พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 345
เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว ไม่พูด
“สหายเต๋า…” จื่อซวินลากหางเสียงยาว
ครั้งนี้ เยี่ยเทียนหยวนถอยหลังไปก้าวหนึ่งให้รู้แล้วรู้รอดไป ราวกับที่เล่นหูเล่นตากับเขาไม่ใช่สาวงามเสน่ห์แพรวพราย หากแต่เป็นอสรพิษที่ขี้ริ้วขี้เหร่
จื่อซวินส่งสายตาหวาน มองไปที่เยี่ยเทียนหยวนอย่างลึกซึ้ง ทว่าที่ได้รับกลับเป็นสายตาที่แสนจะเย็นชา
พักใหญ่ๆ ในที่สุดนางก็แน่ใจแล้วว่าชายตรงหน้าผู้นี้ไม่คิดจะพูดกับนางแม้แต่คำเดียว แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วถึงมองไปที่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินขนตาสั่นแผ่วเบา ฝืนกลั้นหัวเราะไว้ ท่าทีที่เยี่ยเทียนหยวนหลบนักบำเพ็ญเพียรหญิงเหมือนหลบอสรพิษ หลายปีก่อนนางได้รับบทเรียนมาแล้ว ทว่าไม่คิดว่าปีนั้นตนถูกทำให้โมโหแทบตาย บัดนี้เปลี่ยนไปเป็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงที่คล้ายคนของนิกายเหอฮวน กลับสะใจยิ่งนัก
คนล้วนมีสองมาตรฐานสินะ? มั่วชิงเฉินคิดอย่างไร้คุณธรรม
ที่จื่อซวินมองไปที่มั่วชิงเฉิน สาเหตุง่ายมาก หกคนที่ยืนอยู่ในถ้ำ มั่วชิงเฉินตบะต่ำที่สุด
นักบำเพ็ญเพียรชายที่สมญานามเต๋าว่าโยวหย่วนในนี้อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย คนที่เหลือรวมทั้งหมิงโหรวที่ดูแล้วขี้อายขลาดเขลาคนนั้นล้นอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเดิมทีก็ยืนอยู่ด้านในสุดของถ้ำ อีกทั้งแสงตะเกียงสลัว จื่อซวินอุตส่าห์มองไป กว่าจะเห็นหน้าตาของมั่วชิงเฉินได้ชัดเจน ในตามีประกายวาบผ่านทันที มุมปากอมยิ้มว่า “ไม่ทราบน้องสาวท่านนี้ชื่ออะไร?”
“สหายเต๋าจื่อซวิน ข้าน้อยชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
บัดนี้สถานการณ์ไม่ชัดเจน เยี่ยเทียนหยวนบาดเจ็บ อีกทั้งตนตบะต่ำที่สุดอีก อย่างไรก็ไม่ควรทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเกินไป
“ชิงเฉิน?” จื่อซวินสายตาเป็นประกาย ยิ้มหวานว่า “ก่อนนี้ไม่นานจื่อซวินเพิ่งได้ยินว่าพรรคเหยากวงมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเกิดขึ้นมาใหม่ ลือกันว่าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่อายุน้อยที่สุดในดินแดนเทียนหยวน สมญานามเต๋าดูเหมือนก็ชื่อว่าชิงเฉินนี่แหละ ไม่ทราบสหายเต๋าทั้งหลายรู้เรื่องนี้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก นักพรตจื่อซวินท่านนี้ช่างหูไวตาไวจริงๆ ต้องรู้ว่านางเพิ่งจะมาถึงทางนี้
เรื่องมาถึงบัดนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง จึงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ไม่คิดว่าสหายเต๋าจื่อซวินยังรู้เรื่องของข้าน้อยด้วย เพียงแต่เรื่องอายุน้อยที่สุดกลับไม่กล้ารับ ดินแดนเทียนหยวนบุคคลมากความสามารถมากล้น อีกทั้งยังมีสำนักและตระกูลที่ปลีกวิเวกนับไม่ถ้วน ไม่พูดถึงอื่นไกล ต่อให้ชิงเฉินคิดจะไล่สหายเต๋าทุกท่านให้ทัน ยังไม่รู้ว่าต้องเดือนไหนปีไหนเลย”
“หึๆๆ” จื่อซวินปิดปากหัวเราะขึ้นมา “น้องชิงเฉินไม่เพียงพรสวรรค์ล้ำเลิศ ยังความคิดงดงามคำพูดสละสลวย ส่วนรูปโฉม ต่อให้จื่อซวินเป็นสตรีก็อดหลงใหลไม่ได้นะ”
พูดพลางเหล่นักบำเพ็ญเพียรชุดเหลืองหมิงโหรวที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก นางไม่ได้ล่วงเกินหญิงผู้นี้ใช่หรือไม่ ทำให้นางขยันหาเรื่องมาให้ถึงเพียงนี้?
“สหายเต๋าท่านนี้คือศิษย์พี่ลั่วหยางใช่หรือไม่?” หมิงโหรงยังไม่เอ่ยปากก็อายก่อน แล้วกวาดมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งอย่างขลาดกลัว
เยี่ยเทียนหยวนเห็นอีกฝ่ายพูดสมญานามเต๋าของตนออกมา ก็ไม่นิ่งเงียบอีก ทะนุถนอมคำพูดดั่งทองพูดออกมาคำหนึ่งว่า “ใช่” จากนั้นก็ไปยืนที่ไกลๆ อีก
หมิงโหรงยืนอยู่ตรงนั้นกึ่งก้มหน้า จู่ๆ ก็กรอบตาแดง น้ำตาร่วงลงมาอย่างไม่คาดคิด
“อ้าว สหายเต๋าหมิงโหรว อยู่ดีๆ นี่เป็นอะไรไปน่ะ หรือว่าสหายเต๋าลั่วหยางท่านนี้แต่ก่อนเคยรังแกเจ้ามาก่อน?” จื่อซวินเลิกคิ้วถาม
หมิงโหรวก้มหน้าลง คอเรียวระหงขาวสะอาด เห็นแล้วก็ให้สงสาร เสียงนุ่มนวลเช่นกันว่า “เปล่า หมิงโหรวและสหายเต๋าลั่วหยางไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทว่าเคยมีบุญได้พบครั้งหนึ่ง หมิงโหรวเพียงแต่จู่ๆ ก็นึกถึงเจินจวินไม่กี่ท่านที่ระเบิดทารกร่างเดิมของตนขึ้นมา รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย…”
หัวข้อนี้ทำให้ในถ้ำเงียงงันขึ้นมาทันที
มั่วชิงเฉินเพ่งพิศสองสามคนนี้อย่างเงียบๆ
นักพรตเชียนหานที่ปากไม่มีหูรูดผู้นั้น แม้เหลาะแหละอยู่บ้าง กลับยากจะปิดบังความใจกว้างอิสระที่หลั่งไหลอยู่ในกระดูก
นักพรตจื่อซวินเอียงอายไม่เป็นธรรมชาติ ดูแล้วไม่ต่างจากนักบำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนที่เคยรู้จักในอดีต ทว่าสามารถพูดจาฉะฉานต่อหน้านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมากมายเพียงนี้ ไม่ใช่อกใหญ่ไร้สมอง ก็คือมีอะไรแอบแฝง
ส่วนนักพรตหมิงโหรวที่ขี้อายอ่อนแอผู้นั้น นางไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่านางจะบอบบางถึงเพียงนี้ เพียงแค่เยี่ยเทียนหยวนถอยหลังก็สามารถทำให้นางน้ำตาตกได้
หากเป็นเช่นนี้จริงยังสามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณระยะกลางได้ นางก็ได้แต่แอบด่าสวรรค์ว่าตาถูกขี้ตาบังแล้ว
ดูไปดูมา ดูเหมือนมีเพียงนักพรตโยวหย่วนที่เข้ามาเป็นคนสุดท้ายผู้นั้นปกติที่สุดแล้ว การพูดจาท่าทางให้ความรู้สึกคุ้นเคยรางๆ ก็เหมือนศิษย์จากสำนักใหญ่ส่วนใหญ่ ทว่านี่ก็ต้องรอดูกัน
มั่วชิงเฉินปวดศีรษะเล็กน้อย หากเลือกได้ นางยอมสู้กันตามลำพังพร้อมเยี่ยเทียนหยวนสองคน ก็ยังดีกว่าต้องคอยขับเคี่ยวกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามคนที่เดาใจยาก
“ชิงเฉิน รออาการบาดเจ็บข้าหายแล้ว เราก็ไปกัน” จู่ๆ เสียงของเยี่ยเทียนหยวนก็ดังขึ้นในสมอง
มั่วชิงเฉินอึ้ง หรือว่าเยี่ยเทียนหยวนอ่านความคิดของตนออก เขาเข้าใจตนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรแล้ว?
กำลังคิดอยู่เสียงของเยี่ยเทียนหยวนก็ส่งมาอีกว่า “อยู่ด้วยกันกับนักบำเพ็ญเพียรหญิง ลั่วหยางอึดอัด”
มั่วชิงเฉินปากสั่นแล้วสั่นอีก ต้องฝืนทนไว้ถึงไม่ได้ถามออกมาว่า ‘หรือว่าข้าไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรหญิงหรือ ไม่ใช่หรือ?’
ในถ้ำเงียบไปพักหนึ่ง เชียนหานนั่งลงเต็มก้นว่า “ข้าน้อยขอนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณก่อนแล้ว สหายเต๋าทุกท่านตามสบายนะ” พูดจบหลับตาลง นั่งสมาธิขึ้นมาราวกับรอบๆ ไร้ผู้คน
ที่เหลืออีกสามคนก็มองหน้ากัน และต่างคนต่างนั่งลง
พวกมั่วชิงเฉินสองคนยืนอยู่ด้านในสุด ในด้านความปลอดภัยแล้วพูดได้ว่าสูงกว่าเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านรีบนั่งสมาธิฟื้นฟูเสียหน่อยเถอะ เช่นนี้บาดแผลจะได้หายเร็วหน่อย” มั่วชิงเฉินพลางส่งเสียงทางจิตพลางยัดขวดหยกขาวเล็กๆ ใบหนึ่งเข้ามือเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้านั่งลง เข้าฌานอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินตะลึงเล็กน้อยอีก เขาก็ช่างวางใจจริงๆ
คิดเช่นนี้พลางก็นั่งลงมาเช่นกัน แม้หลับตาค่อยๆ ชักนำพลังวิญญาณโคจรไปตามชีพจร กลับแบ่งจิตตระหนักออกสายหนึ่งคอยสังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้าง
ดีที่หลังจากนางฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาแล้วควบคุมจิตตระหนักได้อย่างไม่เหมือนใคร การแบ่งสมาธิเช่นนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อการนั่งสมาธิ เพียงแต่ได้ผลด้อยลงสักหน่อยเท่านั้น
นั่งสมาธิเข้าฌาน เวลาก็จะผ่านไปเหมือนบินได้ พริบตาเดียวก็ถึงวันที่สองอีกแล้ว เพียงแต่ในถ้ำนี้ยังคงไม่เห็นแสงสว่างเช่นเดิม มีเพียงตะเกียงฟักทองอันหนึ่งส่องแสงสลัวๆ
ทั้งหกคนจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตโยวหย่วนลุกขึ้นมาว่า “สหายเต๋าทุกท่านอีกสักครู่ ข้าน้อยจะลงเขาไปสำรวจสถานการณ์เสียหน่อย”
ทุกคนย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง
มั่วชิงเฉินตัดสินใจไว้นานแล้ว บัดนี้ไม่ใช่ยามที่นางเป็นหัวหน้าทีมนำนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกลุ่มใหญ่อีกแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เยี่ยเทียนหยวนบาดเจ็บ อีกทั้งตนตบะต่ำที่สุดอีก สามารถไม่ออกหน้าได้ก็ไม่ออกหน้า
ทว่าในยามที่นักพรตโยวหย่วนกำลังจะเดินออกจากถ้ำนั่นเอง จู่ๆ นักพรตจื่อซวินก็ลุกขึ้นมา เดินเข้าไปอ้อนๆ แอ้นๆ หายใจหอมฟุ้งว่า “สหายเต๋าโยวหย่วน ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเถอะ”
“เช่นนี้ก็ดี” นักพรตโยวหย่วนรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับแสงจันทราที่ละมุนสาดลงบนใบหน้านักพรตจื่อซวิน ทั้งสองคนเดินออกไปพร้อมกัน
สี่คนที่เหลือแม้นั่งขัดสมาธิเงียบๆ ทว่าเห็นได้ชัดว่าไม่อาจเข้าฌานได้อย่างสงบแล้ว รอคอยอย่างกระวนกระวายท่ามกลางบรรยากาศทั้งกดดันทั้งนิ่งเงียบ
หนึ่งเค่อให้หลัง มีความเคลื่อนไหวมาจากปากถ้ำ สองคนที่จากไปย้อนกลับมาแล้ว เพียงแต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจคือนักพรตจื่อซวินถูกนักพรตโยวหย่วนพยุงไว้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือด
“พี่จื่อซวิน…” หมิงโหรวแววตาหวาดหวั่น ท่าทางเหมือนจะร้องไห้
นักพรตเชียนหานเดินขึ้นไปสองสามก้าว กลับรักษาระยะห่างไว้อีกว่า “สหายเต๋าทั้งสองนี่เกิดอะไรกันขึ้น?”
ในมือนักพรตจื่อซวินไม่รู้มีหวีหยกเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร สยายเส้นผมออกแล้วค่อยๆ หวีพลาง เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนแผ่วเบาว่า “ขอบคุณสหายเต๋าเชียนหานที่เป็นห่วง หลังจากเราสองคนออกไปก็พบกับอสูรปีศาจจำแลงเข้า หากไม่ใช่ หากไม่ใช่นักพรตโยวหย่วนลากข้าไว้ เกรงว่าข้าจะไม่ได้กลับมาแล้ว” พูดพลางกวาดมองนักพรตโยวหย่วนปราดหนึ่งอย่างลึกซึ้ง
นักพรตโยวหย่วนยิ้มแผ่วเบาว่า “สหายเต๋าจื่อซวินเกรงใจไปแล้ว ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ พวกเราในฐานะนักบำเพ็ญเพียรย่อมต้องช่วยเหลือกันและกัน”
ไม่รู้รู้สึกไปเองหรือไม่ เมื่อยามที่สหายเต๋าจื่อซวินดึงสายตากลับมา มั่วชิงเฉินกลับเห็นนักพรตโยวหย่วนกระดกมุมปาก ราวกับกำลังเยาะเย้ยอะไรอยู่ ทว่าไม่นานก็กลับมามีรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างไม่มีที่ติอีก
“ว้าย มีอสูรปีศาจจำแลงเฝ้าอยู่ข้างนอก เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเรามิต้องถูกกักอยู่นี่ตลอดแล้วหรือ?” หมิงโหรวตัวเซไปมา ดูเหมือนรับข่าวร้ายนี้ไม่ค่อยได้
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” นักพรตโยวหย่วนมองนักพรตหมิงโหรวปราดหนึ่งอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
ข่าวนี้ไม่สู้ดีจริงๆ ถ้ำที่พวกเขาอยู่ไม่ใหญ่นัก หากมีเพียงคนสองคนก็ช่างเถอะ กลับดันมีหกคน ยามนั่งสมาธิอย่าให้พูดเลยว่าอึดอัดเพียงใด หากถูกกักอยู่ที่นี่ตลอดไปจริง ก็น่าปวดศีรษะจริงๆ
อาจเพราะหกคนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งหมด จิตใจแน่วแน่ รู้สภาพภายนอกแล้ว จึงได้แต่รับความจริงเรื่องนี้อย่างไม่หวาดหวั่น
เวลาหนึ่งวันผ่านไปท่ามกลางการนั่งสมาธิเงียบๆ อีกครั้ง
วันที่สองผู้ที่ออกไปคือนักพรตเชียนหานและนักพรตหมิงโหรว ยังคงกลับมาอย่างผิดหวัง
ถึงวันที่สาม ทั้งสี่คนก็มองไปที่พวกมั่วชิงเฉินสองคน
ครั้งนี้ ตามหลักย่อมถึงตาพวกเขาแล้ว
มั่วชิงเฉินยิ้ม หากพูดว่าออกไปสำรวจติดกันสามครั้งครั้งไหนอันตรายที่สุด เห็นได้ชัดว่าคำตอบคือครั้งที่สาม
ต้องรู้ว่าอสูรปีศาจจำแลงนั่นสติปัญญาไม่ต่ำกว่ามนุษย์ นักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ออกไปสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่า ความระแวงของเขาเห็นชัดว่าต้องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนออกจากถ้ำบินขึ้นด้านบนไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนหยุดลงว่า “ชิงเฉิน เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าขึ้นไปดูหน่อย”
พูดจบไม่รอนางตอบก็บินขึ้นข้างบน กลับบินไม่ไป พอก้มหน้าพบว่ามั่วชิงเฉินดึงแขนเสื้อเขาไว้
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านอย่าขึ้นไป ข้า…” ยังพูดไม่จบกลับถูกเยี่ยเทียนหยวนขัดจังหวะ
“ชิงเฉิน เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ตบะข้าสูงกว่าเจ้า เจ้ารอข้าอยู่นี่” น้ำเสียงเฉียบขาดผิดปกติ
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ในที่สุดนางก็พบว่าเจ้าหมอนี่ยังมีความผู้ชายเป็นใหญ่เล็กน้อย กลับดึงแขนเสื้อไว้แน่นไม่ปล่อยว่า “ศิษย์พี่ ชิงเฉินหมายความว่า เราไม่ต้องขึ้นไปทั้งคู่”
เยี่ยเทียนหยวนอึ้ง
“อ้าวเฮ้ย ถึงตาข้าออกโรงแล้วใช่หรือไม่?” เสียงหนวกหูของอีกาไฟดังแหลมขึ้นมาในสมองมั่วชิงเฉิน
“หุบปาก” มั่วชิงเฉินตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์เสียงหนึ่ง จากนั้นดีดปลายนิ้ว ผึ้งสีมรกตตัวหนึ่งก็โผล่ออกมา บินวนนิ้วเรียวยาวดังหึ่งๆ
“รีบไปเถอะ” มั่วชิงเฉินแตะหัวผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเบาๆ แสงวิญญาณสายหนึ่งครอบมันไว้
อาศัยเพียงพลังของผึ้งวิญญาณเลือดมรกต ทะลวงลมพายุชั้นนั้นไม่ได้หรอกนะ
เยี่ยเทียนหยวนสายตาเป็นประกายว่า “นี่คือ… ผึ้งวิญญาณของศิษย์หลานหวัง?”
มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่านิสัยเย็นชาเช่นเขายังสังเกตเรื่องพรรณนี้ด้วย จึงพยักหน้าอย่างไม่แยแสว่า “อืม หลายปีก่อนศิษย์พี่หวัง เอ่อ ศิษย์หลานหวังมอบให้ชิงเฉินน่ะ”
ไม่นานนัก ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินกลับมา เข้าไปที่ข้างหูมั่วชิงเฉินวาดวงไปมา
มั่วชิงเฉินยิ้มแล้ว เก็บมันกลับเข้าถุงอสูรวิญญาณ สบตากับเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง แล้วย้อนกลับถ้ำด้วยกัน
“อ้าว สหายเต๋าทั้งสองกลับมาเร็วจริงๆ” นักพรตจื่อซวินยิ้มพรายว่า