พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 385
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 385 ถึงพื้นที่เปลี่ยนถ่าย
เซิงโจวกว้างใหญ่ยากจะบรรยาย พรรคสำนักฝึกบำเพ็ญและตระกูลใหญ่มากมายดุจดวงดาว แม้ว่าทุกที่จะถือการบำเพ็ญเพียรเป็นหลักแต่กลับไม่ขาดแคลนลัทธิอื่นๆ ผู้บำเพ็ญเพียรสายปราชญ์ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
แต่ผู้ที่สามารถฝึกสายปราชญ์ได้กลับน้อยนัก พวกเขาแทบจะไม่สนใจเรื่องบนโลก ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดี เพียงแต่หลบซ่อนอยู่ในโลกใช้ชีวิตอิสรเสรี
ในตอนนั้นมั่วชิงเฉินได้รับจดหมายจากหลีจื้อหยวนได้ยินเขาบอกว่าอยู่ที่สิบทวีปบูรพา ในตอนนี้ได้ยินเฉิงหรูยวนพูดเช่นนี้ใจก็เกิดฉุกคิดขึ้นมา ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายปราชญ์ที่สอนวิชาแบ่งชาให้เฉิงหรูยวนจะมีความเกี่ยวข้องกับหลีจื้อหยวนบ้างหรือไม่
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าน้อยมีเพื่อนผู้หนึ่ง เป็นสายปราชญ์เช่นเดียวกัน ตอนนี้เหมือนว่าจะเดินทางฝึกฝนในสิบทวีปบูรพา” มั่วชิงเฉินจิบชาอึกหนึ่ง
เฉิงหรูยวนเหมือนเกิดความสนใจขึ้นมา เลิกคิ้วถามว่า “อ่อ ไม่ทราบว่าเพื่อนแม่นางถังมีนามว่ากระไร”
“เขาสกุลหลี” มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดชื่อเต็มๆ ของหลีจื้อหยวนออกมา
เฉิงหรูยวนได้ยินแล้วส่ายหน้าออกมา “เหอๆ บอกแล้วว่าไม่มีเรื่องที่น่าบังเอิญเช่นนี้ เพื่อนที่ข้ารู้จักผู้นั้นสกุลเซียว”
ตอนนึ้หัวข้อสนทนานี้ได้จบลงไปแล้ว เฉิงหรูยวนไม่ใช่คนที่พูดจาสละสลวยลื่นไหล แต่กลับทำให้บรรยากาศดูไม่กร่อย มั่วชิงเฉินและเขาดื่มชาพูดคุยสนทนากัน เสิ่นฉงเหวินนั่งหน้าบูดเบี้ยวอยู่ข้างๆ ไม่พูดจา
เฉิงหรูยวนมีความตั้งใจพูดหยอกล้อสองสามประโยค คิดให้ทั้งสองคนสนิทกันขึ้นอีกหน่อย แต่กลับพบว่าทั้งสองคนนั้นไม่ถูกกันโดยธรรมชาติ ทำได้เพียงแต่ยิ้มแย้มไม่บังคับอีกต่อไป
“ท่านพี่ ท่านดู ถึงแล้ว” เสิ่นฉงเหวินที่ไม่พูดจามาตลอดเหมือนนึกโกรธแค้นจู่ๆ ลุกขึ้นมา บนใบหน้าแฝงความตื่นเต้นเอาไว้
มั่วชิงเฉินถือแก้วชาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าชายฝั่งยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พอจะมองเห็นเงาคนที่ยืนอยู่บนฝั่ง
เรือลำที่พวกเขาโดยสารแต่เดิมนั้นเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงชายฝั่ง
กลุ่มสามคนพากันลุกขึ้น นักฝึกบำเพ็ญที่เหลือก็พากันเดินออกมา
จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ระยะเวลาห้าเดือนกว่าที่อยู่บนเรือต่อให้พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพอได้เห็นพื้นดินก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นในใจ
“อ่า นี่คือพื้นที่ลับเช่นนั้นหรือ” ถังมู่เฉินสะบัดพักไปมา เขย่งเท้ามองดู
เฉิงหรูยวนยืนปะทะลม ไม่ได้หันกลับมา แต่กลับอมยิ้มพูดว่า “ไม่ใช่ ที่นี่คือพื้นที่เปลี่ยนถ่าย พวกเราล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่จากนั้นก็จะเดินทางไปพื้นที่ลับพร้อมกัน”
ช่วงเวลาที่พูดคุยกันอยู่นั้นเรือก็จอดเข้าฝั่งแล้ว เฉิงหรูยวนเดินนำขึ้นไปบนชายฝั่งก่อนหนึ่งก้าว เสิ่นฉงเหวินตามติดไปข้างหลัง
พวกมั่วชิงเฉินทั้งสี่คนเดินตามห่างไปครึ่งก้าว
“คุณชายเจ็ด” คนที่รออยู่คือผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานสองคน ท่าทางเคารพนบน้อมเมื่อเห็นเฉิงหรูยวน รีบต้อนรับให้พวกเขาเดินเข้าไปข้างใน
เฉิงหรูยวนเดินไปพลางถามไปพลาง “คนมากันเป็นอย่างไรบ้าง ข้าคงจะไม่ใช่คนสุดท้ายกระมัง”
หนึ่งในนั้นยิ้มและตอบว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ คุณชายเผยสิบสามยังมาไม่ถึง แต่คุณชายคนอื่นกลับมากันครบแล้วขอรับ”
มั่วชิงเฉินเดินตามหลังฟังบทสนทนาของทั้งสองคนไปพลาง ลอบพิจารณาภาพสถานการณ์บนชายฝั่งไปพลาง
ที่แห่งนี้ก็เป็นเกาะเล็กเช่นเดียวกัน ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะในการส่งกระแสจิตออกไปสืบเสาะ ดูไม่รู้ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่แต่ดูจากวิวทิวทัศน์บนเกาะแล้วกลับงดงามอย่างมาก
เดินต่อเข้าไปในพื้นที่ลึกก็ได้พบกับบ้านพักและตึกสูง ขอบเขตไม่เล็ก ดูท่าทางแล้วไม่ได้ถูกสร้างไว้ชั่วคราว
“โอ้ พี่เฉิง ในที่สุดท่านก็มาแล้ว น้องคิดว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว” ชายบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งนำคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา
ใบหน้าของเขายากจะปิดบังความโอหัง แต่จากที่มั่วชิงเฉินดูแล้วความโอหังของเขากลับไม่เหมือนกับความโอหังของเฉิงหรูยวน สำหรับไม่เหมือนกันที่ใดพูดไม่ออกถือว่าเป็นการทำความผิดต่อเขา
เฉิงหรูยวนยิ้มบาง ยกมือคารวะแบบผ่านๆ “ปล่อยให้พี่หม่าเป็นกังวลแล้ว”
ไม่ได้พูดอะไรมากอีกแล้วจึงก้าวเท้าเดินผ่านไป
ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลหม่าเม้มปาก สายตาร้อนแรงพิจารณมองผู้บำเพ็ญเหล่านี้ที่อยู่ข้างหลังเฉิงหรูยวน ตอนที่เห็นหญิงบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นสองคนก็หลุดหัวเราะออกมา ตะโกนไล่หลังเฉิงหรูยวนไปประโยคหนึ่ง “พี่เฉิง ไม่พบกันหลายวัน ท่านกลับกลายเป็นคนเอ็นดูไม้งามไปเสียแล้ว”
ฝีเท้าของเฉิงหรูยวนไม่แม้แต่จะชะงัก เสียงเรียบนิ่งลอยขึ้นมาจากข้างหน้า “พี่หม่าพูดเกินไปแล้ว”
เสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกทำให้การเย้ยหยันของผู้บำเพ็ญเพียรสกุลหม่าเป็นเหมือนกำปั้นที่ต่อยลงบนสำลี ใบหน้ากลั้นจนขึ้นสี ถลึงตามองแผ่นหลังชุดสีแดงเข้มที่อยู่ข้างหน้าไปทีหนึ่ง
“คุณชายเก้า เหตุใดท่านต้องเสียอารมณ์ด้วย นี่จะมีแต่ส่งผลดีต่อเรามิใช่หรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าเหลืองผู้หนึ่งพูดเสียงเบา
หม่าเก้าถึงได้สงบลง ส่งเสียงฮึดฮัด “ข้าก็เพียงแต่ไม่ชอบท่าทางของเขา คิดอยู่คุณชายผู้ดีทั่วทั้งแผ่นดินมีแค่เขาคนเดียว!”
ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวอีกคนพูดขึ้น “คุณชายเก้า หญิงบำเพ็ญที่ตามหลังคุณชายเฉิงเจ็ดทั้งสามท่านนั้น มีหนึ่งคนที่ข้าน้อยรู้จัก คนที่ใส่ชุดสีดำคือแม่นางจอมพิษที่พอมีชื่อเสียง”
คิดไม่ถึงว่าหม่าเก้าจะส่งเสียงไม่พอใจออกมา “นี่ต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ ข้าแค่คิดเย้ยหยันเขา”
พูดจบก็หันหน้าเดินจากไป
ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวแค่นหัวเราะ นี่เรื่องนี้หากคิดจะเลียแข้งเลียขาก็ต้องเลียให้ถูก
ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าเหลืองซ่อนเร้นแววเย้ยหยันในดวงตา เรื่องเช่นนี้จำต้องมีคนมาช่วยเหลือแนะนำเช่นนั้นหรือ คุณชายตระกูลใหญ่เหล่านี้สามารถฝึกมาถึงระดับก่อแก่นปราณมีใครบ้างที่เป็นคนขี้หงอ คนไม่เอาไหนอาจมีบ้าง แต่ไม่มีทางปรากฏตัวท่ามกลางตัวเลือกครั้งนี้เป็นแน่
บนเกาะมีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมาก ทอดสายตามองไปไหล นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่แต่งกายเป็นสาวรับใช้บ่าวรับใช้เหล่านั้นแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งสิ้น
มั่วชิงเฉินมองดูอยู่เงียบๆ คนที่เฉิงหรูยวนรู้จักมีไม่น้อยเลยทีเดียว ตลอดทางที่เขาเดินไปได้พบกันคนกลุ่มต่างๆ ได้เอ่ยทักทายกันทั้งหมด มีทั้งเกรงใจ มีทั้งเย็นชา มีทั้งแสดงความสนิทสนมออกมาบางส่วน
คนนำทางสองคนนั้นจัดการเรื่องที่พักให้พวกเขา เฉิงหรูยวนพูดสองสามประโยคแล้วก็ให้ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัยแล้วจึงเดินออกนอกประตูไม่รู้ว่าไปที่ใด
มั่วชิงเฉินเข้าไปยังห้องที่ถูกจัดไว้ให้ยังไม่ได้ทันได้พักหายใจถังมู่เฉินก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเดินเบียดเข้ามา
“ท่านพี่ มีเรื่องอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินมองท่าทางยิ้มแย้มของเขา กลับรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
“น้องสาว เหตุใดเพิ่งมาถึงเจ้าจึงหมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปเดินเล่นบ้างหรือ” ถังมู่เฉินยิ้มแย้มถามออกมา
มั่วชิงเฉินริมฝีปากกระตุก “ไม่ออกไปแล้ว ข้างนอกมีแต่คน”
ถังมู่เฉินเขยิบเข้ามา “เพราะว่ามีแต่คนถึงต้องออกไปดูอย่างไรเล่า ไม่แน่ว่าจะได้ทำความรู้จักเพื่อนจำนวนหนึ่ง”
“ไม่จำเป็นกระมัง ระหว่างคุณชายตระกูลสูงส่งเหล่านั้นไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปยุ่ง สำหรับคนอื่นล้วนช่วยเหลือเจ้านายของตนเอง รู้จักเพื่อนก็ไม่ควรเป็นเวลาเช่นนี้” มั่วชิงเฉินไม่สั่นคลอน
ถังมู่เฉินเห็นว่ากล่อมไม่สำเร็จจึงถอนหายใจออกมา “เอาเถิด นิสัยเช่นเจ้าอายุน้อยเพียงนี้เหตุใดถึงทำตัวเหมือนคนแก่คนชราเล่า ยังไม่น่าสนใจเท่าตอนนั้นที่เจ้าเอาก้อนอิฐตบนกกระจอกแปลงกาย เช่นนั้นข้าออกไปเดินเล่นเองแล้ว”
“ท่านพี่ระวังตัว” มั่วชิงเฉินไม่สนใจคำเย้ยหยันของถังมู่เฉิน เห็นเขาเดินออกไปก็ตั้งเขตม่านพลัง เริ่มฝึกบำเพ็ญ
ที่ถังมู่เฉินออกไปย่อมไม่ได้เป็นเพียงการเดินเล่น แต่เป็นการลอบถามข่าวสาร รู้เยอะเสียหน่อยย่อมไม่เสียประโยชน์ แน่นอนว่าหากได้พบกับแม่นางหน้าตางดงามนั่นก็ถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก
แต่น่าเสียดายที่เดินวนครบหนึ่งรอบข่าวคราวที่สอบถามมาได้มีมากมาย แต่หญิงสาวสวยงามกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งหมดมีหญิงบำเพ็ญเพียรไม่เดินสี่ห้าคน แต่ละคนบังไหล่ใหญ่เอวหนาอีกต่างหาก
ตอนที่กำลังคิดจะกลับเพราะน่าเบื่อกลับได้ยินเสียงอ่อนโยนของหญิงสาวร้องเรียกด้วยความยินดีจากด้านหลัง “พี่ถัง เป็นท่าน!”
ถังมู่เฉินเหมือนถูกสกัดจุดอย่างไรอย่างนั้น เขาหันกลับไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่มาใหม่กลับได้สติกลับมาโดยไว ยิ้มแย้มแจ่มใสพูดว่า “อ้อ นี่ไม่ใช่อวิ้นเอ๋อร์หรอกหรือ”
หญิงสาวผู้นี้คือลูกสาวของคู่แม่ลูกที่บังเอิญพบเจอในร้านขายยาจือเหรินเก๋อ
“พี่ถังยังจำอวิ้นเอ๋อร์ได้” หญิงสาวมองรอยยิ้มสดใสประดุจดอกท้อของถังมู่เฉิน ใบหน้าประกายสีแดงระเรื่อ มีใจคิดจะก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวแต่ก็มีความหยิ่งยโสในกาย ทำได้เพียงทำปากจู๋ใส่ถังมู่เฉิน
เรื่องจิตใจของหญิงสาวถังมู่เฉินคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เห็นท่าทางของนางก็รู้ว่านางอยากจะให้ตนเองเดินไปหา ในตอนนั้นก็ไม่ทำให้คนงามผิดหวัง สืบฝีเท้าเดินเข้าไป
“เหตุใดแม่นางอวิ้นเอ๋อร์ถึงอยู่ที่นี่เล่า”
หญิงสาวเห็นถังมู่เฉินเข้ามาใกล้ อดรู้สึกดีใจไม่ได้ ยิ้มพลางพูดว่า “ข้าเพียงแต่ตามท่านพี่มาดูเรื่องสนุกเท่านั้น”
“เอ่อ แม่นางอวิ้นเอ่อร์จะไปพื้นที่ลับด้วยหรือ” ถังมู่เฉินตะลึงงัน
บนใบหน้าของหญิงสาวสะท้อนแววหดหู่ในทันใด ต่อมาก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ทั้งใช่และไม่ใช่”
“นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ” ถังมู่เฉินกระพริบตา
ดวงตาเรียวยาวดุจดอกท้อที่สวยงามถึงขั้นสุดกระพริบลงทำให้จิตใจของหญิงสาวเต้นรัว พูดจาก็เกิดไม่ลังเลขึ้นมา “พื้นที่ลับแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าเขตไร้จน แบ่งออกเป็นเขตนอกและเขตใน เขตในหากไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่อาจเข้าได้ และเป็นพื้นที่ผจญภัยของพวกเหล่านี้ครั้งนี้ และเขตนอกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสามารถเข้าไปได้ ครั้งนี้อวิ้นเอ๋อร์ตามพี่ชายมาก็เพราะอยากไปเปิดตาดูโลกในเขตนอกพร้อมกับบรรดาพี่สาวน้องสาวจำนวนหนึ่ง เหอๆ นอกจากอวิ้นเอ๋อร์แล้วครั้งนี้ยังมีตระกูลไม่น้อยพาศิษย์ระดับสร้างรากฐานจำนวนหนึ่งเดินทางมาด้วย”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ถังมู่เฉินอมยิ้มพูดว่า “แม่นางอวิ้นเอ๋อร์เตรียมการพร้อมล่วงหน้าก็ถือว่าถูก สำรวจเขตนอกก่อน ในอนาคตเข้าเขตในก็ถือว่ามีพื้นฐานแล้ว”
ถังมู่เฉินพูดเช่นนี้หญิงสาวย่อมจิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง แววตาที่มองเขาก็ยิ่งอ่อนโยนลงหลายส่วนประหนึ่งมีน้ำหยดลงมา
ตอนที่กำลังจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ เสียงที่เหมือนเสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้นมา “น้องสิบเก้า ควรไปแล้ว”
ถังมู่เฉินอดที่จะหันไปมองคนส่งเสียงไม่ได้ เห็นว่าคนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีเขียวปลอด ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ เงียบๆ สง่างามประดุจไผ่เขียว
เขาส่งยิ้มกว้างให้
คนผู้นั้นก็พยักหน้าน้อยๆ และหมุนเดินตรงไปข้างหน้าก่อน
หญิงสาวรีบเดินตามไป แล้วยังหันกลับมาพูดอย่างตัดใจไม่ขาด “พี่ถัง อีกครู่ข้าจะไปหาท่าน ท่านพักอยู่ที่ใดหรือ”
แต่กลับเห็นถังมู่เฉินส่งยิ้มกว้างให้นาง บิดตัวจากไป
“พี่สิบสาม ท่านมาถูกเวลาเสียจริง!” หญิงสาวกระทืบเท้า
ชายผู้นั้นแท้จริงแล้วคือเผยสิบสาม
เผยสิบสามเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย ถอนหายใจออกมาเบาๆ “น้องสิบเก้า เพราะอาสะใภ้ฝากให้พาเจ้าออกมา เจ้าเองก้ต้องระวังเสียหน่อย ชอบจะไปทำความรู้จักกับบุรุษ ถึงเวลาคนที่เสียเปรียบจะเป็นเจ้า”
ฟังประโยคนี้ใบหน้าของเผยอวิ้นเอ๋อร์เดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว กัดริมฝีบากบิดตัวเดินหนีไป
เผยสิบสามยิ้มจนปัญญา ลอบคิดว่าตนเองนั้นพูดมาก
น้องสิบเก้าผู้นี้เอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก สำหรับเรื่องหญิงชายนั้นยิ่งอาจหาญ สูญเสียพรหมจารีไปตั้งแต่ช่วงหลอมลมปราณ หลังจากนั้นเมื่อต้องสร้างรากฐานเป็นเพราะว่าเสียพรหมจารีเร็วเกินไปทำให้รากฐานไม่แข็งแกร่ง คำพูดของตนในวันนี้ไม่ได้เป็นการขยี้จุดเจ็บของนางหรืออย่างไร
ช่างเถิด ตนเองพูดเพียงเท่านี้ก็ถือว่าทำหน้าที่ของพี่ชายแล้ว หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาในตระกูลมีเขยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี หากว่าชายหนุ่มผู้นั้นเพียงแต่มีท่าทีสนุกสนานล้อเล่นเกรงว่าต้องผิดหวังแล้ว
‘เขาคงไม่รู้ว่าปู่ของเผยอวิ้นเอ่อร์ก็คือหัวหน้าตระกูลเผยกระมัง’
‘อ่า หรือว่าเป็นเพราะรู้’
ความคิดเหล่านี้เพียงแต่ล่องลอยอยู่ในหัวเผยสิบสาม เขายกมุมปากขึ้น สะท้อนความเย้ยหยันให้เห็นแล้วถึงได้ก้าวเท้าจากไป