พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 340
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านไม่เป็นไรนะ?” มั่วชิงเฉินเห็นบนตัวเยี่ยเทียนหยวนเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ยังมีเลือดสดๆ ทะลักออกจากบาดแผลไม่หยุด จึงอดถามไม่ได้
ในใจก็แอบนับถือ เผชิญหน้ากับอสูรปีศาจขั้นหกสองตัวอสูรปีศาจขั้นห้าสามตัวไม่นึกว่าจะสามารถอดทนมาถึงบัดนี้ หากเปลี่ยนเป็นตนยามอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางอาจทำไม่ได้?
ศรสามดอกที่นางยิงออกพร้อมกันดูแล้วร้ายกาจ พลิกสถานการณ์ทันที ที่จริงสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาศัยการลอบโจมตี ยิ่งกว่านั้นเดิมทีปีศาจจิ้งจอกสามตัวนั้นก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนทำร้ายบาดเจ็บแล้ว
“ไม่เป็นไร เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น” เยี่ยเทียนหยวนพูดพลางหยิบขวดหยกประณีตออกใบหนึ่ง สาดผงข้างในไว้บนบาดแผล คิ้วไม่แม้แต่จะขมวดสักที มั่วชิงเฉินกลับเห็นบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกตั้งหลายแผล
เพราะปีศาจจิ้งจอกชั้นสูงตายแล้ว พวกจิ้งจอกน้อยนั่นลุกลี้ลุกลนหาทางหนีใหญ่ ศิษย์เหยากวงกำลังใจฮึกเหิม ไม่นานนักก็ฆ่าพวกมันจนสิ้นซาก ยืนอยู่ข้างๆ รอพวกมั่วชิงเฉินสองคนออกคำสั่ง
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง เราฟื้นฟูพลังวิญญาณสักครู่ค่อยเดินทางเถอะ” มั่วชิงเฉินเสนอ และก็เพราะกลัวเขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวด้วย
“อืม” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า
ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดสนามรบ เก็บศพจิ้งจอกทั้งหมดขึ้น เก็บกวาดร่องรอยการต่อสู้ แล้วพ่นของเหลวชนิดหนึ่งกลบกลิ่นคาวเลือด แล้วถึงหยุดลงมานั่งสมาธิ
เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เวลานั่งสมาธิต้องนานกว่านักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสักหน่อย
มั่วชิงเฉินหลังจากลืมตาเห็นเยี่ยเทียนหยวนยังหลับตานั่งสมาธิอยู่ กำลังคิดจะลุกขึ้นเสียงคุยกันของศิษย์ระดับสร้างรากฐานสองสามคนกลับลอยข้ามมา
“พวกเจ้าไม่ได้เห็นกับตา อาจารย์อาชิงเฉินร้ายกาจจริงๆ นะ เผชิญหน้ากับหมาป่าอเวจีขั้นห้าสามตัวโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี เพียงครู่หนึ่งก็จัดการได้แล้ว”
“จริงหรือ?” คนที่ถามนี่เห็นชัดว่าเป็นสมาชิกทีมของทีมเยี่ยเทียนหยวนนั่น
“ก็จริงน่ะสิ อาจารย์อาชิงเฉินยกมือธนูดังสวบก็ยิงตายไปตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งถูกสมบัติวิเศษที่กลายเป็นภูเขาย่อมๆ ทับตาย แหะๆ ที่น่าสมเพชที่สุดยังคงเป็นตัวที่สาม อาจารย์อาชิงเฉินหยิบก้อนอิฐบุกขึ้นไปโดยตรงตบใส่หน้ามันไม่รู้กี่ที ถูกตบจนตายนะนั่น” นี่คือเสียงอันดังของซุนอาหนิว
“หา?” สมาชิกอีกทีมหนึ่งตะลึง
ซุนอาหนิวกลัวคนอื่นไม่เชื่อ เอ่ยต่อว่า “ข้ามองดูกับตานะ หมาป่าตัวนั้นถูกตบจนฟันร่วงหมดเลย!”
ทุกคน…
มั่วชิงเฉิน…
ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงมีศิษย์ว่า “อาจารย์อาลั่วหยางของเราก็ร้ายกาจมากนะ พวกเจ้าไม่รู้อะไร จิ้งจอกแดงฝูงนั้นแปลกประหลาดมาก ยังเป็นหน้าตาของเดรัจฉานชัดๆ ขยับตัวแต่ทีล้วนราวกับ…ราวกับ…
“ราวกับอะไรเจ้าพูดสิ!” สมาชิกทีมใจร้อนคนหนึ่งตบไหล่ของคนนั้นทีหนึ่ง
“ราวกับพวกผู้หญิงของนิกายเหอฮวนอย่างนั้นแหละ! จื้ดๆ ยามนั้นปีศาจจิ้งจอกสองสามตัวที่ล้อมอาจารย์อาลั่วหยางไว้จำแลงกลายเป็นคนแล้วนะ ตบะก็ไม่ด้อยกว่าอาจารย์อาลั่วหยาง เสน่ห์เย้ายวนอย่าบอกใครเชียว ทว่าอาจารย์อาลั่วหยางแม้แต่คิ้วก็ไม่ขมวดสักที ผ่านไปไม่นานก็ฆ่าไปคนหนึ่ง แหะ เรียกว่าขยี้ดอกไม้อย่างโหดร้ายก็ไม่เกินไป”
ผ่านไปเนิ่นนาน ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว มีอาจารย์อาชิงเฉินอยู่ อาจารย์อาลั่วหยางเห็นหญิงอื่น ก็คือโครงกระดูกสีชมพู เอ๊ะ พวกเจ้าว่าปีนั้นอาจารย์อาลั่วหยางชื่นชอบอะไรในตัวอาจารย์อาชิงเฉินน่ะ หรือว่าเห็นหน้าตาที่แท้จริงของอาจารย์อาชิงเฉินมานานแล้ว? มิเช่นนั้นอาจารย์อาชิงเฉินห้าวหาญถึงเพียงนั้น…”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ เรื่องมันเป็นเช่นนี้ มีวันหนึ่ง อาจารย์อาชิงเฉินกำลังอาบน้ำอยู่…”
หัวข้อเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเรื่องที่เหล่าศิษย์ผู้ชายชอบคุยที่สุด ตัวเอกยังเป็นบุคคลสองคนที่บัดนี้มีชื่อเสียงที่สุดในเหยากวงอีก ศิษย์ทุกคนหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ซุบซิบ หน้าตาระรื่นยิ่งพูดยิ่งเหลวไหล
เสียงยิ่งพูดยิ่งดัง มั่วชิงเฉินหลับตาคิดจะแกล้งทำไม่ได้ยินก็ไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนไยยังไม่ฟื้นฟูอีก?
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วกวาดมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง กลับเห็นเขาแม้สองตาปิดสนิท ขนตายาวกลับกำลังสั่นอยู่ โคนหูก็แดงขึ้นรางๆ
มั่วชงเฉินลุกขึ้นยืนโดยพลัน เสียงของศิษย์ทุกคนเหมือนถูกตัดขาดฉับพลัน
มั่วชิงเฉินหันหน้ามา ในมือถือก้อนอิฐไว้แล้วยิ้มตาหยีว่า “ทุกคนฟื้นฟูเสร็จหมดแล้วหรือ?”
ทุกคนลุกพรึบขึ้นมาเหมือนใจตรงกัน สายตาจ้องก้อนอิฐในมือนางอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “เสร็จแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็สำรวจสภาพรอบๆ อย่างรอบคอบทีหนึ่ง รอนักพรตลั่วหยางนั่งสมาธิเสร็จเราก็ออกเดินทางกลับค่าย”
“ขอรับ!” ทุกคนเสียงดังฟังชัด
ยามนี้เองเยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นยืน สายตาแม้เย็นชา ลึกเข้าไปในดวงตากลับมีรอยยิ้มวาบผ่านไปว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน พวกเราไปเถอะ”
ภารกิจสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทุกคนเดินทากลับด้วยจิตใจปลอดโปร่ง
ทว่าอาจเพราะกำหนดไว้แล้วว่าการออกศึกครั้งแรกของพวกเขามีอุปสรรคมากมาย บินได้ครู่หนึ่งก็เห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีแสงวิญญาณการต่อสู้สว่างขึ้นจากในหุบเขาแห่งหนึ่ง
มั่วชิงเฉินขยับตัว กลับถูกเยี่ยเทียนหยวนขวางไว้ว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าพาเหล่าศิษย์รออยู่ที่นี่ ลั่วหยางจะไปสำรวจสักหน่อย”
มั่วชิงเฉินเห็นเขาสีหน้าเด็ดเดี่ยว จึงได้แต่พยักหน้า
ทว่าใครจะรู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนเข้าไปครู่หนึ่ง แสงวิญญาญการต่อสู้ข้างในยิ่งปั่นป่วน กลับไม่เห็นเขาออกมาเสียที
มั่วชิงเฉินหนักใจขึ้นมา หรือว่าสถานการณ์ข้างในแย่กว่าที่คิดไว้เสียอีก เช่นนั้นเยี่ยเทียนหยวนเขา…
คิดถึงตรงนี้รีบหันหน้าไปว่า “หลิวต้าฝาน ผ่านตรงนี้เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็คือเขตของเหล่านักบำเพ็ญเพียร น่าจะไม่มีอสูรปีศาจขั้นห้าขึ้นไปปรากฏตัว เจ้าพาทุกคนไปก่อน”
“หัวหน้าทีม…” หลิวต้าฝานมองทิศทางของป่าหนาทึบ แล้วลังเลเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินสีหน้าบึ้งลงมาว่า “รีบไป หากเกิดเรื่องจริงๆ พวกเจ้าก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี”
หลังพูดจบไม่ทันได้รอคำตอบพวกเขา ก็เหยียบไหมเกล็ดน้ำแข่งบินสู่หุบเขานั่นไปดุจดาวตก
หลิวต้าฝ่านกัดฟัน โบกมือว่า “ไป!”
มาถึงหน้าหุบเขามั่วชิงเฉินเก็บไหมเก็บน้ำแข็งขึ้น แล้วเข้าไปในหุบเขาเงียบๆ สภาพข้างในทำให้นางตกตะลึง
บนพื้นมีศพนอนอยู่มากมาย มีของมนุษย์ และก็มีของนักบำเพ็ญเพียร ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหอบอยู่บนพื้น รอยเลือดเต็มตัว ไม่คิดว่าคือหลัวเตี๋ยจวินที่ไม่ได้พบกันมาหลายเดือน!
เยี่ยเทียนหยวนกำลังสู้อยู่กับอินทรียักษ์ปีกทอง ส่วนอีกด้านหนึ่งที่กำลังสู้กันอยู่คือฮ่าวเสวี่ยเจินจวินและหญิงสาวกระโปรงฟ้าคนหนึ่ง
หญิงสาวกระโปรงฟ้าผู้นั้นก็คือราชาปีศาจไป่หลี่เช่ว์
เพียงแต่เห็นนางจิงชี่เสิน[1]กระปรี้กระเปร่ากว่าแต่ก่อนมาก อาการบาดเจ็บน่าจะหายดีแล้ว ตรงกันข้ามกลับเป็นฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเสียอีกที่ตกเป็ยเบี้ยล่างไปทุกทาง
นี่ก็ว่าไม่ได้ ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะกลาง ส่วนราชาปีศาจไป่หลี่เช่ว์กลับอยู่จำแลงขั้นสุดท้าย เทียบเท่ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลาย
หากไม่เพราะเผ่าปีศาจเทียบกับนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับเดียวกันแล้วด้อยกว่าเล็กน้อย ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินคงไม่ไหวนานแล้วเป็นแน่
มั่วชิงเฉินไม่ลังเลอีก ธนูชิงอิ่นผุดขึ้นกลางฝ่ามือในทันใด จากนั้นง้างธนูใส่ศร ศรทองคำดอกหนึ่งพุ่งตรงไปยังอินทรียักษ์ปีกทอง
ต่อจากนั้นยิงศรอีกดอกหนึ่งออก ที่พุ่งตรงไปยังไป่หลี่เช่ว์กลับเป็นศรเหมันต์ดอกหนึ่ง
อินทรียักษ์ปีกทองตัวนั้นเดิมทีก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนข่มไปเสียทุกที่ จู่ๆ ศรลับบินมาดอกหนึ่ง ยิงเข้าตาของมันดังปุ๊ก
ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยทรายคละคลุ้งไปทั่ว รอกระจายหายไปกลับไม่เห็นเงาของอินทรียักษ์ปีกทองแล้ว
มั่วชิวเฉินรีบวิ่งเข้าไป พยุงหลัวเตี๋ยจวินเดินมาหาเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ลั่วหยาง อินทรียักษ์ปีกทองตัวนั้นล่ะ?”
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นชาว่า “หนีไปแล้ว”
อินทรียักษ์ปีกทองเล่าลือกันว่ามีสายโลหิตของนกเทพ ปกติอสูรปีศาจประเภทนี้ล้วนมีพรสวรรค์บางอย่างสืบทอดมาตามสายโลหิต วิธีที่มันใช้หนีไปเมื่อครู่ ก็อาจเป็นวิชาลับบางอย่างที่ว่า
มั่วชิงเฉินนึกถึงข้อนี้กำลังจะพูด กลับได้ยินความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง
“ระวัง” เยี่ยเทียนหยวนกระโดดตัวโถมเข้ามาทั้งสามคนล้มลงพร้อมกัน แสงสีฟ้าสายหนึ่งบินผ่านที่ที่มั่วชิงเฉินยืนเมื่อครู่ หายเข้ากำแพงภูเขาไปอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไม่คิดว่าจะเป็นขนหางสีฟ้าเส้นหนึ่ง
“มดปลวกเล็กๆ ก็กล้าลอบทำร้ายข้า!” เสียงไพเราะกลับน่าเกรงขามของไป่หลี่เช่ว์ดังขึ้น
ที่แท้ตั้งแต่ยามที่มั่วชิงเฉินเข้ามา ไป่หลี่เช่ว์ก็รู้ตัวแล้ว เพียงแต่นางยุ่งอยู่กับการรับมือฮ่าวเสวี่ยเจินจวิน ขี้เกียจไปสนใจนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง
ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะยิงศรเหมันต์มาดอกหนึ่ง ส่วนไป่หลี่เช่ว์ก็คิดว่าสมบัติวิเศษของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งจะทำอันตรายอะไรตนได้ ด้านหนึ่งรับมือฮ่าวเสวี่ยเจินจวินอย่างตั้งใจเต็มที่ ด้านหนึ่งโบกแขนเสื้อส่งเดชไปทีหนึ่ง
ไม่ผิดจากที่นางคาดไว้ ศรที่บินมาถูกลมที่รุนแรงนั่นพัดจนปรับเปลี่ยนทิศทางร่วงลงไปอย่างหมดแรงจริงๆ ทว่าเปลวน้ำแข็งเหมันต์กลับผนึกลมพวกนั้นให้เป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา ปราณเย็นมุดเข้าไปตามลม ข้อมือไป่หลี่เช่ว์แข็งทันที
ยอดฝีมือขั้นสุดยอดประมือกัน แพ้ชนะในชั่วพริบตา พอนางแข็งฮ่าวเสวี่ยเจินจวินฉวยโอกาสไว้ทันที ซัดแสงวิญญาณสายหนึ่งมาก็ทำให้ข้อมือนางบาดเจ็บ
ทว่าอย่างไรเสียพลังของไป่หลี่เช่ว์ก็สูงกว่าขั้นหนึ่ง ข้อมือบาดเจ็บแล้วแม้ไม่เหมือนเมื่อครู่ข่มฮ่าวเสวี่ยเจินจวินได้อย่างสิ้นเชิง กลับยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ดี
ก็เพราะเช่นนี้ นางที่เกรี้ยวกราดถึงยิงขนหางออกคิดจะจัดการมดน้อยที่สร้างความวุ่นวายเสีย
“พวกเจ้ารีบไป กลับไปรายงาน เจ้าปีศาจปรากฏต่อโลก…” เสียงที่หายใจติดขัดของฮ่าวเสวี่ยเจินจวินลอยมา เห็นชัดว่าประคองได้อีกไม่นานแล้ว
มั่วชิงเฉินถูกเยี่ยเทียนหยวนพุ่งถลามาล้มลงกับพื้น เพราะมือยังลากหลัวเตี๋ยจวินอยู่ หลัวเตี๋ยจวินที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ล้มตามไปด้วย เพียงแต่ร่างเยี่ยเทียนหยวนกลับทบอยู่บนตัวนาง ไม่ขยับเขยื้อน
ได้ยินคำพูดของฮ่าวเสวี่ยเจินจวินแล้วนางสะดุ้งเฮือกในใจ รีบตะโกนว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง…” พูดถึงตรงนี้เสียงก็ขาดหายไปทันที เห็นเพียงเยี่ยเทียนหยวนสีหน้าซีดเซียว ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
“ชิงเฉิน…เจ้ายืมแรงให้ข้าหน่อย…”
สายตามั่วชิงเฉินกวาดมองปราดหนึ่งแล้วตัวแข็งทื่อทันที่ เห็นเพียงหลังเยี่ยเทียนหยวนปักขนหางสีฟ้าไว้เส้นหนึ่งอย่างเด่นชัด ขนหางสีฟ้านั่นเข้าไปลึกถึงในร่างกาย เหลือกเพียงหางไว้เส้นหนึ่ง
ที่แท้ที่ไป่หลี่เช่ว์ยิงมาคือขนหางสองเส้น!
ที่โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือพลาดจากหัวใจด้านหลังหนึ่งชุ่น มิเช่นนั้น…
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์นั่น มั่วชิงเฉินก็สีหน้าซีดเผือด
นางยื่นมือออก ผลักเยี่ยเทียนหยวนออกอย่างระมัดระวัง กลับไม่กล้าฝืนถอนขนหางสีฟ้ออกมา มือหนึ่งพยุงเยี่ยเทียนหยวน มือหนึ่งพยุงหลังเตี๋ยจวิน แล้วมองฮ่าวเสวี่ยเจินจวินอีกปราดหนึ่ง อัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมากลายเป็นลำแสงสายหนึ่งหนีออกไปไกล
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง สหายเต๋าหลัว พวกเจ้าอดทนไว้…จะถึงค่ายแล้ว” มั่วชิงเฉินเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งเต็มกำลัง และก็กลัวพวกเขาสองคนเพราะบาดเจ็บไม่มีแรงป้องกันจึงกางเขตอาคมวิญญาณป้องกันขึ้นมา เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้พลังวิญญาณในกายนางก็ใช้ไปอย่างรวดเร็ว
พลานุภาพสายหนึ่งบีบเข้ามาใกล้จากที่ไกลๆ ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้า คนที่มาขี่อสูรเนตรทองเลี่ยงน้ำตัวหนึ่ง โฉมดุจหยก งามไม่เป็นสองรองใคร คือหรูอวี้เจินจวิน
“ชิงเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หรูอวี้เจินจวินมองดูสามคนแล้วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นางกำลังจะออกไปก็เจอศิษย์เหยากวงกลุ่มหนึ่ง ฟังพวกเขาเล่าสถานการณ์ครู่หนึ่ง เมื่อคิดว่ามั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรอัจฉริยะของเหยากวง กลัวเกิดเรื่องไม่คาดคิดถึงได้ออกมาหา
“หรูอวี้เจินจวิน เร็ว…ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินและไป่หลี่เช่ว์สู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือ น่าจะใกล้ไม่ไหวแล้ว!” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงรีบร้อน
——
[1] จิง ชี่ เสิน เต๋าจัดว่าเป็นหัวใจหลักของมนุษย์เลย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่างนี้ไป จะไม่เรียกว่ามนุษย์อีกต่อไป โดย
精 (jīng, จิง) — สารสำคัญในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน สารอาหาร เชื้ออสุจิ
氣 (qì, ชี่) — พลังชี่ในร่างกายยังมีการแบ่งย่อยอีกหลายอย่าง
神 (shén, เสิน) — จิตวิญญาณ หรือ จิตสำนึก ของเรา