พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 362
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 362 ที่พักชั่วคราว
หินพลังวิญญาณสามพันก้อนหลังจากที่ซื้อโอสถวิญญาณเหล่านั้นแล้วก็เหลือไม่ถึงสองพันก้อน มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในร้านขายของชำ จ่ายหนึ่งร้อยหินพลังวิญญาณเพื่อซื้อถุงเก็บวัตถุแบบธรรมดาสองใบ โดยโยนให้ถังมู่เฉินหนึ่งใบ
อย่างไรซะนางก็เพียงแค่มีถุงเก็บวัตถุเอาไว้ไม่ให้เสียหน้า จะเล็กใหญ่ย่อมไม่ใช่ปัญหา สำหรับถังมู่เฉินในช่วงเวลาสั้นๆ นี้คิดว่าตัวเขาเองก็คงไม่มีอะไรเอาไปใส่เช่นเดียวกัน ถ้าคิดว่ามันเล็กเกินไปก็ให้ไปหาหินวิญญาณด้วยตนเอง
เมื่อออกมาจากร้านขายของชำ มั่วชิงเฉินเดินตรงไปข้างหน้าต่อ
ถังมู่เฉินนำกระบี่อัญมณีที่ส่องแสงสีทองเป็นประกายเก็บไว้ในถุงเก็บวัตถุ แล้วจึงรีบเดินตาม “น้องข้า ข้าถามมาแล้วสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรต้องเช่าพักอยู่ที่บริเวณดูแลตรงนั้น ไม่ได้เดินมาทางนี้”
มั่วชิงเฉินชี้ไปยังป้ายร้านค้าร้านหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกล “ข้าจะไปที่นั่น”
‘ตรอกมั่วเซียง’
แค่มองก็รู้ว่าเป็นสถานที่จำหน่ายแผ่นหยกและหนังสือ
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป ภายในมีหญิงบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนกำลังจัดหนังสืออยู่ หนึ่งในนั้นก้าวขึ้นมาและพูดว่า “ท่านอาวุโสทั้งสองเชิญข้างในเจ้าค่ะ หากมีที่ชอบโปรดบอกข้าเถิด” พูดจบก็ถอยกลับไปด้านข้าง ช่วยหญิงบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนจัดหนังสือต่อ
ที่นี่สมกับเป็นร้านขายหนังสือ แต่สิ่งที่ไม่ค่อยเหมือนกับร้านขายหนังสือในแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนก็คือหนังสือที่วางอยู่บนชั้นส่วนใหญ่เป็นหนังสือปกหนังสัตว์ แผ่นหยกกลับครอบครองพื้นที่ไม่เยอะ
จริงๆ แล้วหนังสือจดบันทึกปกหนังสัตว์และบันทึกที่ใช้แผ่นหยกนั้นแบ่งออกเป็นสองชนิด มีหนังสัตว์บางประเภทที่มีผลลัพธ์วิเศษ อย่างเช่นหนังของแรดเผือกชนิดหนึ่งที่เหมาะนำมาบันทึกภาพวิวทิวทัศน์ภูเขา ลำธาร บุคคล ขอเพียงถ่ายทอดพลังจิตเข้าไปภาพวิวทิวทัศน์เหล่านั้นก็จะปรากฏขึ้นเป็นภาพสามมิติ แม้แต่คนก็เหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินเดินดูตามชั้นหนังสือไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะหญิงบำเพ็ญเพียรเป็นคนละเอียดอ่อน บนชั้นหนังสือทุกชั้นล้วนถูกจัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ ทำให้คนมองปราดเดียวก็เห็นได้หมด
สิ่งที่นางดูเป็นอย่างแรกคือหนังสือจำพวกภูมิศาสตร์ เลือกมาสองสามเล่มแล้วกวาดตาดูสรุปที่ทำไว้ให้แขกดูสักพักหนึ่ง แล้วจึงเลือก ‘บันทึกภูเขาและแม่น้ำดินแดนทั้งสิบ’ มา
จากนั้นก็เดินดูต่อไปรอบๆ เลือก ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ ‘บันทึกภูมิทัศน์จอมยุทธพเนจรนิรนาม’ และ ‘คัมภีร์รวมยา’ มาอย่างละเล่ม
‘บันทึกภูเขาและแม่น้ำดินแดนทั้งสิบ’ และ ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ ล้วนเป็นม้วนกระดาษปกหนังวัว อีกสองเล่มเป็นแผ่นหยก
นางแบกหนังสือทั้งสี่เล่มเดินไปวางไว้บนชั้น หญิงบำเพ็ญระดับสร้างรากฐานที่เข้ามาต้อนรับก่อนหน้านี้ยิ้มแย้มพลางพูดว่า “หญิงเซียน ต้องการทั้งสี่เล่มเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับน้อยๆ “อืม ไม่ทราบว่าต้องใช้หินพลังวิญญาณเท่าไร”
ร้านขายหนังสือไม่เหมือนกับร้านขายยา ไม่ได้มีการเขียนบอกราคาเอาไว้ให้แน่ชัด
หญิงบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานยิ้มสดใส “หญิงเซียน ‘บันทึกภูเขาและแม่น้ำดินแดนทั้งสิบ’ ราคาเจ็ดก้อนหินพลังวิญญาณ ‘บันทึกภูมิทัศน์จอมยุทธพเนจรนิรนาม’ ราคายี่สิบก้อนหินพลังวิญญาณ ‘คัมภีร์รวมยา’ ราคาแปดสิบก้อนหินพลังวิญญาณ สำหรับ ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ มีราคาแพงเล็กน้อย ต้องใช้หินพลังวิญญาณกว่าห้าร้อยก้อน”
มั่วชิงเฉินตะลึงไปเล็กน้อย แต่เดิมนางนึกว่าในหนังสือสี่เล่มนี้เล่มที่มีราคาแพงมากที่สุดน่าจะเป็น ‘คัมภีร์รวมยา’ แต่ใครจะไปรู้ว่ากลายเป็น ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ อีกทั้งยังแพงกว่ามาก หินก้อนวิญญาณห้าร้อยก้อนเลยนะ แค่คิดก็เจ็บปวดแล้ว
ถังมู่เฉินส่งเสียงโอดครวญ แต่น้ำเสียงกลับแตกต่างจากปกติที่พูดคุยกับมั่วชิงเฉิน “แม่หญิง เหตุใดเล่มนี้ถึงแพงเช่นนี้เล่า”
น้ำเสียงอ่อนโยนทุ้มต่ำ ใบหน้าของหญิงบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขึ้นสีแดงระเรื่อในทันที
‘คนผู้นี้เป็นปิศาจ’ ริมฝีปากมั่วชิงเฉินกระตุก
เสียงของหญิงบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ท่านอาวุโส เป็นเช่นนี้ ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ ทำมาจากหนังแรดเผือก สัตว์อสูรที่ถูกบันทึกอยู่ภายในนั้นสมจริง ประหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต และยังมีการทำสัญลักษณ์ชื่อของสัตว์อสูรเหล่านั้น รวมถึงระดับขั้นและพื้นที่ปรากฎตัว เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องสัตว์อสูรได้ครบถ้วนที่สุดแล้ว มีจำหน่ายที่เกาะหมายเลขสามสิบห้าเท่านั้น ท่านอาวุโสระดับก่อแก่นปราณที่มาที่นี่แทบจะมาเล่มนี้กันทุกคน ไม่เพียงเท่านั้นทุกๆ สามปีทางร้านจะให้บริการเพิ่มข้อมูลในหนังสือ ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ ให้กับลูกค้า ถึงเวลานั้นเพียงแค่จ่ายสิบก้อนหินพลังวิญญาณเป็นค่าดำเนินการเจ้าค่ะ”
ช่างพูดละเอียดเสียจริง!
จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็พบว่าบางครั้งถังมู่เฉินก็ยังมีข้อดีอยู่
“เหอๆ เป็นเช่นนี้เอง ข้าคิดว่าเล่มนี้แพงเสียอีก” ถังมู่เฉินยิ้มประหนึ่งแสงอาทิตย์ในเดือนสาม สดใสไม่มีที่เปรียบ นิ้วชี้ไปที่หนังสือ ‘คัมภีร์รวมยา’
หญิงบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนก็หน้าแดงเช่นเดียวกัน แย่งพูดขึ้น “คุณชายอาจไม่ทราบ ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาครั้งแรกหลายคนล้วนเกิดความเข้าใจผิดเพราะคำว่า ‘คัมภีร์’ คิดว่าเล่มนี้ราคาแพงล้ำค่า ที่จริงแล้วสิ่งที่บันทึกในเล่มนี้เป็นเพียงวิชาการหลอมยาขั้นเบื้องต้นเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะละเอียดครบถ้วนก็คงไม่อาจสู้”
“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง ขอบใจแม่หญิงที่ช่วยคลายข้อสงสัย น้องข้าต้องการหมดทั้งสี่เล่มนี้ ไม่ทราบว่าราคาถูกหน่อยได้หรือไม่” ดวงตาของถังมู่เฉินยกขึ้นเป็นเส้นโค้ง
“ทั้งสี่เล่มรวมกันทั้งหมดหกร้อยเจ็ดสิบก้อนหินพลังวิญญาณ คุณชาย หากคุณชายต้องการซื้อ ลดให้เหลือหกร้อยห้าสิบก้อนก็ย่อมได้เจ้าค่ะ” สายตาของหญิงบำเพ็ญระดับสร้างรากฐานมองวนไปมาอยู่ที่ใบหน้าถังมู่เฉิน
ถังมู่เฉินโบกพัดในมือด้วยความสำราญใจ “น้องข้า จ่ายเงิน”
มั่วชิงเฉินส่งหินพลังวิญญาณออกไป ถังมู่เฉินเดินออกไปข้างนอกพลางพูดว่า “หลังจากนี้หากมีความจำเป็นพวกเราจะกลับมาอีก ถึงตอนนั้นแม่หญิงทั้งสองอย่าลืมลดราคาให้ข้าเล่า”
รอจนเดินออกมาไกล ถังมู่เฉินหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างมาก “น้องสาว พี่ชายออกโรงเองเป็นอย่างไรบ้าง ครู่เดียวก็ประหยัดไปได้กว่ายี่สิบก้อนหินพลังวิญญาณ”
ริมฝีปากมั่วชิงเฉินกระตุก “ใช้รูปโฉมล่อลวงแม่หญิงระดับสร้างรากฐานสองคน เจ้าช่างมีความสามารถเสียจริง”
ถังมู่เฉินกระพริบตาปริบๆ ด้วยความน่าสงสาร “ล่อลวงอะไรกัน คำพูดของน้องสาวข้าไปได้ยินแล้วทำให้ข้าเสียใจนัก อย่างพี่เรียกว่าหน้าตาดีสาวๆ เลยเข้ามาติดเองเข้าใจหรือไม่”
พูดถึงตรงนี้ก็กวาดตาพิจารณาใบหน้าที่สวยสดงดงามของมั่วชิงเฉิน ส่งกระแสจิตมา “แต่น้องข้า เจ้าอย่าได้อิจฉาพี่ที่เป็นเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะมีข้อดี แต่อย่างไรก็เป็นหญิงสาว ไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวจะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา ไม่ใช่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนจะมีจิตใจสว่างไสวเหมือนพี่ชาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงงามแล้วจะไม่วอกแวก…”
“เงียบปาก!” มั่วชิงเฉินเริ่มอดไม่ได้นึกอยากเอาก้อนอิฐออกมา
ไม่นานทั้งสองคนก็เดินมาถึงบริเวณดูแล ชายชราระดับสร้างรากฐานที่ผมหงอกทั้งหัวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นมีคนเดินเข้ามา ต่อให้ข้างหน้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปเท่าไรนัก แลดูไม่มีชีวิตชีวา
“ผู้ดูแล พวกเราสองคนอยากเช่าเรือนพัก” เมื่อเห็นว่าเป็นคนแก่ ถังมู่เฉินหลบออกไปอีกข้างดูวิวทิวทัศน์ด้วยความเบื่อหน่าย จึงเป็นมั่วชิงเฉินที่เอ่ยปากพูด
ชายชราสะบัดมือ แผนที่ขนาดใหญ่แผ่นหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ บนนั้นเป็นรูปห้องและภูเขาแม่น้ำ แม้แต่ต้นไม้ก็ปรากฏขึ้นมาจนครบ
“เรือนพักที่นี่ล้วนจองทีเดียวสามปี เรือนพักเขตสีส้มสามปีหนึ่งพันก้อนหินพลังวิญญาณ เขตสีเหลืองสามปีสามพันก้อนหินพลังวิญญาณ เรือนพักเขตสีฟ้าสามปีสองหมื่นก้อนหินพลังวิญญาณ ทั้งสองท่านเลือกตามใจชอบ หากอยู่ไม่ครบสามปีก็ไม่คืนให้” ชายชราพูดเรียบๆ ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมา
มั่วชิงเฉินนึกประหลาดใจ เช่าเรือนพักช่างแพงเสียจริง อีกทั้งต้องพักสามปี หากพวกเขาตอบรับนัดครึ่งปีของเฉิงหรูยวน เช่นนั้นก็สิ้นเปลืองมิใช่หรือ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เรือนพักก็ยังคงต้องเช่า สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วสถานที่พักเท้าที่ปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“อยากขอถามผู้ดูแลเสียหน่อย หากพวกเราเช่าเพียงขึ้นปีเล่า มีเป็นช่วงระยะสั้นหรือไม่” สถานการณ์ในตอนนี้หากประหยัดได้ก็ประหยัดเถิด
ชายชราเหลือบตาขึ้นมอง พูดเรียบๆ “เช่นนั้นก็มีแต่เขตสีขาวบริเวณริมขอบแล้ว เก็บค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน หนึ่งเดือนราคาห้าสิบก้อนหินพลังวิญญาณ”
หนึ่งเดือนราคาห้าสิบก้อนหินพลังวิญญาณ หากเช่าอยู่ครึ่งปีจะเป็นสามร้อยก้อน แม้จะไม่คุ้มเท่าเช่าเรือนพักเขตสีส้มรายสามปี แต่อย่างน้อยก็ยังประหยัดไปเจ็ดร้อยก้อนหินพลังวิญญาณ
มั่วชิงเฉินตัดสินใจเช่าห้องประเภทนี้ในทันใด แต่กลับได้ยินถังมู่เฉินพูดขัดขึ้น “เขตสีม่วงตรงนี้คืออะไร ดูแล้วพื้นที่เล็กนัก”
ในดวงตาของชายชราปรากฏแววดูถูกขึ้นมาแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว “ตรงนั้นไม่ปล่อยเช่า”
“เช่นนั้นพวกเราเช่าเขตสีขาว เช่าครึ่งปีก่อนแล้วกัน” มั่วชิงเฉินพูดขึ้นเรียบๆ
ชายชราไม่ได้พูดอะไรอีก นิ้วมือขยับสะบัดแสงสีขาวออกมาสายหนึ่งใส่เข้าไปในเขตสีขาว พื้นที่ตรงนั้นขยายใหญ่ขึ้นมาในทันใด กินพื้นที่ไปเกือบทั้งแผ่นที่ บนนั้นมีแสงสีแดงสีเขียวปรากฏสลับกันไปมา
“แสงสีแดงมีคนเช่าไปแล้ว แสงสีเขียวล้วนว่างอยู่ พวกเจ้าเลือกกันเองสักที่เถิด” ชายชราพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
มั่วชิงเฉินมองดู ชี้ไปยังเรือนเช่าสองหลังบริเวณติดริมตีนเขาแล้วพูดว่า “สองที่นี้ก็แล้วกัน”
ถังมู่เฉินถลึงตาโต “น้องข้า เจ้าเช่าสองที่หรือ”
“ไม่เช่นนั้นเล่า” มั่วชิงเฉินกัดฟันแน่น
นางยังคิดอยากจะศึกษาวิธีการหลอมยาของที่นี่อยู่ แล้วก็ศึกษาวิธีเดินทางไปเสวียนโจว ก่อนหน้านี้เพราะสถานการณ์บีบบังคับก็แล้วไป แต่ตอนนี้นางไม่ได้โดนครอบงำเสียหน่อย เหตุใดต้องมาเบียดอยู่กับตัวโชคร้ายนี้ด้วย
เสียงกระแสจิตของถังมู่เฉินดังลอยไปมาในหัวของมั่วชิงเฉิน “น้องข้า ทำเช่นนี้สิ้นเปลืองมากเท่าไร”
“ไม่สิ้นเปลือง” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่เกรงใจ
หากว่านางกำลังศึกษาวิชาหลอมยาอยู่ แล้วต้องมามีผลกระทบเพราะคนผู้นี้ นั่นถึงจะเรียกว่าสิ้นเปลืองอย่างแท้จริง
ถังมู่เฉินยังคิดจะเกลี่ยกล่อม “เฮ้อ น้องข้า เงินที่ใช้เช่าเรือนพักยังไม่สู้ว่าเอามาให้ขาย อย่างไรก็เช่าเพียงครึ่งปี เบียดสักหน่อยก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“เช่าห้องเดียวก็ได้ เจ้าไม่ต้องพัก จะไปไหนก็ไป” เสียงของมั่วชิงเฉินไร้ซึ่งความรู้สึก
ถังมู่เฉินแสดงสีหน้าเจ็บปวด กระพริบตาไม่พูดอะไร
“ทั้งสองท่านเลือกแล้วหรือยัง” น้ำเสียงของชายชราเริ่มแฝงความไม่พอใจ
“เช่าสองที่นี้แล้วกัน” มั่วชิงเฉินส่งหินพลังวิญญาณไปให้ แล้วรับป้ายสองป้ายมาจากชายชรา จากนั้นเดินออกไป
ชายชรามองแผ่นหลังทั้งสองคนแล้วเบะปากออก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนทำตัวขนาดนี้ได้ช่างน่าอายเสียจริง ยังไม่สู้คนแก่ใกล้ลงโรงที่ทำอาชีพนี้อย่างเขา!
มั่วชิงเฉินทั้งสองคนไม่ได้เสียเวลาอีก เดินอ้อมเขตบริเวณการค้า มาถึงพื้นที่เช่าอาศัยของผู้บำเพ็ญตน
ที่พักชั่วคราวที่ถูกที่สุดเช่นนี้ตั้งอยู่บริเวณริมนอกสุดภายในเขตการค้า พวกมั่วชิงเฉินแสดงป้ายเช่าห้องเพื่อเดินเข้าไปในเมือง จนหาที่เช่าพักของตนพบ
นี่เป็นเรือนพักสองหลังติดกัน ทุกหลังล้วนมีกำแพงสูงตั้งกั้นไว้ ประตูใหญ่เป็นสีแดงสด มองภาพภายในไม่ออก มองแต่ข้างนอกแล้วไม่ใหญ่เท่าไรนัก
มั่วชิงเฉินเลือกหลังหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ นางเดินเข้าไปในห้องโดยไม่หันกลับมามองถังมู่เฉินที่ทำตาละห้อย ส่งกระจิตว่า “รอจนข้าอ่านหนังสือจบแล้ว เจ้าค่อยมาเอา”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนหน้าถังมู่เฉิน “น้องสาวช่างดีเหลือเกิน”
สิ่งที่เขาได้รับคือเสียงปิดประตูดัง
ในที่สุดก็สงบ
มั่วชิงเฉินถอนหายใจยาว พิจารณาสถานที่พักขาชั่วคราวของตน
เรือนพักไม่ได้ใหญ่นัก มีเพียงห้องหลักหนึ่งห้อง ห้องรับแขกหนึ่งห้อง บวกกับห้องฝึกวิชาหนึ่งห้อง นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ยังดีที่ภายในมีเครื่องเรือนที่จำเป็นต้องใช้อย่างครบถ้วน ประหยัดเงินที่ต้องเอาไปซื้อ
มั่วชิงเฉินไม่ได้ขออะไรมากนัก ขอเพียงมีที่พักเท้า ปลอดภัยไร้ปัญหาก็พอแล้ว
นางปล่อยสัตว์พลังวิญญาณสองตัวออกมารับลม กระถางต้นไม้ที่ปลูกต้นท้อวางไว้กลางเรือน และปล่อยผึ้งวิเศษโลหิตหยกไว้มุมกำแพงแล้วจึงเดินเข้าห้องหลักกวาดสายตามองรอบข้าง จากนั้นก็ถือหนังสือทั้งสี่เล่มเดินออกมา