พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 387
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 387 ตกม้าตายเพราะเสียหน้าไม่ได้
เฉิงหรูยวนมองแม่นางจอมพิษด้วยแววตาแฝงความนัย พูดออกมาอย่างสบายใจ “หากเป็นเช่นนั้นก็ถือเป็นลิขิตสวรรค์แล้ว เอาเถิด สถานการณ์โดยประมาณก็เป็นเช่นนี้ พวกเราเข้าไปเถิด อ้อ นี่คือของที่ตัวข้าเตรียมไว้ให้ทุกท่าน”
ลิขิตสวรรค์? แม่นางจอมพิษส่ายหัว ยื่นมือไปรับถุงเก็บวัตถุที่เฉิงหรูยวนส่งมา
มั่วชิงเฉินก็รับไปชุดหนึ่งเช่นกัน นางใช้กระแสจิตกวาดมองด้วยความรวดเร็ว ข้างในนั้นส่วนใหญ่เป็นโอสถและยันต์ไม้ไผ่
ทั้งหกคนเลือกวงแหวนสีขาวที่อยู่ใกล้ที่สุดเดินเข้าไป
“ท่านพี่ ท่านคิดจะตามลิขิตสวรรค์จริงหรือ” เสิ่นฉงเหวินอดส่งกระแสจิตเสียงถามไม่ได้
เฉิงหรูยวนเหลือบมองเขาทีหนึ่ง “ไม่เช่นนั้นเล่า”
เสิ่นฉงเหวินขมวดคิ้ว “ตระกูลเฉิงมิใช่ว่าจำต้องได้สิ่งนี้หรอกหรือ หากว่าท่านพลาดไป เกรงว่าไม่รู้ต้องอธิบายเช่นไร”
เฉิงหรูยวนนิ่งไปแล้วพูดว่า “ข้าจะพยายาม ขอแค่ไม่มีความละอายต่อใจ” พูดจบก็เดินเข้าไปยังวงแหวนสีขาว
เสิ่นฉงเหวินลอบถอนหายใจ เอาเข้าจริงแล้วคิดว่าญาติผู้พี่ของเขาคงจะไม่ได้เต็มใจยอมกระมัง เกรงว่าตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วยินยอมทำให้สำเร็จหรือว่าล้มเหลว แต่จากนิสัยปฏิบัติของเขาแล้วคงจะต้องทำสุดความสามารถเป็นแน่
กลุ่มคนรีบเดินตามเข้าไป ต่างคนรู้สึกตาลาย พอมองรอบด้านอีกครั้งก็กลายเป็นทะเลทรายผืนใหญ่ไร้ขอบเขต
ดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่สูงเหนือหัว ท้องฟ้าสีฟ้าครามไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว และไม่มีลมแม้แต่กระแสเดียว เม็ดทรายใต้เท้าร้อนระอุจนน่าตกใจ
ปฏิกิริยาแรกของทุกคนคือการปล่อยกระแสจิตออกไปสืบเสาะ ผลที่ได้กลับมาคือทุกคนขมวดคิ้วพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย ขอบเขตการสืบหาของกระแสจิตไปไกลได้ถึงพันลี้ แต่ในที่แห่งนี้กลับสามารถสืบหาได้เพียงไม่กี่ลี้เท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณชั้นปลายเท่าไรนัก
“ทุกคนอย่ามั่วล่าช้า ไปเถิด ที่แห่งนี้คือเขตไร้จน เป็นสถานที่ห้วงเวลาบิดเบือนอยู่แล้วแต่เดิม กระแสจิตโดนกีดขวางก็ถือเป็นเรื่องตามคาด” เฉิงหรูยวนพูด
สิ่งที่พวกเขาทำหลักๆ คือตามหาว่าในพื้นที่บริเวณนี้มีต้นสำลีตกสวรรค์หรือไม่ หากว่าไม่มีก็ยังต้องตามหาวงแหวนสีเขียวเพื่อเข้าไปที่พื้นที่แห่งใหม่
“นี่ต้องเดินไปทิศไหนกัน” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหอเทียนมองไปรอบๆ รู้สึกว่าทางที่มองไปนั้นมีแต่ทรายเหลืองเวิ้งว้าง ไม่รู้ต้องไปทางใด
เฉิงหรูยวนครุ่นคิด นำกระบี่เล่มหนึ่งเสียบไปบนทราย ปากพึมพำเคล็ดวิญญาณออกมาไม่หยุด “ขึ้น!”
กระบี่ยาวลอยขึ้นสูงเรื่อยๆ ตามเคล็ดวิญญาณที่ดังขึ้น สูงกว่าสามจั้งถึงหยุดลง
“พวกเรายึดกระบี่เล่มนี้เป็นศูนย์กลาง ไปทางทิศตะวันออกก่อน จากนั้นค่อยตามหาอีกสามทิศที่เหลือ” เฉิงหรูยวนพูดจบก็ขึ้นเหยียบสมบัติวิเศษบินลอยมุ่งไปยังทิศตะวันออก
“รอก่อน” ท่ามกลางกลุ่มคน คนที่ส่งเสียงกลับเป็นมั่วชิงเฉิน
“แม่นางถังมีเรื่องใดหรือ” เฉิงหรูยวนอมยิ้มถามขึ้น
เสิ่นฉงเหวินขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณ อยากจะลองดูว่าผู้หญิงคนนี้จะแผลงฤทธิ์อะไรอีก
มั่วชิงเฉินชี้กระบี่เล่มใหญ่บนพื้น “สหายเต๋าเฉิง กระบี่ยักษ์เล่มนี้ของท่านแม้จะโดดเด่น แต่หากว่ามีกลุ่มอื่นมาจะเป็นการเปิดเผยร่องรอย อาจถึงขั้นที่ถูกคนดึงไป ฉกฉวยช่องว่างหาผลประโยชน์เสียได้”
เสิ่นฉงเหวินหลุดหัวเราะ “นี่ยังต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้แล้วจะทำเช่นไร”
เฉิงหรูยวนอมยิ้มมองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินไม่สนใจยิ้มเย้ยของเสิ่นฉงเหวิน นิ้วมือดีดออกไปเบาๆ เมล็ดพันธุ์เม็ดหนึ่งตกลงไปบนพื้นทราย เพียงพริบตาเดียวก็แตกหน่อออกใบ กลายเป็นต้นหลิวแดงที่มีความสูงกว่าหนึ่งจั้งด้วยความเร็วเท่าที่ตาเห็น
“เอาหละ ต้นหลิวแดงนี้พบได้บ่อยในทะเลทราย ปรากฏขึ้นตรงนี้ก็ไม่ได้ถือว่าโดดเด่นนัก ต่อให้ถูกคนกำจัดไปก็ไม่ต้องกลัวตรงนี้มีลมหายใจเหลือไว้แล้ว ข้าจะรู้สึกได้” มั่วชิงเฉินปัดมือถือว่าจบเรื่องแล้ว
เฉิงหรูยวนแสดงท่าทียินดี “แท้จริงแล้วแม่นางถังก็ชำนาญคาถาธาตุไม้นี่เอง”
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นไรคาถาธาตุไม้ล้วนเป็นคาถาสนับสนุนที่ดีที่สุด
ถังมู่เฉินเห็นแล้วไม่แปลกใจ สายตาที่เหอเทียนและแม่นางจอมพิษมองมั่วชิงเฉินมีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมา สำหรับเสิ่นฉงเหวินก็ยังคงปั้นหน้าบึ้งอยู่เหมือนเดิม
กลุ่มคนทำตามที่วางแผนเอาไว้ บินไปตามทิศตะวันออกเรื่อยๆ
“คุณชายเฉิง ทำเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้กระมัง บินมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีอะไรเปลี่ยน เมื่อไรจะถึง” แม่นางจอมพิษนำผ้าสีขาวผืนหนึ่งขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผาก แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดดของนางกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
ทะเลทรายผืนใหญ่ในเขตพื้นที่นี้ไม่อาจเทียบได้กับทะเลทรายในโลกปกติ ต่อให้พวกเขามีเกราะวิญญาณกำบังกายเวลาผ่านไปนานร่างกายก็ยังรับไม่ไหว อีกทั้งยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณหดหายไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเฉิงหรูยวนยังเรียบนิ่งเหมือนเดิม มุมปากประดับยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ตัวข้าไม่มีความสามารถ ทำให้ทุกท่านต้องลำบากแล้ว แต่การค้นหาดอกสำลีตกสวรรค์นั้นนอกจากอาศัยโชคและความอดทนแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นอีก”
มั่วชิงเฉินมองสีหน้าทุกคน คิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อยื่นมือออกไปก็มีร่มไผ่เหมันต์เพิ่มขึ้นมา จากนั้นนิ้วมือสะกิดลงไปเบาๆ ร่มที่ดูดซับแสงวิญญาณเข้าเริ่มหมุนวนกลางอากาศขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนใหญ่เท่ายอดร่มไม้ลอยอยู่เหนือศีรษะบังแดดให้ทุกคน อากาศเย็นสบายค่อยๆ หมุนวนไปทั่วบริเวณขอบเขตพื้นที่ร่ม ทุกคนรู้สึกสบายขึ้นในทันใด
“โอ้โห้ แม่นางถัง เจ้ามีของดีเช่นนี้ด้วย เหตุใดถึงไม่เอาออกมาเร็วกว่านี้เล่า!” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหอเทียนผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความสบาย ยิ้มยิงฟันถามขึ้น
แม้เขาจะพูดกล่าวโทษ แต่ท่าทีบนใบหน้ากลับดูพอใจอย่างมาด ดูไม่เหมือนหาเรื่องอยู่
เสิ่นฉงเหวินสูดลมกายใจเย็นสบายเข้าไป ทันใดนั้นก็รู้สึกสบายไปทั้งร่าง อารมณ์หงุดหงิดที่อยู่ในใจสลายหายไป แต่เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเฉยของมั่วชิงเฉินกลับพูดเยาะออกมาตามสัญชาตญาณ “สหายเต๋าเหอถามผิดแล้ว หากแม่นางถังรีบเอาออกมาไฉนเลยจะแลดูสำคัญเหมือนตอนนี้!”
“น้องชาย!” เฉิงหรูยวนตะคอกออกมา
เสิ่นฉงเหวินเม้มปากไม่พูดต่อ เฉิงหรูยวนปกติแล้วจะเรียกชื่อเขา ตราบใดที่เรียกว่าร้องนั่นก็หมายความว่ากำลังโกรธ
มั่วชิงเฉินมองท่าทีไม่ยินยอมของเขา จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “สายหเต๋าเฉิงไม่จำเป็นต้องเอ่ยโทษสหายเต๋าเสิ่น เพราะคนที่อายุน้อยไม่รู้เรื่องราวข้าเจอมาไม่น้อย”
คำพูดนี้ทำให้เสิ่นฉงเหวินโมโหจนเกือบหงายหลัง “เด็กบ้า เจ้า เจ้าบอกว่าใครอายุน้อย”
มั่วชิงเฉินไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร ไม่ตื่นตระหนกไม่หงุดหงิดใจยิ้มแย้มพูดต่อไปว่า “แต่ร่มไผ่เหมันต์นั้นก็สำคัญจริง คนยิ่งเยอะขอบเขตในการบดบังก็ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งกินพลังวิญญาณมากขึ้น หากสหายเต๋าเสิ่นไม่คุ้นชินก็เชิญตามสบาย”
“เจ้า! ฮึ เจ้าคิดว่าข้าพิศวาสหรืออย่างไร!” เสิ่นฉงเหวินหน้าดำคล้ำ เท้าออกแรงของวิเศษบินลอยก็เร่งความเร็วมากขึ้น เพียงพริบตาเดียวก็ออกไปจากเขตการบดบังของร่มไผ่เหมันต์
“น้องชาย เจ้าอย่าสร้างเรื่อง!” เฉิงหรูยวนตะคอกด้วยความจนปัญญา
เสิ่นฉงเหวินไม่หันกลับมามอง บินตรงไปข้างหน้า “ท่านพี่ไม่ต้องสนใจข้า ข้าสบายดี!”
เฉิงหรูยวนไม่กล่อมอีก เพียงแต่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ถังมู่เฉินโบกพัดไปมา ยิ้มแย้มพูดขึ้นว่า “น้องสาว มีร่มของเจ้าบังแดดให้ช่างสบายเสียเหลือเกิน”
มั่วชิงเฉินยิ้ม “ข้าเองก็คิดเช่นนี้”
ได้ยินเสียงถังมู่เฉินส่งกระแสจิตมาหา “เจ้าไปสร้างเรื่องกับคนสกุลเสิ่นนั้นได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินเกือบจะกรอกตามอง “ข้าจะรู้ได้อย่างไร น่าจะชะตาไม่ต้องกันกระมัง”
หากพูดถึงเป็นการสร้างเรื่องก็คงจะเป็นเรื่องการขายโอสถในครั้งนั้น แต่เรื่องเล็กเช่นนั้นนางไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอะไร ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณปกติเหตุใดถึงเรื่องมากเช่นนี้ นางทำได้แค่คิดว่าคุณชายคนนี้แผลงอารมณ์ออกมา
“เจ้าดูซิ ไม่เช่นนั้นไปกล่อมให้เขาเข้ามาเถิด เขาและเฉิงหรูยวนเป็นญาติพี่น้อง…”
ยังไม่ทันให้ถังมู่เฉินพูดจบ มั่วชิงเฉินก็พูดว่า “เขายินยอมออกไปตากแดด ข้าเองก็ได้ประหยัดพลังวิญญาณเอาไว้บ้าง ถ้าพูดมากอีกเจ้าก็ออกไปอยู่เป็นเพื่อนเขาซะ”
‘บนหน้านางเขียนว่า ‘โพธิสัตว์’ หรืออย่างไร คนเขาใบหน้ารังเกียจหาเรื่องอยู่ร่ำไป แล้วยังจะต้องเสนอหน้าไปขอร้องให้เขาเข้ามา สิ้นเปลืองพลังวิญญาณเพื่อให้เขาสบายหรืออย่างไร’
พูดจบก็ไม่สนใจถังมู่เฉินอีกต่อไป เท้าเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น
แต่ร่มไผ่เหมันต์นั้นลอยตามตัวมั่วชิงเฉิน พอนางขยับเช่นนี้พวกถังมู่เฉินย่อมรีบตามไป
บินอยู่เต็มๆ สามชั่วยาม นี่สุดก็มาถึงจุดสิ้นสุดของทิศตะวันออก ปลายทางนั้นเต็มไปด้วยหมอกควัน บินไปข้างหน้าอีกก็เหมือนมีกำแพงไร้รูปร่างขวางทางพวกเขาเอาไว้
สุดปลายทางไม่ต้องพูดถึงดอกสำลีตกสวรรค์ แม้แต่เงาของวงแหวนสีเขียวก็ยังไม่มี
“ไปเถิด” เฉิงหรูยวนโบกมือ หมุนตัวเตรียมบินกลับ กวาดมองร่มไผ่เหมันต์ที่อยู่เหนือศีรษะตามสัญชาตญาณ ลอบคิดในใจว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิด
พระอาทิตย์ที่นี่ไม่ได้ตกลับไปตามการเดินของเวลา แต่จะคงไว้ที่รังสีความร้อนสูงสุด หากว่าไม่มีของวิเศษที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้มาบดบังเกรงว่าหมดกำลังอ่อนแรงปากคอแห้งไปนานแล้ว ไฉนเลยจะยังมีจิตวิญญาณที่สดชื่นเร่งเดินทางอีก
เพราะไม่จำเป็นต้องสืบเสะไปพลางเดินทางไปพลาง ความเร็วขากลับนั้นเร็วขึ้นมาก เมื่อกลับมาถึงต้นหลิวแดงที่มั่วชิงเฉินปลูกเอาไว้ตอนแรกแล้วนั้นใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามครึ่งเท่านั้น
จ้องมองต้นหลิวแดงที่เอนไหวไปมา มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้า
“แม่นางถึง มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ” เฉิงหรูยวนถามขึ้น
มั่วชิงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงมองไปยังเฉิงหรูยวน “มีคนมาแล้ว”
“มีคนเคยมาหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหอเทียนรวบกำปั้น สีหน้าหวาดระแวงขึ้นมา
ท่าทีของคนที่เหลือแลดูนิ่งขรึมขึ้นมาหลายส่วน
มั่วชิงเฉินพิจารณามองต้นหลิวแดงอย่างละเอียดพลางพยักหน้า “ใช่ พวกเขาน่าจะไปทางทิศตะวันตก สหายเต๋าเฉิงว่าต่อไปควรทำเช่นไร”
นางไม่ได้เป็นผู้นำทีม เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่จำเป็นต้องกังวล เพียงแค่บอกเล่าสถานการณ์ที่รับรู้ได้ให้ทราบก็พอแล้ว
เฉิงหรูยวนไม่ลังเล ชี้ไปทางทิศใต้ “พวกเราไปทางนั้น พยายามไม่พบเจอกับกลุ่มอื่น หากว่าทิศเหนือและใต้ไม่มี เขตพื้นที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติ ทิศตะวันตกก็ไม่จำเป็นต้องไป”
“อย่างไรนะ” แม่นางจอมพิษไม่เข้าใจ
เฉิงหรูยวนหัวเราะออกมาในฉับพลัน “ก่อนนี้ลืมบอกไป ต้นสำลีตกสวรรค์หนึ่งต้นจะออกดอกสีแดงเพียงเจ็ดดอก เวลาที่เด็ดออกไปนั้นจะปรากฎเหตุการณ์ผิดปกติอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในห้วงกาลเวลา”
หรือหมายความว่าหลังจากที่พวกเขาเสาะหาทั้งสองฝ่ายแล้วไม่มีสิ่งผิดปกติ เช่นนั้นก็เป็นการพิสูจน์ว่ากลุ่มที่ไปฝั่งตะวันตกก็หาไม่พบเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังเป็นการพิสูจน์อีกหนึ่งคำถาม กาดว่าไปถึงเขตพื้นที่ที่มีต้นสำลีตกสวรรค์ มีกลุ่มหนึ่งได้รับดอกสำลีตกสวรรค์ไป กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่นั้นทั้งหมดจะสามารถรู้สึกได้
ได้ยินเช่นนี้คนอื่นที่เหลือต่างสบตากัน ดูท่าความรุนแรงจะอยู่ภายภาคหลัง
ในช่วงเวลานี้เสิ่นฉงเหวินบินอยู่ข้างนอกตามลำพังตลอดเวลา แม้เหงื่อเม็ดใหญ่จะไหลมาตามใบหน้าเขาไม่หยุด เสื้อผ้าบนร่างก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อจนปรากฎรูปร่างสมส่วนได้รูปให้เห็น แต่กลับกัดฟันไม่ยอมอยู่ล้าหลังแม้แต่ยามเดียว
เฉิงหรูยวนลอบส่ายหัว ชี้ไปยังวงแหวนสีเขียวข้างหน้าพูดว่า “ทุกคนเข้าไปเถิด แม่นางถัง ลำบากท่านแล้ว”
ทั้งหกคนเหยียบเข้าไปหลังจากที่หายจากอาการเวียนหัวก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังดิ่งตกลงไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอดตกใจยกใหญ่ไม่ได้
และในเขตพื้นที่เมื่อครู่นี้เผยสิบสามผู้สวมใส่ชุดสีเขียวแกมฟ้านำคนกลุ่มหนึ่งหยุดอยู่หน้าต้นหลิวแดง