พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 368
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 368 เกิดความละอายขึ้นในใจ
มั่วชิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ยาว หยิบแผ่นหยกที่บันทึกวิชากำหนดไปออกมา
หนังสือวิชากำหนดไฟเล่มนี้นางไปได้มาจากบริเวณซอกหลือบในตลาดที่มีแผงวางขายของมากมาย ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นดูอมทุกข์ได้ยากอยู่เล็กน้อย บนแผงเต็มไปด้วยสิ่งของหลายอย่างวางกระจัดกระจายกันไป มีทั้งวัตถุดิบจากสัตว์อสูร มีหนังสืออยู่จำนวนหนึ่ง ดูแล้วเละเทะไม่เป็นระเบียบ
ตลอดทางที่นางเดินเมื่อเห็นหนังสือและแผ่นหยกก็จะหยุดดูอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าแผงนี้ขายของหลากประเภท แต่เดิมก็ไม่ได้มีความหวังอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบสิ่งดีๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
วิชากำหนดไปแม้จะไม่ถือว่าเป็นวิชาลับ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหาซื้อได้ทั่วไป ถือได้ว่าเป็นวิชาที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ อย่างน้อยตอนแรกที่อยู่ตรอกมั่วเซียง นางก็ไม่เคยเห็นหนังสือประเภทนี้มาก่อน
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นเรียกราคาสี่พันก้อนหินพลังวิญญาณ บอกว่าเป็นวิชาเฉพาะที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่ต้นตระกูล หากไม่จำเป็นต้องรีบใช้หินพลังวิญญาณก็ไม่มีทางนำออกมาขายเป็นแน่
มั่วชิงเฉินเห็นว่าหนังสือเล่มนี้คุ้มราคา และเห็นท่าทีอมทุกข์ได้ยากของผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้น จึงไม่ได้ต่อราคา ตกลงซื้อมาเลย
แผ่นหยกที่นำออกมาขายเช่นนี้ นอกจากเนื้อหาด้านหน้าที่สามารถเปิดเผยได้ เนื้อหาด้านหลังล้วนถูกเจ้าของเดิมหรือร้านหนังสือทำการปิดกั้นเอาไว้ ไม่อาจใช้พลังจิตในการแอบดู หลังจากที่ผู้ซื้อซื้อไปแล้ววิธีการกำจัดย่อมต้องบอกให้ทราบ
ท่องคาถาสลายการปิดกั้น มั่วชิงเฉินใช้พลังจิตเข้าไปดูอย่างละเอียด
ข้อมูลในแผ่นหยกไม่ได้ถือว่าเยอะเท่าไรนัก ด้วยความสามารถทางความทรงจำของผู้บำเพ็ญเพียรแล้วเวลาไม่นานก็สามารถจำลงไปได้หมด แต่มั่วชิงเฉินกลับหลับตาสนิทตลอดทั้งคืน ตราบจนขอบฟ้าเริ่มมีแสงอาทิตย์ปรากฎให้เห็นถึงได้ทำความเข้าใจเนื้อหาเหล่านั้นได้อย่างหมดจด
แต่เท่านี้มันยังไม่พอ คิดจะเข้าใจวิชาลับไฟกำหนดโดยแท้จริงจะต้องผ่านการฝึกในกว่าร้อยครั้งพันครั้ง
เมื่อลืมตาขึ้น ค่อยๆ ยื่นมือออกไป แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาตามหน้าต่าง เสมือนนำพากลิ่นหอมของยามเช้าลอยเข้ามา สะท้อนนิ้วเรียวยาวให้ดูเหมือนโปร่งแสง
จู่ๆ นิ้วเรียกก็ขยับเล็กน้อย เปลวไฟสีฟ้าอ่อนไหลออกมา เปลวไฟมีขนาดเล็กและบาง ครอบคลุมติดอยู่บนนิ้วมือทั้งห้าอย่างแน่นหนา เหมือนว่านางกำลังสวมใส่ถุงมือบางคู่หนึ่ง
นั่นเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ทั้งๆ ที่เปลวไฟสีฟ้าอ่อนนี้ทั้งเย็นและหนาวเหน็บ หากร่างกายที่มีเลือดเนื้อได้สัมผัสจะถูกแช่แข็ง แต่มั่วชิงเฉินกลับไม่มีความรู้สึกนั้นแม้แต่น้อย ความรู้สึกเย็นเข้ากระดูกกลับทำให้จิตใจของนางยิ่งปลอดโปร่งมากกว่าเดิม ความรู้สึกเลือดเนื้อเชื่อมต่อกันนั้นเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ไฟแก้วบริสุทธิ์แต่เดิมเป็นไฟแท้ในร่างกาย เหมือนว่าเคยชินกับการดำรงอยู่ของมัน ควบคุมไฟหินงอกก็เหมือนกับน้ำค้างหวานที่ตกลงบนพื้นที่แห้งผาก หายไปไร้ร่องรอยมาเนิ่นนาน เพียงแค่สำแดงฤทธิ์ของตนเองอยู่เงียบๆ
แต่เปลวไฟที่หนาวเหน็บนี้ มันเย็น มันหนาว ตอกย้ำเตือนการดำรงอยู่ของตัวมัน แล้วการดำรงอยู่ของมันยังหลอมรวมกับตนเองเป็นร่างเดียว เรียกใช้ตามปรารถนา เรียกเก็บตามอัธยาศัย
เสี้ยววินาทีนั้นความเข้าใจที่มีต่อไฟกำหนดของมั่วชิงเฉินยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพียงแค่ขยับนิ้วน้อยๆ เปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่เป็นชั้นบางก็หลอมหลายเป็นกริชคมเล่มหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนไปอีก กลายเป็นนกน้อยสีฟ้าตัวหนึ่ง เหมือนโดยไร้ที่ติ แต่ไม่นานเจ้านกน้อยก็สลายหายไปกลับกลายเป็นเปลวไฟสีฟ้าอ่อนอีกครั้งหนึ่ง
ใจของมั่วชิงเฉินรับรู้ ในตอนนั้นจึงขจัดความคิดวุ่นวายทุกอย่างออกไป กำหนดจิตใจฝึกวิชาไฟกำหนดอีกครั้ง
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปโดยรวดเร็ว มั่วชิงเฉินวาดมือซ้ายออกมาดอกบัวสีฟ้าดอกหนึ่งค่อยๆ บานออกบนมือของนาง จากนั้นก็ค่อยๆ รวมตัวเข้าหากันจนกลายเป็นดอกตูม และบานออกอีกครั้ง
ดอกไม้บาน ดอกไม้ร่วง เปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุด จนถึงสุดท้ายกลายเป็นเปลวไฟชั้นบางเหมือนเมฆหมอก กลับเข้าไปในฝ่ามืออีกครั้ง
มั่วชิงเฉินกำหมัด ผ่อนลมหายใจขุ่นมัวออกมา การฝึกฝนอย่างลืมวันลืมคืนตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนถือว่ามีเกิดผลสำเร็จบ้างแล้ว
วันนี้เป็นวันที่นัดเอาไว้ว่าจะต้องไปเอาเขี้ยวปลากระหายกระดูก แม้นางจะคิดฝึกฝนต่อ แต่กลับต้องหยุดอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเปิดประตูออกมาก็มีสิ่งของสีดำสนิทพุ่งเข้ามาตรงหน้า หากไม่ใช่เพราะเสียงเรียกว่า ‘นายท่าน’ ทำให้มั่วชิงเฉินชะงักไป ก้อนอิฐในมือก็คงจะลอยออกไปแล้ว
“อู๋เย่ว์ เจ้าทำอะไร” มั่วชิงเฉินตกใจ
ตั้งแต่ที่อีกาไฟกินจนตัวอ้วนพอง ดวงตาทั้งสองข้างก็ยิ่งเล็กมากกว่าเดิม ทันใดนั้นตาเล็กกระพริบลงก็มีน้ำตาไหลลงมา สะอึกสะอื้นพูดว่า “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ออกมา หลายวันมานี้ตัวข้าเป็นห่วงเหลือเกิน”
“เป็นกังวลอะไร” มั่วชิงเฉินมองอีกาไฟที่ร้องไห้กระซิก ยิ่งรู้สึกพลึกยากจะเข้าใจ
อีกาไฟมองมั่วชิงเฉินด้วยอาการเง้างอด “ไม่ใช่เพราะตัวข้าเป็นห่วงท่านหรือ หินพลังวิญญาณหายไปแล้วไม่ปล่อยวาง…”
ริมฝีปากมั่วชิงเฉินกระตุก ยื่นมือออกไปลูบหัวของอีกาไฟอย่างไร้เรี่ยวแรง “อู๋เย่ว์ เจ้าคิดมากเสียเหลือเกิน”
พูดจบก็เดินออกไปข้างนอก
“ฮือๆ วุ่นวายอยู่นานกลายเป็นตัวข้าคิดมากไป…”
อีกาไฟเพิ่งจะผ่อนลมหายใจออก ก็เห็นมั่วชิงเฉินหันกลับมามองอย่างกะทันหัน สูดลมหายใจลึกแล้วพูดว่า “อู๋เย่ว์ สรรพนามเรียกตัวเองว่าตัวข้านี้เจ้าไปเรียนมาจากที่ใดกัน”
เจ้านี่ก่อนหน้านี้ก็เคยแทนตัวเช่นนี้มาก่อน แต่ไม่ได้บ่อยครั้งมากเท่านี้ ฟังแล้วนางรู้สึกขนลุกขนพอง
อีกาไฟพูดเสียงหอบ “วันนั้นที่ขายโอสถวิญญาณอย่างไรเล่า เจ้าคนขี้เหร่ที่ขายเครื่องประดับพูดคำว่าตัวข้าอยู่ตลอด ข้าเห็นผู้ชายมากมายที่อยู่รอบข้างแอบมองนางด้วย”
สีหน้าของมั่วชิงเฉินดูแปลกประหลาด อีกาไฟนี่เกิดมีความรู้สึกอยากมีความรักหรืออย่างไร มันเพิ่งจะอยู่ขั้นห้ากระมัง
“ทำไมหรือนายท่าน”
มั่วชิงเฉินกรอกตา “ต่อไปนี้อย่าแทนตัวเองเช่นนี้อีก มีเพียงคนอย่างถังมู่เฉินเท่านั้นแหละที่ชอบฟัง”
“ถังมู่เฉิน?” อีกาไฟกระพือปีกด้วยอารมณ์หลากหลาย “ให้ตาย ข้าพูดไม่น่าฟังขนาดนี้เชียวหรือ!”
มั่วชิงเฉินเซไป อยากพูดเหลือเกินว่าเจ้ากลับไปแทนตัวเองเช่นนั้นเถิด นางเร่งฝีเท้าเดินไปเปิดประตู
นอกประตูว่างเปล่าไร้ผู้คน เห็นเพียงประตูสีแดงบานใหญ่ที่ปิดสนิท นั่นคือที่พักของถังมู่เฉิน
‘เขาไม่อยู่หรือ’
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของมั่วชิงเฉินจากนั้นก็ต้องหัวเราะเยาะตัวเอง ความเคยชินถือเป็นเรื่องที่น่ากลัว คนที่หนวกหูดวงซวยเช่นนั้น จู่ๆ หายไปกลับทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาไปทำอะไรอยู่
เมื่อคิดเช่นนั้นนางก็สะบัดหัวไล่ความรู้สึกนี้ออกไป ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
ในตอนนี้เองมีเสียงเสียดสีของประตูใหญ่ฝั่งตรงข้ามดังออกมา หัวคนโผล่ออกมาจากประตูบานนั้น “น้องสาว เจ้าจะไปตลาดหรือ”
เห็นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสของถังมู่เฉิน มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม”
ดูจากความเข้าใจที่มีต่อถังมู่เฉิน แต่เดิมมั่วชิงเฉินคิดว่าเขาจะพุ่งออกมา วุ่นวายกับนางขอตามไปด้วยอย่างไร้ยางอาย ใครจะรู้ว่าเขากลับเพียงกระพริบตาปริบๆ ไม่ได้แสดงท่าทีส่งสายตาประหนึ่งมีกระแสไฟอยู่ในตาเหมือนที่ทำกับหญิงบำเพ็ญเพียรอื่นๆ แต่กลับบริสุทธิ์อย่างผิดปกติ พูดเสียงเบาว่า “เช่นนั้นน้องสาวไปเพียงลำพังก็ต้องระวังด้วย ใช่แล้ว นี่มีหนึ่งพันก้อนหินพลังวิญญาณ ข้ารู้ว่ามันยังไม่พอ เจ้าเอาไปก่อน ข้า…ข้าจะพยายามหาเพิ่ม”
มองดูถุงหินพลังวิญญาณที่ลอยตกลงบนมือ ในวินาทีนั้นมั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอย่างไร ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าเอาหินพลังวิญญาณมาจากที่ใด”
“อย่างไรซะก็ไม่ได้แย่งมาขโมยมา” ถังมู่เฉินยิ้มสดใส แล้วยังมีความภูมิใจในตัวเองอยู่เล็กน้อย แท้จริงแล้วความรู้สึกของการคืนเงินหลังจากติดหนี้มันดีเช่นนี้เอง
มั่วชิงเฉินเหลือบมองเห็นท่าทางพึงพอใจของถังมู่เฉิน พูดสิ่งที่ทำให้ตัวนางรู้สึกสลดใจอย่างมากออกมา “เจ้า เจ้าคงจะไม่ได้ไป…กับสตรี”
พูดถึงตรงนี้ก็ต้องรีบหยุดลงแต่กลับพบว่าสีหน้าของถังมู่เฉินนั้นขาวซีดขึ้นมาในทันใด เขาเหลือบมองนางเร็วๆ ในดวงตานั้นแฝงความเย็นชา มีความตื่นตะลึง และยังมีความไม่คิดเชื่อ จากนั้นก็กลายมาเป็นความนิ่งเฉย พลางมองนางอีกครั้งแล้วค่อยๆ ปิดประตูลง
มั่วชิงเฉินยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น จู่ๆ ในใจเกิดความรู้สึกสลดใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตนเองเป็นอะไรไป เพราะว่าเขานำพาโชคร้ายมาสู่ตน เพราะหน้าตาทะเล้นของเขา เพราะเขาดูเหมือนไม่เคยโกรธมาก่อนทำเป็นเพียงติดตามหน้าอย่างไร้ยางอาย ตนเองถึงคิดเองเออเองจนเอ่ยวาจาทำร้ายคน
ไม่ถูก นี่ไม่ถูกต้อง พันคนก็มีพันหน้า อุปนิสัยแตกต่างกันออกไป มีคนที่อาจจะไม่ถูกชะตา สามารถอยู่ห่างไกลได้ สามารถเป็นคนแปลกหน้าได้ แต่ก็ควรจะมีความเคารพขั้นพื้นฐาน
ไม่เห็นด้วย แต่ต้องเคารพ ไม่มีใครกล้าบอกว่าการปฏิบัติตนต่อคนอื่นของตนเองนั้นเป็นแบบอย่างที่สุด ถูกต้องที่สุด
ความคิดนี้กระโดดไปมาอยู่ในใจของมั่วชิงเฉิน หน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อบางๆ ผุดออกมา
“นายท่าน ท่านร้อนหรือ” เจ้าเขาน้อยที่อยู่ในถุงสัตว์พลังวิญญาณถามขึ้น
มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “อืม ช่วงนี้ข้าจิตใจฟุ้งซ่านไม่สงบไปหน่อย ยังดีที่อากาศเริ่มเย็นลง จากนี้คิดว่าคงดีขึ้น”
พูดจบก็ตัดขาดการติดต่อกับเจ้าเขาน้อย ก้าวตรงขึ้นไปเคาะประตูสีแดง
ประตูถูกเคาะอยู่นานยังไม่ถูกเปิดออก มั่วชิงเฉินยืนอยู่นิ่งๆ ครู่หนึ่ง หัวเราะขมขื่นออกมา เขาคงจะโมโหเป็นอย่างมากกระมัง นับจากนี้คงเป็นอย่างที่ตนเองตั้งใจเอาไว้จริงๆ ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
มั่วชิงเฉินหุนตัวเดินออกไปข้างนอก หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าวประตูใหญ่จู่ๆ ด้านหลังก็ถูกเปิดออก นางหันกลับไปในทันใด ถังมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตู มองตรงมาทางหน้าอยู่เงียบๆ
“พี่ถัง…” มั่วชิงเฉินเดินไปข้างหน้า
ไม่มีการประชดประชันอย่างที่คิดไว้ ถังมู่เฉินยังคงมองนางอยู่นิ่งๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสดใส เป็นประกาย จู่ๆ กลับมานิ่งสงบเช่นนี้ กลับเหมือนว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกคน
จะให้อภัยหรือไม่ถือเป็นเรื่องของคนอื่น แต่จะขอโทษหรือไม่กลับเป็นเรื่องของตนเอง การทำสิ่งที่ไม่ละอายแก่ใจนั้นเป็นกฎที่มั่วชิงเฉินยึดถือมาตลอด
“พี่ถัง ขอโทษ ข้าพูดไม่คิด…”
ถังมู่เฉินยิ้มออกมาน้อยๆ “น้องข้า เจ้าไม่ได้พูดไม่คิด แต่เพราะในใจของเจ้าข้าเป็นคนเช่นนั้น เจ้าถึงได้เอ่ยคำพูดออกมา”
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากน้อยๆ “ฉะนั้นชิงเฉินต้องขอโทษอีกครั้ง หวังว่าพี่ถังจะไม่เอาคำพูดนั้นเก็บไปใส่ใจ”
ถังมู่เฉินหลุบตาลง ยิ้มสดใส “ข้าคนนี้เป็นคนลืมง่าย น้องสาว เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ารีบไปเถิด จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ขอตัวจากไป
มั่วชิงเฉินยืนอยู่หน้าประตูตราบจนมองไม่เห็นเงาของมั่วชิงเฉิน แล้วถึงได้ปิดประตูลงกลอนประตูเรือน ก้าวเท้าเดินไปอีกทางหนึ่ง
เขาเดินผ่านตามตรอกซอกซอย เดินอ้อมไปมาจนถึงประตูบานหนึ่ง หลังจากเข้าไปแล้วดูเหมือนจะธรรมดา เขาเดินมาตลอดทางภายใต้การนำของเด็กนำทางจนถึงทางเข้าใต้ดินแห่งหนึ่ง
“คุณชายถัง ท่านอยู่สนามที่สอง อีกครู่ก็จะวนมาถึงแล้ว”
ถังมู่เฉินพยักหน้า เปลี่ยนเป็นชุดรัดรูปเดินเข้าในสนาม ภายในนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งรออยู่แล้ว
ทั้งสองคนมือสอดประสานทำความเคารพ อีกคนที่อยู่ข้างๆ สะบัดมือ “เริ่มได้!”
ทั้งสองคนเริ่มเข้าสู้กันอย่างรุนแรง ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นท่าทางถึงแก่ชีวิต
คนดูที่ล้อมรอบอยู่ล่างเวทีนั้นส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจ ทั้งสนามถูกปลุกเร้าลุกฮือ
แท้จริงแล้วที่นี่เป็นสนามต่อสู้ใต้ดิน แบ่งออกเป็นระดับสร้างรากฐานและระดับก่อแก่นปราณสองสนาม จะถูดจัดแข่งต่อสู้ทุกๆ ครึ่งเดือน ระดับสร้างรากฐานและระดับก่อแก่นปราณมีอย่างละสามสนาม ไม่สนใจเรื่องเป็นตาย ผู้ชนะของสนามระดับก่อแก่นปราณจะได้รับสองพันก้อนหินพลังวิญญาณ
หินพลังวิญญาณของถังมู่เฉินย่อมได้มาจากสถานที่แห่งนี้
มั่วชิงเฉินกลับไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เมื่อนางมาถึงตลาดก็รีบพุ่งตรงไปที่แผงหมายเลขแปดสิบแปด
“แม่หญิงมาแล้ว” จินเป่าเจินเหรินเห็นมั่วชิงเฉินก็พูดพลางยิ้มตาหยี
มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับ “สหายเต๋าจินเป่า ไม่ทราบว่าอาวุธของข้าหลอมเสร็จแล้วหรือยัง”
จินเป่าเจินเหรินส่งกล่องไม้กล่องหนึ่งไปให้ “ดูเอาเอง”
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไปรับ เปิดกล่องไม้ออกเป็นช่องเล็กๆ