉินบังคับสมบัติวิเศษสองชิ้นในเวลาเดียวกัน ไม่กล้ายื้อการต่อสู้ สีหน้าเคร่งเครียด ตีเคล็ดวิญญาณหลายสายหายเข้าไปในก้อนอิฐ
ก้อนอิฐเป็นประกายสีทองแวววับทันที และก็ไม่ใหญ่ขึ้น รักษาหน้าตาของก้อนอิฐฟาดไปที่หมาป่าอเวจีทีละทีๆ
มั่วชิงเฉินสังเกตว่า ยามที่ก้อนอิฐเคลื่อนไหวขึ้นมาดึงให้กระแสอากาศรอบๆ ปั่นป่วน กลายเป็นปราณคมดาบมายมาย
หมาป่าอเวจีสองตัวโบกขาหน้า เสียงแคว้กๆ ดังขึ้นทันที เสียงของแข็งขูดขีดกระทบกันดังขึ้น ประกายไฟวูบวาบ
“บรู๋ววว…” หมาป่าอเวจีถอยหลังก้าวหนึ่ง กรงเล็บสั่น
มั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย แหวกฟ้าบีบเข้าไปใกล้อีกครั้ง
ต่อหน้าพลังเบ็ดเสร็จแผนการใดๆ ก็ไม่ได้ผล หมาป่าอเวจีมีชื่อเรื่องเขี้ยวแหลมเล็บคม รูปร่างปราดเปรียว ทว่าข่วนลงบนแหวกฟ้ากลับไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่รอยเดียว เพียงชั่วครู่ก็ถูกแหวกฟ้าบีบจนต้องถอยหลังไปเรื่อยๆ
ไหมเกล็ดน้ำแข็งสั่นสะเทือน มั่วชิงเฉินกังวลแวบหนึ่ง แล้วไม่ลังเลอีก นิ้วมือพลิ้วตีเคล็ดวิญญาณหลายสิบสายออกไป แหวกฟ้าที่เดิมขนาดเท่าก้อนอิฐโตขึ้นในทันใด
หมาป่าอเวจีที่ถูกบีบจนถอยหลังดูเหมือนรู้สึกถึงอันตราย แสงสีเขียวในตาวาบขึ้น หันหลังจะหนี
“คิดหนี?” มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง โคจรพลังวิญญาณที่มากขึ้นซัดไปที่แหวกฟ้า
ความเร็วในการใหญ่ขึ้นของแหวกฟ้ายิ่งน่าตกใจ ในชั่วอึดใจก็โตขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ แล้วทับไปที่หมาป่าอเวจีโดยพลัน เสียงโครมครามดังขึ้นเสียงหนึ่ง ตามด้วยเสียงโหยหวนเสียงหนึ่ง
ฝุ่นควันกระจายไป หมาป่าอเวจีเลือดไหลออกจากมุมปากและตา ถูกทับอยู่ใต้ภูเขาลูกย่อมๆ
หมาป่าอเวจีตัวที่เหลือเห็นท่าไม่ดี หันหลังจะหนี
ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่เดิมทีแปลงเป็นกำแพงเกล็ดปลาบานหนึ่งต้านการจู่โจมของมันแปลงเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งทันที ขวางไว้หน้าหมาป่าอเวจีอย่างรวดเร็ว แล้วแปลงกลับเป็นกำแพงเกล็ดปลาขวางทางไปของมันไว้อีกครั้ง
“บรู๋ว…” หมาป่าอเวจีขาหน้าสองข้างยกขึ้นสูง จากนั้นลดลงมาจ้องมั่วชิงเฉินที่เดินเข้ามาเขม็ง
มั่วชิงเฉินไม่ได้มีนิสัยพูดจาไร้สาระในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ สุดท้ายปล่อยให้ศัตรูรอกองหนุนมาช่วยหรอกนะ โบกมือเก็บก้อนอิฐกลับมาแล้วก็บุกขึ้นไป
หมาป่าอเวจีถูกบีบจนไม่มีทางถอยอีก เห็นมั่วชิงเฉินบุกเข้ามาก็ปลดปล่อยความโหดร้ายออกมาเช่นกัน ขาหลังออกแรง พุ่งขึ้นฟ้าไปทั้งตัว
“กร๊วบ” เสียงหนึ่ง หมาป่าอเวจีกัดก้อนอิฐในมือมั่วชิงเฉินไว้
มั่วชิงเฉินแบ่งมือออกมาข้างหนึ่งอัญเชิญกระจกหลิงฮวาออกมา กระจกหลิงฮวาเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาสายหนึ่ง หมาป่าอเวจีหลับตาโดยไม่รู้ตัว
ฉวยโอกาสที่มันเผลอ มั่วชิงเฉินออกแรงดึงก้อนอิฐกลับมา พลิกมือฟาดใส่หน้าหมาป่า
ตามด้วยเสียงโหยหวนของหมาป่า หมาป่าอเวจีถูกตบเข้าเต็มๆ
ฉวยโอกาสที่กระเสาะกระแสะจงเอาชีวิตเสีย มั่วชิงเฉินเหวี่ยงแขนเป็นวงฟาดลงไปทีแล้วทีเล่า หมาป่าอเวจีถูกตบจนหัวหมุน อ้าปากกระอักเลือดออกมา ยังปนเขี้ยวแหลมออกมาซี่หนึ่งด้วย
รอถึงหมาป่าอเวจีร้องโหยหวนติดๆ กันล้มตึ้งลงพื้น มั่วชิงเฉินเดินขึ้นไปก้าวหนึ่งเอามุกปีศาจของมันออกมาอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี จากนั้นเอามุกปีศาจของหมาป่าอเวจีอีกสองตัวออกมา
จู่ๆ รู้สึกว่าสถานการณ์เงียบสงบเกินไป เมื่อหันหน้าดู ศิษย์เหยากวงทั้งหลายกำลังเบิกตาโพรง จ้องมองนางอย่างงงัน