พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 369
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 369 กริชคู่นามว่าฟันปลา
กริชสีเทาขาวคู่หนึ่งนอนนิ่งอยู่ในกล่องไม้ ไม่ได้มีแสงส่องประกายหลากสีเหมือนอาวุธเวทที่เห็นกันบ่อยครั้ง มองดูเร็วๆ แล้วจืดชืดไม่มีประกาย มีเพียงลายสลับซับซ้อนที่ถูกสลักลึกๆ ตื้นๆ สลับกันบนด้ามกริชนั้นที่แลดูประณีตและลึกลับ
มั่วชิงเฉินยื่นมืออกไปจับกริช กริชสั่นเล็กน้อยประหนึ่งมีจิตวิญญาณ ความรู้สึกเย็นสบายแหลมคมถ่ายทอดเข้ามาจากปลายนิ้วเข้าสู่ก้นบึงหัวใจ
มั่วชิงเฉินตะลึงไปในทันใด อาวุธวิเศษที่สามารถถ่ายทอดลักษณะพิเศษของตัวเองออกมาได้เห็นชัดว่ามีจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณประเภทนี้ไม่ได้แปลว่ามีชีวิต แต่เป็นเพราะในขั้นตอนการหลอมอาวุธเวทนักหลอมอาวุธได้เพิ่มสิ่งของบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ลงไป นับแต่นั้นถือเป็นการสรรค์สร้างจิตวิญญาณให้กับมัน
อาวุธเวทเช่นนี้สุดท้ายแล้วกลายเป็นหนึ่งเดียวในบรรดาอาวุธวิญญาณร้อยล้านชนิด แต่อาวุธวิญญาณทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นมาจากการครอบครองลมหายใจแห่งจิตวิญญาณ
ลมหายใจแห่งจิตวิญญาณขับเคลื่อน กำเนิดอาวุธวิญญาณ เพราะเหตุนี้ถึงได้เป็นผลสำเร็จ
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ช่างไกลจากมั่วชิงเฉินนัก นางรู้เพียงแค่อาวุธเวทที่ครอบครองลมหายใจแห่งจิตวิญญาณเวลาที่ใช้งานแม้จะไม่ถนัดมือเหมือนกับอาวุธแห่งชะตา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายนั้นแข็งแกร่งกว่าอาวุธเวททั่วไปอยู่มาก
อาศัยเพียงเรื่องนี้สองพันก้อนหินพลังวิญญาณก็ถือว่าคุ้มแล้ว!
มือทั้งสองข้างถือกริชเอาไว้ข้างละด้าม ยังไม่ทันได้ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้น ยามที่ถ่ายพลังวิญญาณลงไปมั่วชิงเฉินเหมือนได้ยินเสียงร้องคราง กริชสองเล่มในมือเหมือนกับสัตว์ร้ายที่พร้อมพุ่งโจมตี จู่โจมศัตรูจนถึงแก่ชีวิต
สายตาเคลื่อนออกจากกริช มองดูสาสน์หยกแผ่นเล็กที่นอนอยู่ในมุมหนึ่งของกล่องไม้
สาสน์หยกและแผ่นหยอกไม่เหมือนกัน แผ่นหยกเอาไว้บันทึกข้อมูลจำนวนมาก ปกติแล้วจะบันทึกวิทยายุทธ์ หรือกระบวนการฝึกวิชา แต่สาสน์หยกนั้นกลับบันทึกเพียงข้อมูลย่อหน้าเล็กๆ
มั่วชิงเฉินมองจินเป่าเจินเหรินทีหนึ่ง จินเป่าเจินเหรินยิ้มแย้มพลางพยักหน้า มองดูแล้วมีความมั่นใจต่ออาวุธที่ตนเองสร้างขึ้นมาอยู่เต็มเปี่ยม
มั่วชิงเฉินเอื้อมมือไปหยิบสาสน์หยกและถ่ายทอดกระแสจิตเข้าไป ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับยินดีเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่ากริชคู่สองเล่มนี้จะสลักม่านพลังเอาไว้สามชั้น
บนด้ามกริชสลักม่านพลังเอาไว้สองชนิด หนึ่งในนั้นคือม่านพลังเพิ่มความเร็ว เวลาที่เร่งพลังวิญญาณรับมือศัตรูจะทำให้มือทั้งสองข้างขยับได้เร็วขึ้น เพิ่มความเร็วอัตราการโจมตีแต่ไม่ลดทอนกำลังพลังวิญญาณ และอีกม่านหลังนั้นกลับทำให้มั่วชิงเฉินยินดีเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการดูดพลังวิญญาณ!
ที่บอกว่าดูดพลังวิญญาณก็คือการดูดพลังวิญญาณที่อีกฝ่ายบรรจุเอาไว้ในอาวุธเวทให้กลายเป็นพลังวิญญาณของตนเอง ทำให้พลังวิญญาณมีต่อเนื่อง ศัตรูอ่อนแอตัวเราเข็มแข็ง
เพราะว่าเวลาที่ต่อสู้นั้นการเสริมด้วยยาบำรุงพลังวิญญาณนั้นไม่อาจสู้พลังวิญญาณที่ถูกใช้ไป มั่วชิงเฉินมีเส้นชีพจรที่กว้างมากกว่าคนปกติ พลังวิญญาณที่สั่งสมอยู่ภายในร่างกายของนางในระดับก่อแก่นปรารชั้นต้นนั้นเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง หากมีกริชคู่นี้อีกก็ไม่ต่างอะไรจากเสือติดปีก แสร้งทำเป็นอ่อนแอตลบหลังเสือ จู่โจมศัตรูให้ตั้งตัวไม่ทัน
ม่านพลังที่สามกลับถูกสลักอยู่บนคมมีด บนสาสน์หยกบอกไว้ว่าเป็นม่านแสงอาทิตย์จันทรา ยามที่ขับม่านพลังจะมีแสงประกายจัดจ้าไม่มีที่เปรียบสองเส้นส่องออกมาอย่างกะทันหันส่องตรงไปยังดวงตาของฝ่ายตรงข้ามทำให้อีกฝ่ายตาบอดสนิทไปชั่วงระยะเวลาหนึ่ง และทำให้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการคุมตัวศัตรู
แต่ม่านแสงอาทิตย์จันทรากลับมีข้อจำกัด ทุกวันสามารถกระตุ้นใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง เพราะสิ่งที่บำรุงมันไม่ได้ใช่พลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียร แต่เป็นแสงของพระอาทิตย์และพระจันทร์ จะต้องผ่านการอาบชำระแสงอาทิตย์หนึ่งวันและแสงพระจันทร์หนึ่งคืนถึงจะทดแทนพลังงานที่ม่านพลังต้องการในการกระตุ้นใช้งาน
“สหายเต๋า หากเจ้าดูเสร็จแล้วช่วยหลีกทางให้หน่อยได้หรือไม่” ข้างหลังมีเสียงเย็นๆ ดังขึ้นมา
มั่วชิงเฉินถึงได้เรียกสมาธิกลับคืนมา หันกลับไปมาเป็นชายหนุ่มชุดดำเมื่อเดือนก่อนคนนั้น
มีอาวุธเวทที่ถูกใจมั่วชิงเฉินอารมณ์ดีอย่างมาก ขี้เกียจจะไปหาเรื่องกับคนผู้นี้ นางเอาหินพลังวิญญาณที่เหลือส่งให้จินเป่าเจินเหริน “สหายเต๋าจินเป่า อาวุธวิเศษถูกใจข้ายิ่งนัก ขอบคุณมาก นี่คือหินพลังวิญญาณที่เหลือ หากมีอะไรต้องการอีกจะต้องกลับมาอีกครั้งเป็นแน่”
จินเป่าเจินเหรินรับหินพลังวิญญาณและใช้กระแสจิตกวาดดูแล้วจึงเก็บเข้าแขนเสื้อ พูดยิ้มแย้มว่า “ไม่มีปัญหา ขอแค่แม่หญิงมีหินพลังวิญญาณเยอะ ข้าจะต้องทำให้เจ้าพอใจเป็นแน่”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน” มั่วชิงเฉินอยากรีบกลับไปทำความเข้าใจอาวุธวิเศษใหม่ และไม่คิดอยากอยู่ขัดหูขัดตาคนข้างหลัง เอ่ยพูดขอตัวออกมา
“รอก่อนแม่หญิง” จู่ๆ จินเป่าเจินเหรินก็เอ่ยปากขึ้น
มั่วชิงเฉินชะงักเท้า มองไปยังจินเป่าเจินเหริน
“ข้าเห็นว่าแม่หญิงเป็นนักหลอมยาฝีมือเยี่ยม อยากจะรบกวนให้แม่หญิงหลอมโอสถจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าแม่หญิงมีเวลาว่างหรือไม่”
“ไม่ทราบว่าสหายเต๋าจินเป่าต้องการโอสถวิญญาณอะไรหรือ” คนผู้นี้มีความสามารถสูงในการหลอมอาวุธ หากว่าสามารถผูกสัมพันธ์ได้ นางย่อมต้องยินดีอย่างมากเป็นแน่
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว “โอสถวิญญาณหวน ไม่ทราบว่าแม่หญิงหลอมได้หรือไม่”
มั่วชิงเฉินอึ้งไปเล็กน้อย มองไปยังจินเป่าเจินเหรินอีกครั้ง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณช่วงปลาย ไม่แปลกที่จะต้องการโอสถวิญญาณหวน
โอสถวิญญาณหวนคือโอสถวิญญาณชนิดหนึ่งที่มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเท่านั้นที่ใช้ได้ ยาชนิดนี้ไม่เพียงเพิ่มตบะบำเพ็ญ แล้วยังทำให้วิญญาณสงบ ลดมารที่จะเข้ามาครอบงำ ทำให้ตอนกำหนดเป็นระดับก่อกำเนิดสบายไปไม่น้อย
วัตถุดิบในการหลอมโอสถวิญญาณหวนไม่ถือว่าหายาก แต่วิธีการหลอมค่อนข้างยาก ระหว่างการหลอมนั้นต้องใช้นิ้วมือเพื่อดำเนินพิธีกรรมซับซ้อนอย่างมาก ผิดไปแม้นิดเดียวก็สามารถทำให้เรือล่มเมื่อจอดได้ ไม่ต้องพูดถึงนักหลอมโอสถทั่วไป แม้แต่นักหลอมโอสถมากฝีมือบางคนยังยากที่จะหลอมสำเร็จ
มั่วชิงเฉินไม่เคยหลอมโอสถวิญญาณหวนมาก่อน แต่เคล็ดลับหลอมโอสถที่กู้หลีมอบให้นางกลับพูดถึงเรื่องสำคัญของการหลอมโอสถประเภทนี้เอาไว้ อีกทั้งนางยังฝึกซ้อมใช้นิ้วมือวิชาเข็มกล้วยไม้ปัดจุดมาตั้งแต่เด็ก คิดว่าการหลอมโอสถคงไม่ได้เป็นปัญหา
เมื่อมีความมั่นใจก็ยิ้มน้อยๆ ส่งกระแสจิตว่า “การหลอมโอสถวิญญาณหวนแม้จะขึ้นชื่อว่ายากลำบาก เหตุใดสหายเต๋าจินเป่าถึงได้เชื่อใจข้าน้อย”
จินเป่าเจินเหรินยิ้มหวานมากกว่าเดิม “แม่หญิงพูดออกมาเช่นนี้ข้าก็แล้วว่าเลือกคนไม่ผิด แต่เดิมวัตถุดิบหลอมโอสถวิญญาณหวนเตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่เพราะเจ้าชิงตานนั่นยังไม่กลับมา หากว่าเขาจากไปไม่มีวันกลับ ข้าคงไม่อาจรออยู่เฉยๆ ได้ เห็นว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนโอสถบำรุงพลังวิญญาณของแม่หญิงมีคุณภาพชั้นยอด จะต้องเป็นฝีมือของนักหลอมยามากฝีมือเป็นแน่ ถึงได้เกิดความคิดนี้ขึ้น แม่หญิงพิจารณาดูหน่อยหรือไม่”
มั่วชิงเฉินตอบ “ในเมื่อสหายเต๋าจินเป่าเชื่อจ้า ข้าน้อยจะต้องพยายามสุดความสามารถเป็นแน่”
จินเป่าเจินเหรินตบมือ “ดี ข้าชอบนิสัยเช่นนี้ของแม่หญิงยิ่งนัก”
ในวันนั้นแม่หญิงผู้นี้ใช้น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจพูดว่าโอสถบำรุงพลังวิญญาณของนางเป็นโอสถบำรุงพลังวิญญาณที่ดีที่สุดที่ขายในตลาดแห่งนี้ คนอื่นอาจจะทำเสียงฮึดฮัดออกจากจมูก แต่ในใจของเขากลับเกิดความตื่นตะลึง
เขาเองก็เป็นคนศึกษาวิชาศิลปะ รู้ว่าการที่จะอยู่จุดสูงสุดที่เหนือกว่าคนอื่นในโลกศิลปะเหล่านี้ มีเพียงพรสวรรค์ ความขยันและประสบการณ์นั้นไม่พอ ยังจะต้องการความเผด็จการ ความมั่นใจเชิดหน้ามองทุกสิ่งอย่าง
ตอนนั้นเขาคิดว่าไม่ว่าโอสถวิญญาณของเด็กนี้จะเป็นเช่นไร อย่างน้อยความมั่นใจบนใบหน้าของนางนั้นไม่สามารถโกหกได้ ต่อให้ในตอนนั้นนางจะยังไปไม่ถึงจดสูงสุดนั้น แต่จะต้องมีสักวันที่ไปถึงจุดนั้น
เชื่อว่าตนเองสามารถทำได้ ถึงจะสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการหลอมอาวุธหรือการหลอมโอสถล้วนเหมือนกัน
จินเป่าเจินเหรินส่งถุงใบหนึ่งให้นาง “ในนี้เป็นวัตถุดิบทั้งหมดในการหลอมโอสถวิญญาณ ฟังจากที่เจ้าชราชิงตานบอกไว้ว่าเป็นปริมาณสามเตาหลอม ขอเพียงออกมาได้เตาเดียวข้าก็พอใจแล้ว”
มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับไว้ “ข้าน้อยจะพยายามสุดความสามารถ”
จินเป่าเจินเหรินหัวเราะขึ้นมาในทันใด “แต่ตัวข้ามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง หินพลังวิญญาณมีแต่รับเข้า ไม่เคยส่งออกไป หากว่าแม่หญิงหลอมสำเร็จ ข้าจะมอบของเล่นที่ทำตอนเวลาว่างให้เป็นอย่างไร”
มั่วชิงเฉินดีอกดีใจ รีบพูดว่า “เป็นเช่นนั้นก็ดีมาก”
“เช่นนั้นแม่นางจะได้คำตอบเมื่อใด”
มั่วชิงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อีกหนึ่งเดือนกระมัง”
การหลอมโอสถวิญญาณหวนแม้จะยากแต่ก็ใช้เวลาไม่นานนัก ประมาณห้าวันก็สามารถหลอมออกมาได้เตาหนึ่ง หากสามเตาอาจใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนกระมัง แต่นางคิดจะหลอมโอสถวิญญาณที่ใช้ทั่วไปจำนวนหนึ่ง นอกนั้นยังอยากจะคุ้นชินกับกริชคู่เล่มใหม่ หลังจากนี้ไปอีกหนึ่งเดือนวางแผนจะไปออกทะเลดู
น้อยครั้งที่ได้มาถึงดินแดนทั้งสิบแห่งฝั่งตะวันออก ไม่ออกไปฝึกฝีมือสั่งสมประสบการณ์เยอะๆ ให้ทั่วถือว่าน่าเสียดายมากนัก
“ดี เช่นนั้นกำหนดเวลาหนึ่งเดือน ข้าจะรอแม่นางอยู่ที่นี่”
แผงขายของในตลาดเหล่านี้เจ้าของแผงไม่ได้ออกมาขายทุกวัน มีบางครั้งที่พวกเขาไม่ได้ออกมาตั้งแผงเอง แต่จ้างคนดูแลมาช่วย
มั่วชิงเฉินหมุนตัวเดินจากไปก็เห็นใบหน้าเย็นชาออกดำคล้ำของชายหนุ่มชุดดำ สายตาที่มองนางยังแฝงความโกรธเคืองและดูถูกเอาไว้
ผู้ชายที่ชอบโมโหขนาดนี้ หึ สมน้ำหน้า!
มั่วชิงเฉินคิดพลางเชิดปลางคางขึ้น เหลือบมองเขาทีหนึ่งด้วยท่านเหมือนจะหัวเราะ ยืดอกเดินจากไป
ชายหนุ่มชุดดำกำหมัดแน่นแล้วผ่อนออก เขายืนอยู่ตรงนี้มานานเห็นว่าทั้งสองคนนั้นส่งกระแสจิตคุยอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดความอึดอัดขึ้นในใจ หญิงสาวคนนั้นกลับพึงพอใจเช่นนี้ สมแล้วที่มีเพียงหญิงสาวและคนต้อยต่ำเท่านั้นที่เลี้ยงยาก!
มั่วชิงเฉินได้อาวุธวิเศษที่สมใจปรารถนา พลางเดินเล่นในตลาดอีกระยะหนึ่ง ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมยาและของใช้บางอย่าง จากนั้นก็เข้าไปในโรงน้ำชาเพื่อจิบชาแก้วหนึ่ง ฟังข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกสารทิศ แล้วถึงได้เร่งฝีเท้าเดินไปยังทิศทางที่พัก
เมื่อเดินมาถึงทางแยกทางหนึ่งฝีเท้าของมั่วชิงเฉินก็ต้องชะงักลง เก็บงำลมหายใจแอบซ่อนอยู่มุมหนึ่ง นางเห็นถังมู่เฉินฝีเท้าซวนเซเดินไปยังทิศทางที่พัก เสื้อผ้าบนร่างแม้จะดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่บนพื้นทางเดินกลับมีรอยเลือดกระจายอยู่
เห็นเพียงเขาเปิดประตูเรือนออก แล้วยังจัดการใช้วิชาทำความสะอาดรอยเลือดที่อยู่บนพื้นให้สะอาด แล้วถึงได้เดินเข้าไปและปิดประตูใหญ่
มั่วชิงเฉินตกใจรีบเดินตามไป นางเคาะประตู “พี่ถัง”
ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้ยินเสียงถังมู่เฉิน “น้องสาว เจ้ากลับมาแล้วหรือ ข้ากำลังฝึกบำเพ็ญ หากมีธุระรอพรุ่งนี้ค่อยคุยก็แล้วกัน”
“พี่ถังเจ้าเปิดประตู ข้ามีเรื่องด่วน” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
เสียงเสียดสีประตูใหญ่ถูกเปิดออก ถังมู่เฉินสวมใส่ชุดสีขาวนวลดูสะอาดไร้ที่ติ ยืนอยู่ด้านในประตู ใบหน้ามีรอยยิ้มแจ่มใสปรากฏให้เห็น “เหตุใดหรือน้องข้า”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ถามออกไปตรงๆ “พี่ถัง ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ”
ถังมู่เฉินกระพริบตาปริบ “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าอยู่ในบ้านดีๆ มาตลอดจะบาดเจ็บได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินชี้ไปที่ใต้เท้า ถังมู่เฉินก้มหน้าลงมอง หยดเลือดที่ตกลงได้แข็งตัวกลายเป็นเกล็ดอยู่ใต้เท้า เขาถึงได้หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “อ่า น้องสาวพูดเช่นนี้ข้าถึงรู้ เอ๋ น่าแปลก บาดเจ็บได้อย่างไรกัน”
มั่วชิงเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวส่งขวดหยกขวดหนึ่งให้ “ข้างในเป็นโอสถอวี้หลงรักษาบาดเจ็บภายนอกและโอสถหลิวเสวี่ยรักษาอาการบาดเจ็บภายใน เจ้าอย่าล่าช้าอีกเลย” พูดจบก็หมุนตัวเดินไปยังที่พักของตน
ทุกคนล้วนมีความลับของตนเอง นางไม่ได้มีนิสัยสอดส่องความลับของผู้อื่น
วันเวลาหลังจากนั้นมั่วชิงเฉินปิดประตูไม่ออกไปไหน นางยุ่งวุ่นวายอยู่กับการโอสถวิญญาณบางอย่างรวมถึงยาวิญญาณหวน และยังทำความคุ้นชินกับกริชคู่
นางตั้งชื่อให้กริชคู่เล่มนั้นเรียกว่าฟันปลา เพราะเรื่องนี้นางยังถูกอีกาไฟหัวเราะเยาะอยู่นาน บอกว่าลักษณะการตั้งชื่อของนางยิ่งเหมือนกู้หลีเข้าไปเรื่อยๆ
มั่วชิงเฉินหัวเราะแต่ไม่พูด ไม่นานก็มาถึงวันที่นัดแนะกับจินเป่าเจินเหริน