พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 386
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 386 ดอกสำลีตกสวรรค์
เช้าวันรุ่งชึ้นเฉิงหรูยวนมาเชิญด้วยตนเอง พาทุกคนเดินไปยังลานกว้างหลังห้องพัก ในนั้นมีคนไม่น้อยยืนอยู่แล้ว
ถังมู่เฉินได้แบ่งปันข่าวสารบางส่วนที่สอบถามมาให้มั่วชิงเฉินรู้นานแล้ว มั่วชิงเฉินย่อมรู้เรื่องที่พื้นที่ลับแบ่งออกเป็นเขตนอกและเขตใน นางกวาตาพิจารณาอย่างไม่กระโตกกระตากเห็นว่าในลานกว้างมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่สวมใส่ชุดสีสันสดใสกลุ่มหนึ่งเพิ่มมากขึ้น แต่กลับยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งแบ่งแยกชัดเจนกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอย่างพวกเขา
และกลางลานกว้างมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามคนนั่งอยู่ นิ่งเฉยเหมือนต้นสน
หาสมบัติในพื้นที่ลับครั้งนี้หรือจะเป็นบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนำทาง
มั่วชิงเฉินตกใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดสถานการณ์โดยละเอียดของสถานที่ลับจนถึงตอนนี้เฉิงหรูยวนยังไม่พูดถึงให้ทุกคนฟัง
เมื่อเห็นมามากันครบแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสามคนก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน แม้แต่คำพูดตามธรรมเนียมก็ยังไม่พูด ผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งที่มีหนวดขาวยาวพูดขึ้นว่า “ไปเถิด”
กลุ่มคนจำนวนมากเดินตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไปข้างนอก เมื่อมาถึงชายฝั่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสามคนต่างนำเรือลำเล็กโยนไปกลางทะเล
เรือลำน้อยเมื่อโดนน้ำก็ขยายขึ้นอย่างเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นเรือลำใหญ่ที่สวยงามเลิศหรู บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรแบ่งยืนกันเป็นอย่างดี เดินขึ้นเรือตามลำดับ
รอจนทุกคนขึ้นเรือกันครบแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านร่ายเคล็ดวิญญาณยิงออกมาเรือลำใหญ่เริ่มเคลื่อนที่ประหนึ่งลูกศรที่หลุดออกจากคันธนูพุ่งตรงไปยังทิศทางที่ไกลออกไป
เดินทางด้วยความรีบเร่งเช่นนี้เจ็ดวันเจ็ดคืนเพ่งมองเห็นเกาะลอยเล็กๆ เกาะหนึ่ง ในสายตาของทุกคนเกาะลอยยิ่งดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนเข้าไปใกล้เรือใหญ่สามลำจึงจอดลงพร้อมกัน
ไม่มีคำพูดจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ย่อมไม่กล้าขยับตัว
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามคนลุกขึ้นแต่ไม่ได้ลงจากเรือ แต่ยืนอยู่ใกล้กันแล้วค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางอากาศมือทั้งสองข้างแบ่งออกไปจับฝ่ามือของอีกคนเอาไว้ หลุบคิ้วปิดตาปากพึมพำออกมาไม่หยุด
คำที่พวกเขาท่องมั่วชิงเฉินฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้ยินเพียงพวกเขายิ่งท่องเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายเสียงดังกระหึ่ม มีปราณวิญญาณที่หมุนวนด้วยความเร็วเคลื่อนไหวกลางพวกเขาสามคน
พลังของเสียงเช่นนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานบนเรือย่อมรับไม่ไหว ในวินาทีที่ปราณวิญญาณเกิดขึ้นบนเรือปรากฏแสงวิญญาณขึ้นมาสายหนึ่ง เกราะวิญญาณป้องกันอันหนึ่งครอบคลุมทุกคนเอาไว้
เสียงยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ เหนือศีรษะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสามคนมีกลุ่มเมฆมารวมตัวอยู่ด้วยกัน ลมพัดเมฆลอยรัศมีน่าตกใจยิ่ง ปราณวิญญาณที่รวมกันอยู่กลางทั้งสามคนนั้นสะท้อนเมฆหมอกด้านบนแจ่มจรัสเหมือนดั่งเมฆสีสวยที่ส่องสว่าง
เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสามคนพูดคำสุดท้ายออกมาพร้อมกัน คำๆ นั้นทุกคนกลับได้ยินอย่างชัดเจน เป็นคำว่า ‘เปิด’
คำว่า ‘เปิด’ นี้ไม่เพียงทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน แล้วยังเกิดเป็นรูปร่างปรากฏขึ้นมากลางเมฆมงคลที่อยู่บนท้องห้า
จากนั้นเกิดลมพัดโหมเมฆมงคลบนท้องฟ้าลอยอยู่เหนือเกาะ จากนั้นคำว่า ‘เปิด’ ก็หลุดลงมาจากกลุ่มเมฆ ลอยไปมาอยู่เหนือเกาะ แสงวิญญาณคำว่า ‘เปิด’ จำนวนมากตกหล่นลงมาเสมือนแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่ปกคลุมไปด้วยเกาะ
ในเวลานี้นี่เองทุกคนเสมือนได้ยินเสียงสวรรค์ที่ลอยมาจากขอบฟ้า แล้วยังมีเสียงขับขานแสนไพเราะ จากนั้นสายฟ้าจากท้องฟ้าที่สดใสผ่าลงมาทำให้เกาะแบ่งออกเป็นสองส่วน ปรากฎช่องว่างแสงสีขาวจ้าขนาดใหญ่
“ไปเถิด” หนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเอ่ยปากพูด เห็นผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณสองคนนำกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานลงเรือไป ฝูงคลื่นมหาชนมุ่งหน้าตรงไปยังช่องว่างสีขาวไม่นานก็หายไปไม่เหลือแม้แต่เงา
สิบห้านาทีผ่านไปแสงสีขาวกลับกลายเป็นสีดำ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้นั้นถึงได้เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง ยังคงเป็นสองคำเถิด “ไปเถิด”
ครั้งนี้เฉิงหรูยวนขยับตัว พวกมั่วชิงเฉินที่เหลือก็รีบตามไป
ไม่นานผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหล่านี้ก็เดินตามเข้าไปในช่องว่าง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งแสงดำหายไป ช่องว่างค่อยๆ บีบตัวเข้าหากันกลับมาเป็นสภาพเกาะเหมือนตอนแรก กลางท้องฟ้าไม่มีเมฆมหามงคลให้เห็น เสมือนภาพเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพมายา
ผ่านไปพักใหญ่ผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดใบหน้าซีดขาวผู้หนึ่งถึงได้ถอนสายตากลับมา น้ำเสียงแฝงอาการทอดถอนใจ “ไม่รู้ว่าครั้งนี้ตระกูลใดจะค้นหาสมบัติพบ”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ดูเหมือนวัยกลางคนผู้หนึ่งหัวเราะ “เหตุใดพี่เผยถึงต้องทอดถอนใจเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงผู้อื่น คุณชายตระกูลท่านจำต้องมีได้รับประโยชน์กลับมาเป็นแน่”
เห็นผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นนิ่งเงียบไม่พูดจา ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนยิ้มและพูดว่า “พี่เผยเป็นอะไรไป รู้สึกว่าเอาเปรียบเจ้าสิบสามของตระกูลท่านหรือ”
ผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดใบหน้าซีดขาวริมฝีปากขยับ สุดท้ายก็พูดออกมา “เฟิ่งหลินโจว ถือสตรีเป็นใหญ่”
“ฮาๆๆ พี่เฉิงท่านดูพี่เผยเป็นเช่นนี้ยังไม่เปิดกว้างเท่าลูกหลานตระกูลเขาเลย” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง
ผู้บำเพ็ญหนวดขาวยาวผู้นั้นพูดว่า “น้องเผย ครั้งนี้เจ้าต้องมองให้กว้างเสียหน่อย ตระกูลซั่งกวนเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเฟิ่งหลินโจว คุณหนูหลายคนของตระกูลเขาล้วนแต่โดดเด่นมากความสามารถ แม้ที่แห่งนั้นจะถือสตรีเป็นใหญ่มีสามีสามคนบ่าวสี่คนก็มีจำนวนไม่น้อย แต่สตรีที่ตั้งใจมุ่งหน้าบำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริงไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ หากว่าเจ้าพวกนี้ใจสู้ จะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่ครองคู่เพียงหนึ่งเดียวไปตลอดชีวิต ต่อให้เป็นดินแดนอื่นๆ ที่ถือบุรุษเป็นใหญ่ผู้ที่บำเพ็ญเพียรที่มีภรรยาและอนุหลายคนก็เกรงว่าไม่เยอะ”
ผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดใบหน้าซีดขาวริมฝีปากขยับ สุดท้ายก็แค่นหัวเราะออกมา
ไม่รับอนุด้วยตนเอง และคาดหวังไม่ให้คู่บำเพ็ญรับอนุมีความรู้สึกเหมือนกันเสียที่ไหน
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ชายชราผู้นั้นพูดต่อไปว่า “น้องเผย เจ้าอย่าลืมว่ากุญแจลับของแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์อยู่ในกำมือของตระกูลซั่งกวน หากพวกเราไม่ทำเช่นนี้ถึงเวลาจะแบ่งผลประโยชน์ได้อย่างไร”
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนก็พูดสมทบ “ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าทางดินแดนเทียนหยวนได้รับผลกระทบจากความโกลาหลแห่งวิกฤตอสูร การแก่งแย่งกุญแจลับของแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้พักไปก่อน แต่ข้าลองพิจารณาดูแล้วจะต้องมีสักวันที่ระหว่างมารร้ายและผู้บำเพ็ญย่อมต้องลงสนธิสัญญามีข้อตกลงซึ่งกัน มิเช่นนั้นกุญแจลับของแดนสวรรค์มี่หลัวตูยังหาไม่เจอพวกเขาจะยินยอมให้สิบทวีปบูรพาของพวกเราได้เปรียบได้อย่างไร”
ได้ยินเพียงเท่านี้ท่าทีของผู้บำเพ็ญใบหน้าซีดขาวก็เปลี่ยนไป พูดเรียบๆ ว่า “ท่านพี่ทั้งสองพูดถูก แต่ระหว่างแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์และแดนสวรรค์มี่หลัวตูนั้น…”
พูดถึงตรงนี้กลับหยุดเสียงลง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสามคนเหมือนกลัวถูกล้วงความลับ เงียบปากไม่พูดถึง
มั่วชิงเฉินเดินตามทุกคนเข้าไปในแสงสีดำ รอจนภาพตรงหน้าชัดเจนแล้วถึงรู้ว่าตนเองตกอยู่ในภาพปรากฏการณ์ที่มีมนตร์ขลัง
แต่ที่น่าแปลกก็คือบริเวณห่างออกไปไม่ไกลจากที่แห่งนี้มีวงแหวนสีขาวปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว ขมุกขมัวไม่ชัดเจนไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้ามาแยกย้ายกันยืนตามกลุ่มของตนอย่างเป็นระเบียบ คุณชายเหล่านั้นกดเสียงต่ำพูดคุยอะไรบางอย่างกับพวกเขา
เฉิงหรูยวนก็ไม่เป็นข้อยกเว้น เขาถูกคนห้าคนล้อมไว้ตรงกลางพูดเสียงเบาว่า “ก่อนที่จะเข้าไปภายในเขตในของเขตไร้จน ขอให้ตัวข้าได้แนะนำให้ทุกท่านได้ทราบ เขตไร้จนเพียงเห็นชื่อก็รู้ความหมาย มีพื้นที่มากมายนับไม่ถ้วนแล้วยังแบ่งออกเป็นเขตนอกและเขตในพวกเราจะมุ่งตรงไปเขตใน ทุกท่านสังเกตเห็นวงแหวนสีขาวเหล่านี้แล้วกระมัง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นม่านเคลื่อนย้ายโดยธรรมชาติ เข้าไปจากตรงนี้จะถือว่าเป็นการหาสมบัติอย่างแท้จริงแล้ว”
“คุณชายเฉิง จนถึงตอนนี้ท่านยังไม่บอกเลยว่าสมบัติที่ค้นหาครั้งนี้คือของสิ่งใดกันแน่” คนที่มีรูปร่างกำยำสูงใหญ่พูดขึ้น
มั่วชิงเฉินรู้ว่าคนผู้นี้สกุลเหอ นามว่าเทียน และเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายที่แสดงความสามารถออกมาเต็มร้อยในวันนั้น
เฉิงหรูยวนไม่รีบร้อย อมยิ้มพูดว่า “ตัวข้ากำลังจะกล่าวถึง สิ่งที่ครั้งนี้พวกเราต้องคือดอกไม้วิญญาณชนิดหนึ่ง เรียกว่าดอกสำลีตกสวรรค์ ดอกสำลีตกสวรรค์พบเจอได้ยากในโลกมนุษย์ มีเพียงเขตไร้จนเท่านั้นที่จะมี ทุกคนเชิญดู นี่คือหน้าตาของดอกสำลีตกสวรรค์”
ตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่าดอกสำลีตกสวรรค์มั่วชิงเฉินก็ตะลึงงันไปนานแล้ว
ก่อนหน้านี้นานแสนนานกลางประตูมีผู้บำเพ็ญเพียรหน้าตาเหมือนตุ๊กตาคนหนึ่ง ตอนนี้ควรจะเรียกเขาว่าศิษย์หลานแล้ว ในวันนั้นกลับเรียกเขาว่าศิษย์พี่ ในตอนนั้นนางกำลังออกจากเขาไป เขาหน้าตาบูดบึ้งโยนผึ้งวิญญาณเลือดมรกตกมาให้โดยไร้ซึ่งเหตุผล
เล่าสืบต่อกันว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตชอบดอกสำลีตกสวรรค์มากที่สุด น้ำผึ้งที่สกัดมาจากดอกสำลีตกสวรรค์เสริมสร้างบำรุงผิวพรรณ แล้วยังมีฤทธิ์เพิ่มตบะบำเพ็ญ และยิ่งมีผลข้างเคียงบำรุงธาตุหยาง ต่อให้รับประทานทุกวันก็ไม่ส่งผลกระทบทำให้รากฐานไม่มั่นคงเหมือนเวลารับประทานโอสถวิเศษเป็นประจำ
ในมือของเฉิงหรูยวนคือม้วนไผ่แผ่นหนึ่ง เขาบีบจนแตกปรากฏขึ้นเป็นต้นสำลีตกสวรรค์กลางอากาศ
ต้นไม้ยักษ์ใหญ่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ลำต้นทั้งต้นดูเรียบลื่นไม่มีที่เปรียบ ไม่มีกิ่งไม้ที่เกินออกมาแม้แต่กิ่งเดียว มันพุ่งตรงไปบนเมฆหมอก เมื่อถึงยอดสูงสุดลำต้นรูปทรงร่มเต็มไปด้วยดอกไม้ขนาดประมาณถ้วยบานอยู่เต็มไปหมด
ที่น่าสนใจก็คือดอกไม้เหล่านั้นไม่ได้มีเพียงสีเดียว แต่เป็นสีแดง ส้ม เหลือง และเขียว แดงเข้มขาวอ่อน พอมองดูแล้วนับไม่ถูกเลยว่ามีทั้งหมดกี่สี รู้สึกเพียงแต่สีสันที่สวยสดหลากหลาย งดงามจนดูไม่หวาดไม่ไหว
เล่าขานต่อกันว่าดอกลำสีตกสวรรค์เรียกอีกชื่อว่าดอกรุ่งอรุณ ช่างสมฉายาเสียจริง
เงาของต้นสำลีตกสวรรค์ค่อยๆ สลายไปกลางอากาศ เฉิงหรูยวนพูดต่อว่า “สหายเต๋าทั้งหลายมองลักษณะของดอกสำลีตกสวรรค์กันอย่างชัดเจนแล้วกระมัง ท่ามกลางดอกมเหล่านั้นพวกเราเด็ดเพียงสีแดง ดอกสำลีตกสวรรค์จะออกดอกทุกหนึ่งร้อยปี ดอกไม้บานสิบปีไม่เ**่ยวแห้งเมื่อร่วงแล้วกลับใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยปีถึงจะเกิดขึ้นมาใหม่ และดอกสำลีตกสวรรค์สีแดงนี้มีเพียงเจ็ดดอก”
ฉะนั้นทุกคนเข้าใจดี ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้มีเพียงเจ็ดคนที่หลุดพ้นเอาชนะ
“ภายในพื้นที่ทุกเขตในเขตไร้จนล้วนไม่เพียงต่างกัน แล้วยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่บอกไม่ได้ตามเวลาที่ไหลผ่านผลักช่องว่างแห่งกาลเวลา ฉะนั้นแม้จะมีคนพบเห็นดอกสำลีตกสวรรค์อยู่ก่อนแต่ก็ไม่อาจเชื่อมั่นได้ อีกทั้งม่านเคลื่อนย้ายเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นตามโอกาส หลังจากที่พวกเราเข้าไปแล้วจะถูกส่งไปที่เขตพื้นที่ใดก็ไม่อาจรู้ได้ ฉะนั้นสหายเต๋าทุกท่านจะต้องระวังรอบคอบให้มาก โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไปจะถูกส่งไปที่เหวลึกหรือกลางแม่น้ำก็ไม่อาจทราบได้” เฉิงหรูยวนพูดต่อ
แม่นางจอมพิษที่สวมชุดดำเหลือบมองมา “คุณชายเฉิง พูดเช่นนี้จะหาดอกสำลีตกสวรรค์เจอหรือไม่ก็ต้องใช้โชคเช่นนั้นหรือ”
เฉิงหรูยวนมองแม่นางจอมพิษเรียบๆ “เป็นเช่นนั้นจริง แต่ทุกเขตพื้นที่จะมีม่านเคลื่อนย้าย สถานที่ที่เคยไปก่อนหน้านี้ม่านเคลื่อนย้ายเหล่านี้จะไม่ส่งคนเข้าไปอีก ฉะนั้นขอเพียงแต่ยืนหยัดต่อไปย่อมไม่ต้องกลัวว่าจะหาดอกสำลีตกสวรรค์ไม่พบ”
ซึ่งก็หมายความว่าสุดท้ายแล้วยังต้องอาศัยความสามารถ
“เช่นนั้นหากว่าในกลุ่มมีคนยืนหยัดต่อไปไม่ไหวเล่า” ดวงตาเรียวงามของแม่นางจอมพิษกรอกมอง หัวเราะเสียงใสถามออกมา แต่หลังกลับเชิดตรง
ก่อนหน้านี้คุณชายเฉิงผู้นี้เคยพูดว่าภายในพื้นที่ลับแม้จะอันตราย แต่กลับไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิต
เฉิงหรูยวนอมยิ้มมองกลุ่มคนถึงพูดว่า “อีกครู่พวกเราเข้าไปทางแสงสีขาวแล้วก็จะเห็น นอกจากวงแหวนสีขาวแล้วทุกเขตพื้นที่ยังจะมีวงแหวนสีเขียว วงแหวนสีเขียวสามารถลอดผ่านไปยังระหว่างเขตพื้นที่ต่างๆ ได้ และวงแหวนสีขาวเพียงแค่เหยียบเข้าไปก็จะมายังที่แห่งนี้ ถึงเวลานั้นหากว่ามีสหายเต๋ารับมือไม่ไหวย่อมสามารถกลับมาที่แห่งนี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บได้ แต่เมื่อออกมาแล้วจะไม่สามารถกลับเข้าไปได้อีก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้คนที่เหลือผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แม่นางจอมพิษพูดอีกว่า “เช่นนั้นคุณชายเฉิงไม่กลัวหรือว่าบังเอิญมีกลุ่มเจ็ดกลุ่มถูกเคลื่อนย้ายไปถึงต้นสำลีตกสวรรค์ตั้งแต่ครั้งแรก พวกเราจะไม่เหนื่อยเปล่าเช่นนั้นหรือ”