พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 405
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 405 โฉมดุจเด็กหนุ่ม
“หัวหน้าตระกูลเผยจะพบข้า?” มั่วชิงเฉินมองไปที่เผยสิบสาม
เผยสิบสามชะงักแผ่วเบา หรือว่าเพราะคำพูดวันนั้นทำให้หัวหน้าตระกูลเกิดสนใจในตัวแม่นางมั่วขึ้นมา?
ทว่าเจตนาเดิมของเขาคือคิดจะให้หัวหน้าตระกูลปรามเผยอวิ้นเอ๋อร์ คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลกลับคิดจะพบแม่นางมั่วสักครั้ง
หัวหน้าตระกูลเผยเป็นตัวตนที่พิเศษมากในบรรดานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เขาอายุสองร้อยเล็กน้อยก็ก่อกำเนิด เป็นนักบำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่หาน้อยในเซิงโจว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจนกระทั่งถึงอายุพันกว่าปีถึงมีคู่บำเพ็ญเพียรคู่ ต่อมาจึงมีบิดาของเผยอวิ้นเอ๋อร์
หากนับตามความอาวุโสในครอบครัว เผยอวิ้นเอ๋อร์มีความอาวุโสมาก เกรงว่าเผยสิบสามก็ไม่รู้ว่าควรเรียกนางว่าเช่นไรแล้ว
ตระกูลนักบำเพ็ญเพียรประเภทนี้ไม่อาจนับตามตระกูลคนธรรมดาได้ ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมาหมื่นปีเช่นตระกูลเผย ทั่วไปแล้วนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในตระกูลเรียกรวมๆ ว่าท่านผู้เฒ่า นอกจากบิดามารดาบุตรธิดาแล้ว ไม่มีข้อผูกมัดด้านความอาวุโสอีก ส่วนนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณและนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เรียงลำดับตามขอบเขตอายุและตบะ ส่วนคนในตระกูลที่ไม่มีรากวิญญาณ เช่นนั้นก็เป็นความมีอยู่อย่างเงียบๆ เรียงลำดับจะมีความหมายอะไรล่ะ เพียงแค่ไม่กี่สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็บรรลัยอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาแล้ว
ความอาวุโสในครอบครัวสูงเช่นเผยอวิ้นเอ๋อร์ ท่านปู่สายตรงก็ยังแข็งแรงอยู่ จึงนับนางเข้าลำดับในรุ่นของเผยสิบสาม ก็นับว่าดูแลเป็นพิเศษแล้ว
เผยสิบสามมองไปที่คนรับใช้ว่า “เช่นนั้นข้าพาแม่นางมั่วไปพบท่านหัวหน้าตระกูลแล้วกัน”
คนรับใช้ก้มหน้าอย่างนอบน้อม เสียงกลับมุ่งมั่นเป็นพิเศษว่า “คุณชายสิบสาม ท่านหัวหน้าตระกูลบอกว่าจะพบแม่นางมั่วเพียงคนเดียวขอรับ”
“แม่นางมั่ว เช่นนั้นข้าน้อยก็พาพวกเขาไปรอเจ้าที่น้องสิบเก้านั่นก่อน” เผยสิบสามกอบหมัด จากนั้นส่งเสียงทางจิตว่า “แม่นางมั่วไม่ต้องเป็นห่วง หัวหน้าตระกูลท่านเพียบพร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่”
หัวหน้าตระกูลที่อายุพันกว่าปีแล้ว นอกจากรักตามใจหลานสาวแท้ๆ เป็นพิเศษ นอกจากนานๆ ทีทำอะไรไม่ยึดตามเหตุผลทั่วไปบ้าง เวลาส่วนใหญ่ยังคงไม่ใส่ใจทุกสิ่ง ส่วนไม่ใส่ใจ มักหมายถึงปลอดภัย มิใช่หรือ?
“ขอบคุณสหายเต๋าเผยเตือนสติ” มั่วชิงเฉินแม้สงสัยอยู่ในใจบ้าง บนใบหน้ากลับไม่แสดงสิ่งใด ผงกศีรษะแผ่วเบาให้ถังมู่เฉิน แล้วตามคนรับใช้ไป
ถังมู่เฉินหรี่ตาขึ้นมาว่า “สหายเต๋าเผย หัวหน้าตระกูลท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับน้องสาวข้าได้อย่างไร?”
เผยสิบสามกวาดมองเฉิงหรูยวนปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “น้องสิบเก้าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของหัวหน้าตระกูล ครั้งนี้เชิญสหายเต๋าถังมา ข้าน้อยจึงพูดถึงกับหัวหน้าตระกูลไปสักหน่อย”
ถังมู่เฉินหน้าถอดสีว่า “หัวหน้าตระกูลท่านเพราะเรื่องของข้าและเผยอวิ้นเอ๋อร์ จึงอยากพบน้องสาวข้า?”
เผยสิบสามชะงัก หัวหน้าตระกูลอยากพบแม่นางมั่ว ที่สำคัญที่สุดเกรงว่าจะเป็นเพราะการคาดเดาที่เฉิงหรูยวนบอกตนไว้ ทว่าคำพูดนี้ กลับไม่สะดวกพูดตรงๆ
ถังมู่เฉินเห็นเผยสิบสามไม่พูด นึกว่าเขาเห็นด้วยแล้ว จึงเอ่ยทันทีว่า “เผยอวิ้นเอ๋อร์ล่ะ ข้าจะพบนางทันที!”
ทางด้านนี้ มั่วชิงเฉินถูกคนรับใช้นำทาง เดินผ่านศาลากลางน้ำ ห้องหับระเบียงยาวของตระกูลเผย มาถึงเชิงเขาภูเขาเขียวชอุ่ม
มั่วชิงเฉินแอบเดาะปาก ตระกูลเผยครอบครองที่ดินมหาศาลตามคาด ไม่คิดว่าจะเก็บเทือกเขาเขียวทั้งแถบเข้าในจวน
คนรับใช้โยนเรือเล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกลำหนึ่ง เรือค่อยๆ ใหญ่ขึ้น “แม่นางมั่วเชิญ”
มั่วชิงเฉินก้าวขึ้นเรือเล็ก บินช้าๆ ท่ามกลางขุนเขาสูงตระหง่าน เดิมนางนึกว่าที่พำนักของหัวหน้าตระกูลเผยอยู่บนยอดเขา สุดท้ายเรือเล็กบินผ่านยอดเขาอย่างเอื่อยๆ แล้วร่อนลงพื้นอย่างเอื่อยๆ อีก
มั่วชิงเฉินกะพริบตา นึกว่าตนดูผิด
เห็นเพียงลำธารเล็กสายน้ำไหลด้านหน้า มีปลาตัวอ้วนโลดเต้นอยู่ ต้นผลไม้ทั้งแทบเลียบเรียงไปตามข้างลำธาร ได้ยินเสียงผลไม้ที่สุกงอมตกน้ำเป็นระยะ แล้วก็มีปลาฝูงหนึ่งไล่ตามไปอย่างร่าเริง
ปลาที่กินผลไม้?
มั่วชิงเฉินบิดคอ มองไปที่ข้างๆ อีก ทางด้านลำธารเล็กนั้นก็คือแปลงผักแปลงหนึ่ง ไม่ไกลออกไปเป็นกระท่อมหญ้าแฝกไม่กี่หลัง ในรั้วไม้ไผ่ยังเลี้ยงไก่วิญญาณไว้หลายตัวด้วย
ชายแต่งตัวเหมือนชาวนาคนหนึ่งกำลังก้มหน้าดูแลผักอย่างอดทน ท่วงท่าของเขาช่างเป็นธรรมชาติไหลลื่น เปล่งกลิ่นอายที่อบอุ่นแต่ยิ่งใหญ่
คนรับใช้เห็นท่าทางเหลอหลาของมั่วชิงเฉิน เขาเห็นบ่อยจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว อมยิ้มว่า “คุณหนูมั่ว นั่นก็คือหัวหน้าตระกูลของตระกูลข้า เชิญเข้าไปเถอะ”
พูดจบก็กระโดดขึ้นเรือเล็กอย่างรู้ตัว แล้วบินไปทางขุนเขาเขียวอย่างช้าๆ อีก
มั่วชิงเฉินกระแอมเบาๆ ทีหนึ่งว่า “ผู้น้อยมั่วชิงเฉิน ขอกราบคารวะท่านหัวหน้าตระกูลเผยเจ้าค่ะ”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ
มั่วชิงเฉินตกตะลึงพรึงเพริดหนักขึ้น ผ่านการเตือนสติโดยเฉพาะของเผยสิบสาม เดิมนางนึกว่าหัวหน้าตระกูลเผยเกรงว่าจะเป็นผู้เฒ่าที่ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพรน หรือต่อให้รูปโฉมเป็นคนหนุ่ม ก็น่าจะปิดบังร่องรอยของกาลเวลาไม่มิด ทว่าใบหน้าข้างหน้านี้ ดูแล้วท่าทางเพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี ไม่พูดถึงว่าเขารูปโฉมเป็นเช่นไร เฉพาะกลิ่นอายนั่น ก็สดใสดุจดั่งเด็กหนุ่มอายุสิบแปดที่แท้จริง
นี่ นี่ก็คือท่านปู่ของเผยอวิ้นเอ๋อร์?
“นางหนู เจ้ามานี่” ชายหนุ่มกวักมือเรียกนาง
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง เพราะนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดตรงหน้ายังนั่งยองๆ อยู่ นางย่อมไม่อาจมองจากที่สูงเช่นนี้ จึงย่อลงมาเช่นกัน
“เจ้าดูหัวผักกาดเซียนนี่ บอบบางที่สุด ไม่ได้ดูให้ดีเพียงวันเดียว ก็มีหนอนขึ้นแล้ว หนอนเล็กๆ พวกนี้กำจัดยากที่สุด นางหนู เจ้าช่วยข้าทำหน่อย” ชายหนุ่มพูดอย่างอ่อนโยน ยิ้มเหมือนเด็กหนุ่มไร้เดียงสา
มั่วชิงเฉินหลุบตา ถึงพบว่ามือของเขาเลื่อนผ่านหัวผักกาดเซียนช้าๆ ปลายนิ้วก็ปล่อยปราณวิญญาณแผ่วอย่างถึงที่สุดออก หนอนขนาดเท่าเส้นด้ายก็ถูกเขี่ยตกลงมา
นางประมาณการนิสัยของหัวหน้าตระกูลเผยไม่ออก ยึดหลักการนิ่งเสียตำลึงทอง รวบรวมปราณวิญญาณแผ่วๆ ไว้ที่ปลายนิ้ว เล็งหนอนเล็กๆ ตัวหนึ่งให้แม่นแล้วยิงออกไป
นางแอบสังเกตดูแล้ว หนอนพวกนี้ตัวเล็ก เกาะแน่นอยู่บนหัวผักกาดเซียนกระดืบไปมาไม่หยุด หากคุมไม่ดี ปราณวิญญาณก็จะทำหัวผักกาดเซียนเสียหาย
โชคดีที่นางเคยฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตามาก่อน อีกทั้งฝึกเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่เป็นหลัก ไม่ว่าการควบคุมจิตตระหนักหรือพลังวิญญาณ นับวันยิ่งแม่นยำขึ้น บัดนี้ลงมือ ก็ไม่ถึงกับปล่อยไก่
เห็นมั่วชิงเฉินมือเปล่าปัดผ่านหัวผักกาดเซียนที่เขียวสดช้าๆ หนอนเล็กๆ ก็ร่วงตุ๊บๆ ลงมา ชายหนุ่มแววตาลึกล้ำ เพ่งพิศนางเงียบๆ
มั่วชิงเฉินถูกนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแปลกหน้าคนหนึ่งเพิ่งพิศเช่นนี้ รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางก็ทำอะไรมีความอดทน จนกระทั่งจัดการแปลงหัวผักกาดเซียนที่ชายหนุ่มคนนี้สั่งให้จัดการเสร็จ ถึงกึ่งเงยหน้าขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโส”
“ไม่เหมือน ไม่เหมือน” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ
มั่วชิงเฉินแอบขมวดคิ้ว คนผู้นี้เป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ไยพฤติกรรมถึงแปลกประหลาดเช่นนี้นะ แม้นางระมัดระวัง ทว่าก็ไม่ถึงกับต้องก้มศีรษะคุกเข่า จึงตอบเสียงกังวานทันทีว่า “ท่านผู้อาวุโสรู้สึกว่าผู้น้อยเหมือนใครเจ้าคะ?”
ชายหนุ่มชะงักแผ่วเบา เห็นชัดว่าไม่คิดว่านางหนูน้อยคนหนึ่งปรากฏตัวตามลำพังต่อให้หัวหน้าของตระกูลหนึ่ง ยังกล้าถามกลับอย่างสงบเช่นนี้ ทว่าเขาไม่ได้โกรธ ตรงกันข้ามกลับยิ้มว่า “ดูเช่นนี้แล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเหมือนอีกแล้ว”
คนนี้เป็นโรคประสาทกระมัง? มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูด
“นางหนู เจ้าทำอาหารเป็นหรือไม่?” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น
“เป็นเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้าด้วยสัญชาตญาณ
ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืน ชี้ผักผลไม้ในตะกร้าไม้ไผ่ว่า “นางหนูทำให้ตาเฒ่ากินสักมื้อเป็นเช่นไร?”
ตาเฒ่า?
มั่วชิงเฉินมองดูใบหน้าที่อย่างมากก็นับว่าเป็นเด็กหนุ่มของชายหนุ่มแล้วสีหน้าจำใจ ต่อให้รู้อายุของเขาอย่างชัดเจน ทว่าได้ยินเขาเรียกตนเองว่าตาเฒ่ายังคงรู้สึกขัดต่อความรู้สึกมากอยู่ดี
มั่วชิงเฉินไม่เคยคิดมาก่อน ว่าฉากที่เรียบสงบจนอบอุ่นเช่นนี้ หลังจากจากความสงบของพรรคเหยากวงแล้ว จะปรากฏขึ้นที่นี่
นางทำสิ่งใดแต่ไหนแต่ไรมาคือไม่ก็ไม่ทำ เมื่อไรที่ทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดในขอบเขตความสามารถของตนเอง การบำเพ็ญเพียรเป็นเช่นนี้ หมักสุราเป็นเช่นนี้ ทำอาหารก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
แม้ฝีมือไล่ตามอาจารย์ไม่ทัน ทว่าเวลาเพียงชั่วครู่ทำกำแกล้มออกมาไม่กี่อย่าง กลับกินได้มากแล้ว
ชายหนุ่มในตาอมยิ้ม หยิบตะเกียบขึ้นชิมดู แล้วชมว่า “ไม่เลว”
พูดจบก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที่ขึ้นมา ท่ามกลางความตกตะลึงอ้าปากค้างของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินดูออกแล้ว นี่ก็คือคนที่ทำอะไรไม่ยึดตามเหตุผลทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่วางมาดแล้ว คนเช่นนี้รำคาญผู้อื่นเสแสร้งที่สุด นางไม่ขอให้เขาชื่นชมหรืออะไร ขอเพียงเฝ้าหลานสาวสุดที่รักให้ดี อย่ามาหาเรื่องอีกก็พอ
มั่วชิงเฉินหยิบตะเกียบขึ้น กินขึ้นมาอย่างผู้ดีแต่กลับรวดเร็ว
มองไปเห็นเหลือหัวผักกาดเซียนเส้นสุดท้ายเพียงเส้นเดียว ตะเกียบของทั้งสองคนยื่นไปตรงนั้นพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินชะงัก จะหดกลับไปอย่างไม่รู้ตัว
“ห้ามยอม หากเจ้าไม่แย่ง ข้าก็จะให้หลานสาวข้าตื๊อพี่ชายเจ้าทุกวัน!”
หน้ามั่วชิงเฉินเกือบทิ่มลงจาน นี่ นี่คนอะไรกันนี่!
มองดูสีหน้าหงุดหงิดของมั่วชิงเฉิน ชายหนุ่มยิ้มอย่างได้ใจว่า “หากเจ้าแย่งไม่ได้ ข้าก็ยังจะให้นางตื๊อต่อ!”
ถือว่าท่านโหด!
มั่วชิงเฉินกระอักเลือดอยู่ในใจ มือไม้กลับคล่องแคล่วขึ้นมา
นางฝึกเข็มกล้วยไม้ปัดจุดมาก่อน มือคล่องแคล่วมาก เพียงอาศัยใช้ตะเกียบแย่งอย่างเดียว ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ คนหนึ่งอาศัยเขตแดนสูงแววตาฝีมือย่อมสูงตาม คนหนึ่งอาศัยที่ตั้งใจฝึกฝนมาก่อน มั่วชิงเฉินที่ประมือไปมาไม่คิดว่าจะไม่ได้แพ้ในทันที
มั่วชิงเฉินรู้ว่ายิ่งลากยาวยิ่งไม่เป็นผลดีกับตน ถึงเขตแดนของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ต่อให้เขาใช้ทักษะพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อย เกรงว่าก็ไม่มีเรื่องอะไรของตนแล้ว ต่อให้ไม่ใช้ เข็มกล้วยไม้ปัดจุดก็ต้องถูกเขามองขาดอย่างรวดเร็ว ถึงเวลายังคงต้องแพ้อยู่ดี
คิดเช่นนี้พลันมือยิ่งเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ได้ยินเพียงเสียงกระทบกังวานของตะเกียบทั้งสองคน น้ำในจานกลับไม่ได้กระเซ็นออกมาแม้แต่หยดเดียว ในเวลานี้เองหัวผักกาดเซียนในจานจู่ๆ ก็ลอยขึ้น มั่วชิงเฉินเขยิบไปข้างหน้า หัวผักกาดเซียนเส้นนั้นก็เหมือนมีขางอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น ตกเข้าไปในปากนาง
เห็นมั่วชิงเฉินกินอย่างเอื่อยเฉื่อย ชายหนุ่มนิ่งงัน จากนั้นหรี่ตาขึ้นมาว่า “นางหนูตัวดี ไม่คิดว่าจะฝึกวิชายุทธด้านจิตตระหนักมาก่อน?”
มั่วชิงเฉินยิ้ม ในเมื่อใช้เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา ใช้จิตตระหนักแย่งหัวผักกาดเซียนมาได้ เป็นไปได้อย่างไรว่าจะปิดนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดได้
“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยบังเอิญโชคดี ไม่ทราบว่าเรื่องของหลานสาวท่านกับพี่ใหญ่ข้า?”
ชายหนุ่มกะพริบตา ยิ้มอย่างซุกซนว่า “เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเด็กๆ พวกนี้ ตาเฒ่าอย่างข้าไม่ยุ่งหรอกนะ”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ยิ้มว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มวางตะเกียบลงบนโต๊ะดังแปะว่า “ขอบคุณอะไร ข้าไม่ได้ยอมให้เจ้าเสียหน่อย นางหนู เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“เอ่อ?”
ชายหนุ่มดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วถอนใจเนิบๆ ว่า “ของในโลกนี้ หากเป็นของที่เจ้าอยากได้ เช่นนั้นก็ต้องไปช่วงชิง ก็ต้องไปแย่ง หากเจ้าถอยโดยไม่ช่วงชิง เช่นนั้นก็ไม่มีคนรู้ความรู้สึกเจ้า แย่งแล้ว แพ้แล้วก็ยอมแล้ว หากชนะแล้ว ขอเพียงไม่เจอคนชั่วช้าสามานย์ เขาจะทำอะไรเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงว่า “ทว่าของบางอย่างไม่ใช่หัวผักกาดเซียนนี่ คนอื่นแย่งมัน จะรู้ได้อย่างไรว่ามันยินยอม?”
ครั้งนี้ชายหนุ่มถึงอึ้งจริงๆ จ้องจานที่ว่างเปล่าแล้วอยู่นาน ถามเสียงเบาว่า “มั่วถงนาง ยังอยู่หรือไม่?”