พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 400
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 400 ไฟอินหยางย้อนใจ
“พี่เฉิง” เผยสิบสามอมยิ้มทักทายเฉิงหรูยวน แล้วผงกศีรษะให้พวกมั่วชิงเฉินอีก ถึงเอ่ยต่อว่า “พี่เฉิงคิดจะออกเดินทางเมื่อไร?”
เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “สามวันให้หลังนี่แหละ”
“พี่เฉิง ยามที่น้องมาที่แห่งนี้โชคไม่ดีเรือที่โดยสารมาเกิดเรื่อง นี่ถึงได้กลายเป็นคนรั้งท้าย น้องหน้าหนาสามวันให้หลังอยากขออาศัยโดยสารเรือสักหน่อย ไม่ทราบสะดวกหรือไม่?” เผยสิบสามถามขึ้น
เฉิงหรูยวนรีบเอ่ยว่า “พี่เผยเกรงใจไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
ด้านนี้เฉิงหรูยวนและเผยสิบสามสองคนปรึกษาเรื่องเดินทางกลับด้วยกัน ด้านนั้นเผยอวิ้นเอ๋อร์กลับเล่นหูเล่นตากับถังมู่เฉิน
รอถึงทุกคนแยกกันไป ก็เห็นถังมู่เฉินถูกเผยอวิ้นเอ๋อร์ลากเดินไปทางป่าแห่งหนึ่ง มั่วชิงเฉินมองดูเงาหลังของทั้งสองคนแล้วขมวดคิ้ว บิดตัวกลับเข้าห้อง
ผ่านการเดินทางเข้าแดนลี้ลับ มั่วชิงเฉินนอกจากต่อสู้ก็บำเพ็ญเพียร ยังไม่ได้ผ่อนคลายให้สบายเลย ยามนี้จู่ๆ ก็มีอารมณ์สุนทรีขึ้นมา แม้มีเพียงตัวคนเดียว กลับหยิบขวดน้ำเต้าสุราออกมาใบหนึ่ง เอียงพิงหัวเตียงแล้วดื่มไปเรื่อยๆ ความคิดไม่รู้ลอยไปไหน
ใครจะรู้ว่าเมื่อผ่อนคลายเหม่อลอยเช่นนี้ จึงดื่มสุราไปไม่น้อยอย่างไม่ทันรู้ตัว เมื่อยามที่ได้ยินเสียงเคาะประตู ก็รู้สึกตัวเบาหวิวแล้ว
“เข้ามา” มั่วชิงเฉินอ้าปากปุ๊บ ถึงพบว่าเสียงไม่ใสกังวานเหมือนทุกที ตรงกันข้ามกลับแฝงไว้ด้วยความขี้เกียจสายหนึ่ง
ประตูเปิดออกดังเอี๊ยด ถังมู่เฉินเดินเข้ามา
ได้กลิ่นสุราเต็มห้อง ถังมู่เฉินเลิกคิ้วยิ้มว่า “น้องพี่ วันนี้อารมณ์สุนทรีเช่นนี้ ไม่คิดว่าจะหลบดื่มสุราอยู่ในห้อง ทว่าดื่มคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ไยไม่เรียกพี่ใหญ่สักคำล่ะ”
มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ว่า “พี่ใหญ่ว่างที่ไหน”
ถังมู่เฉินอึ้ง เพ่งพิศแก้มที่สดดังดอกท้อของมั่วชิงเฉิน แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “น้องพี่ เจ้าคงไม่ได้ดื่มมากไปหรอกนะ?”
มั่วชิงเฉินค้อนเขาขวับหนึ่ง หยิบขวดน้ำเต้าสุราขึ้นจิบอีกอึกหนึ่ง
ถังมู่เฉินกะพริบตา เผยรอยยิ้มกวนประสาทว่า “น้องพี่ เจ้าดื่มสุราแล้วพูดความจริงใช่หรือไม่ เห็นพี่ใหญ่และแม่นางอื่นอยู่ด้วยกัน หึงใช่ไหม…”
ยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงผะอืดผะอมของมั่วชิงเฉิน
ถังมู่เฉินหน้าดำ เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “ไม่กระแทกกันเช่นนี้สิ ข้าก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ…”
ไม่อยากฟังเจ้าหมอนี่ปากเปราะอีก มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างจริงจังว่า “พี่ใหญ่ เจ้าฟังน้องเตือนสักคำ อย่าไปมาหาสู่กับเผยอวิ้นเอ๋อร์”
ถังมู่เฉินงงงันเล็กน้อย เขาเหนือความคาดหมายเล็กน้อยที่มั่วชิงเฉินยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา นี่ดูไม่เหมือนการกระทำของนาง หรือว่า จะดื่มจนเมาจริงๆ แล้ว?
ถังมู่เฉินกวาดมองขวดน้ำเต้าสุราเจ็ดแปดใบที่โยนส่งเดชอยู่บนพื้น แล้วยิ่งแน่ใจการคาดเดาของตน
เห็นถังมู่เฉินจ้องขวดน้ำเต้าสุราบนพื้นแล้วเหม่อลอย มั่วชิงเฉินได้แต่เปิดอกพูดว่า “พี่ใหญ่ ตามหลักแล้วเจ้าคบหากับแม่นางท่านไหน ไม่เกี่ยวกับน้อง ทว่าเผยอวิ้นเอ๋อร์คนนี้ เรียกเผยสิบสามว่าพี่สิบสาม ดูพฤติกรรมนางแล้ว เย่อหยิ่งเอาแต่ใจแต่ขาดไหวพริบ เกรงว่าจะถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ นางต้องเป็นคุณหนูที่ฐานะสูงส่งของตระกูลเผยเป็นแน่ หากพี่ใหญ่พึงใจต่อนาง คิดจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่กับนาง ตระกูลเผยน่าจะยินดีเป็นหนักหนา ทว่าหากคิดเพียง…”
พูดถึงตรงนี้แล้วพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้หญิง พูดเรื่องพวกนี้กับผู้ชาย ออกจะตะขิดตะขวงใจไปบ้างจริงๆ
ทว่าบัดนี้สองคนเรียกกันเป็นพี่น้อง ก็คือมดบนเชือกเส้นเดียวกัน หากถังมู่เฉินหน้ามืดชั่วขณะ ตอแยหญิงสาวที่ไม่ควรตอแย พาตนเข้าสู่ความยุ่งยากพวกนี้ไปด้วย เช่นนั้นถึงปวดศีรษะ
นางนึกภาพออกเลย หากเมื่อใดที่ถังมู่เฉินมีความสัมพันธ์ทางกายกับเผยอวิ้นเอ๋อร์แล้ว เกรงว่าตระกูลเผยจะไม่ยอมรามือ ดีไม่ดีจะได้ฉวยโอกาสครั้งนี้รับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งเข้าตระกูลเสียเลย
ถึงเวลาหากถังมู่เฉินคิดจะสะบัดก้นจากไป เช่นนั้นก็รอถูกไล่ฆ่าเถอะ
มองนัยน์ตามั่วชิงเฉินที่ยิ่งฉ่ำเยิ้มกระจ่างใสขึ้นมา เนื่องจากดื่มสุรา ถังมู่เฉินแม้ตามอมรมณ์ในเรื่องชายหญิงมาตลอดจนชินแล้ว กลับหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่ใคร่เคยเห็น
มั่วชิงเฉินพูดได้ชัดเจนเหลือเกินจริงๆ หากเจ้าเอาจริงกับคนเขา เช่นนั้นก็ทุกคนยินดี หากเพียงแค่เล่นๆ เกรงว่าจะหาเรื่องใส่ตัว
หญิงสาวคนหนึ่ง ต่อให้เป็นคนที่เขาเห็นเหมือนน้องสาวตลอดเวลา อยู่ร่วมห้องเดียวกัน กลับเตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องพรรณนี้ ช่างกระอักกระอ่วนจริงๆ
“พี่ใหญ่ เจ้าโกรธหรือ? ข้ารู้ว่าพูดตรงไปหน่อย…”
จู่ๆ ถังมู่เฉินก็กดไหล่ของมั่วชิงเฉินไว้ เก็บความทะลึ่งตึงตังที่เห็นเป็นประจำขึ้นว่า “น้องพี่ พี่ใหญ่ไม่ได้โกรธ เจ้าพูดได้ถูกต้อง ต่อไปพี่ใหญ่รับรองจะไปให้ห่างเผยอวิ้นเอ๋อร์ จะได้ไม่ก่อเรื่องให้เรา”
มั่วชิงเฉินแอบโล่งอก ได้ ยังรู้ว่าเป็นการก่อเรื่องให้สองคน ดูแล้วไม่ได้หน้ามืด บางทีตนอาจจะปากมากไปก็ได้
“เออใช่ พี่ใหญ่มาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
ถังมู่เฉินแบะปากว่า “น้องพี่เอ๊ย อย่างไรเสียเจ้าก็ให้สุราข้าดื่มสักอึกแล้วค่อยคุยกันเถอะ”
มั่วชิงเฉินยิ้ม ขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ แล้วโยนตรงข้ามไป
ถังมู่เฉินรับไว้ เปิดจุดปิดขวดน้ำเต้าแล้วกรอกเข้าไปหลายอึกใหญ่อย่างสะใจ ถึงเช็ดปาก หันหลังมองๆ แล้ว โบกแขนเสื้อกั้นเขตอาคมเก็บเสียงขึ้น
มั่วชิงเฉินแววตากระจ่างขึ้นมาเล็กหน่อย แล้วนั่งตัวตรง
“น้องพี่ จำได้ว่าวันนั้นข้าเคยพูดไว้ รอออกจากเขตไร้จนแล้ว จะบอกเจ้าว่าเหตุใดข้าสามารถแก้ปราณมรณะได้” ถังมู่เฉินมองตาของมั่วชิงเฉิน แล้วเอ่ยเนิบๆ
มั่วชิงเฉินใจสั่นทีหนึ่ง เผยอริมฝีปาก กลับไม่ได้พูดอะไร
นางรู้สึกว่าตนจอมปลอมเล็กน้อย ถังมู่เฉินไม่มีความจำเป็นต้องบอกตนเรื่องนี้ชัดๆ ทว่าเพราะลางสังหารณ์ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นวันนั้น จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของเขาเหมือนมีเล็บแมวคอยเขี่ยหัวใจอย่างไรอย่างนั้น มักคิดอยากรู้ให้ได้
ทว่าหากเป็นความลับของขวดน้ำเต้าสุราตน กระทั่งยังมีความลับเรื่องทะลุมิติ จะเต็มใจถูกผู้คนสืบค้นหรือไม่นะ?
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือก สิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ อย่าได้นำไปปฏิบัติกับผู้อื่น ตนจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“พี่ใหญ่ วันนี้ข้าเพียงแต่ถามติดปากเท่านั้น ยามนี้ไม่อยากรู้แล้วล่ะ คิกๆ เจ้ามาแล้ว ไม่สู้ดื่มเป็นเพื่อนน้องสองสามจอกเป็นเช่นไร ข้าจะได้ไม่ต้องดื่มคนเดียว”
ถังมู่เฉินงงงันเล็กน้อย จากนั้นว่า “เจ้าเพียงแค่ถามติดปากเท่านั้นจริงหรือ?”
“ใช่” มั่วชิงเฉินตอบอย่างแน่ใจ
“ยามนี้ไม่อยากรู้แล้ว?” ถังมู่เฉินถามอีก
“ไม่อยาก ไม่อยากแล้วจริงๆ” มั่วชิงเฉินยิ่งแน่ใจหนักขึ้น
ถังมู่เฉินอ้าปากอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายหน้าตาโศกเศร้าว่า “น้องพี่เอ๊ย แกล้งกันเช่นนี้ไม่ได้นะ ในที่สุดข้าก็ตัดสินใจ กว่าจะบอกความลับนี้กับคนที่เชื่อถือได้ไม่ใช่ง่ายๆ จู่ๆ เจ้าก็ไม่ให้พูดแล้ว นี่จะทำให้ข้าอกแตกตายไม่ใช่หรือ!”
มั่วชิงเฉินเกือบกระอักเลือด ชะ เช่นนี้ก็ได้หรือ!
“พี่ใหญ่ เจ้าดื่มมากไปแล้วกระมัง?”
ไม่ถูกนี่นา ขวดน้ำเต้าสุราเจ็ดแปดใบบนพื้นล้วนเป็นขวดที่ตนดื่มเองนี่นา ขวดน้ำเต้าสุราในมือเขายังดื่มไม่หมดเลย หรือว่าจะเหมือนอีกาไฟ เป็นพวกกาเดียวล้ม?
อีกาไฟโวยวายอยู่ในถุงอสูรวิญญาณว่า “กาเดียวล้มแล้วเป็นอย่างไร กาเดียวล้มก็อยู่ดีๆ ก็โดนลูกหลงได้หรือ คนเขาไม่อยากถูกเอามาพูดรวมกับเทพแห่งความซวยหรอกนะ!”
มั่วชิงเฉินตัดขาดการติดต่อทางจิตใจกับอสูรวิญญาณของตนอย่างเฉียบขาด มองท่าทางน่าสงสารของถังมู่เฉิน แล้วหน้าร้อนผ่าวว่า “หากพี่ใหญ่อยากพูด ข้าก็จะฟัง”
จอมปลอมเหลือเกินตกลงไหม! มั่วชิงเฉินดูถูกตนเอง
ถังมู่เฉินยิ้มหน้าบาน นั่งเข้าไปใกล้มั่วชิงเฉินอีกหน่อย แล้วแหงนหน้ากรอกสุราอีกอึกหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “ที่จริงข้าเป็นคนที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง”
เสียงดังตุ๊บ มั่วชิงเฉินตกลงไปจากเก้าอี้
“พะ…พี่ใหญ่ เจ้าล้อเล่นกระมัง?” ต่อให้ปกตินางใจเย็นเพียงใด ได้ยินเรื่องเขย่าขวัญแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ก็ไม่อาจรักษาความสุขุมไว้ต่อ
ถังมู่เฉินจ้องใบหน้าประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูกของมั่วชิงเฉิน แล้วถอนใจเอื่อยๆ ว่า “ถูกต้อง ข้าล้อเล่นอยู่จริงๆ”
มั่วชิงเฉิน…
สิ่งที่ถังมู่เฉินพูดต่อมาทำให้นางใจเต้นตึกตัก “น้องพี่ เปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งที่เจ้าปล่อยออกมายามฆ่าศัตรู คือเปลวน้ำแข็งเหมันต์สินะ?”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าโดยพลันว่า “พี่ใหญ่ก็ศึกษาไฟอัศจรรย์ที่แตกออกจากธรรมชาติฟ้าดินหรือ?”
ถังมู่เฉินไม่พูด จู่ๆ ก็ขยับมือ เปลวไฟสีเทาดำช่อหนึ่งสั่นระริกอยู่ที่ปลายนิ้ว
“นี่คือ…” มั่วชิงเฉินหรี่ตา รู้สึกเพียงว่าใจเต้นตึกตักตึกตักขึ้นมา
“ไฟอินหยางย้อนใจ” สีหน้าของถังมู่เฉินสงบอย่างประหลาด ราวกับพูดเรื่องนี้ออกไป แล้วกลับโล่งอก
“ไฟอินหยางย้อนใจ?” มั่วชิงเฉินตั้งแต่ที่มีเพลิงแก้วใจกระจ่างก็ตั้งใจสืบเกี่ยวกับไฟอัศจรรย์แต่ละชนิด ทว่ากลับรู้เกี่ยวกับไฟอินหยางย้อนใจน้อยนัก
สีหน้าของถังมู่เฉินเข้าสู่การย้อนระลึกว่า “ปีนั้นยามอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ข้าออกไปท่องเที่ยวฝึกตน หลงเข้าสู่แดนลี้ลับแห่งหนึ่งโดยไม่เจตนา ในยามที่ใกล้จะตายนั่นเอง ได้กำราบไฟอินหยางย้อนใจนี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าจึงมีชีวิตรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ ต่อมาแม้มักดวงกุดตลอดเวลา กลับมักสามารถรอดมาได้หวุดหวิดทุกครั้ง น่าจะเพราะมีไฟอินหยางย้อนใจอยู่ ข้าถึงไม่กลัวปราณมรณะกระมัง”
ในปีนั้น ที่จริงตนไม่ใช่ใกล้ตาย หากแต่ในยามที่ขาดใจ โลหิตที่มืดฟ้ามัวดินย้อมเปลวไฟสีดำที่โลดเต้นอยู่ข้างกายจนทั่ว ยานนั้นตนได้เข้าสู่สถานที่ประหลาดที่หนึ่งแล้ว ที่นั่นมีคนมากมาย เพียงแต่พวกเขาส่วนใหญ่ดูแล้วจับต้องไม่ได้ ราวกับควันบางเบากลุ่มหนึ่ง สลายหายไปได้ทุกเมื่อ
ในขณะที่จิตใจกำลังเลื่อนลอยอยู่ มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา เรียกตนเองว่าเป็นทหารผีผู้พาข้ามแดน จุกจิกจู้จี้พูดตั้งมากมาย ความหมายโดยประมาณก็คือตนมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรผี ถามตนว่าเต็มใจอยู่ที่แดนผีเปลี่ยนเป็นนักบำเพ็ญเพียรผี หรือว่าวันหลังเข้าสู่วัฏสงสารกลับชาติเกิดเป็นคนใหม่
ยามนั้นสมองที่ตกตะลึงของตนยังไม่ได้สติกลับมา ในยามที่ทหารผีตนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงจับข้อมือของตน จู่ๆ ก็รู้สึกถึงพลังดูดมหาศาลส่งผ่านมา เมื่อยามที่ลืมตาอีกครั้ง มีแดนผีทหารผีที่ไหน ตนยังอยู่ที่เดิม โลหิตบนพื้นยังคงมากจนน่าตกใจ ทว่าบาดแผลบนตัวกลับหายดีหมดแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ
เป็นเวลานานมาก ที่เขาไม่กล้าไปนึกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น และก็เป็นเหตุให้เกิดปมในใจ ก่อแก่นปราณล้มเหลวสองครั้ง ต่อมาก็ประสบเรื่องราวอีกหลายเรื่อง ในที่สุดก็สามารถเผชิญหน้าเรื่องที่ตนเป็นคนที่ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้ามอุปสรรคนั้นไป ถึงก้าวขึ้นทางแห่งแก่นทองได้ในที่สุด
เพียงแต่เรื่องพวกนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาให้นางตกใจแล้วกัน
พินิจพิเคราะห์สีหน้าตกใจสงสัยของมั่วชิงเฉิน ถังมู่เฉินคิดเงียบๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม นางรู้สึกว่า เกรงว่าไฟอินหยางย้อนใจจะไม่ธรรมดาเพียงเท่านี้ ยิ่งกว่านั้นหากเป็นเพียงเท่านี้ วันนั้นนางคงไม่เกิดลางสังหรณ์ที่สำคัญกับตนเช่นนั้น ทว่าแต่ละคนล้วนมีความลับของตน ถังมู่เฉินพูดเรื่องพวกนี้กับนางได้ ก็เป็นความเชื่อใจที่หายากแล้ว นางจะซักไซ้ต่อได้เช่นไรล่ะ
ถังมู่เฉินพูดจบ ทั้งสองคนคุยเรื่อยเปื่อยต่ออีกหน่อย ถังมู่เฉินจึงร่ำลาจากไป
ไม่นานนัก ก็ถึงวันที่ไปจากเกาะเคลื่อนย้ายแล้ว