พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 408
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 408 เสิ่นฉงเหวินที่น่าสมเพช
“บาดเจ็บ?” เฉิงหรูยวนสีหน้าบึ้งตึง ฝีมือของเสิ่นฉงเหวินแม้แต่เขาก็สู้ไม่ได้ เพียงแค่ไปล่าจับม้าโต้วายุไม่คิดว่าจะได้รับบาดเจ็บ หรือว่าเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้า?
ป่าเขาที่พวกเขาไปยังนับอยู่ในขอบเขตอำนาจของตระกูลเฉิง เสิ่นฉงเหวินแม้ไม่ชอบโอ้อวด ทว่านักบำเพ็ญเพียรที่ไม่รู้ความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลเฉิงยังมีไม่มากจริงๆ หรือว่าการบาดเจ็บครั้งนี้ พุ่งเป้ามาที่ตระกูลเฉิง?
มาหาตระกูลเฉิงในเวลานี้ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการไปเฟิ่งหลินโจว?
ในพริบตาเฉิงหรูยวนก็คิดไปถึงเรื่องพวกนี้ แล้วบอกมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว ข้าขอไปดูฉงเหวินสักหน่อยก่อน”
“สหายเต๋าเฉิง ข้าก็อยากไปดูหน่อย” มั่วชิงเฉินรีบเอ่ย
“ก็ดี” เฉิงหรูยวนพยักหน้า แล้วหันหลังเดินออกไป
เฉิงห้ากลับลังเลครู่หนึ่งว่า “คุณชาย…”
เฉิงหรูยวนขมวดคิ้วว่า “เฉิงห้า มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
เฉิงห้าไม่กล้าลังเลอีก รีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่า คุณหนูมั่วไปเกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวกขอรับ”
“เอ่อ?” เฉิงหรูยวนเลิกคิ้ว
มั่วชิงเฉินได้ยินเฉิงห้าพูดเช่นนี้ จึงเอ่ยอย่างรู้ตัวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋าเฉิงก็ไปก่อนเถอะ หากพี่ใหญ่ข้าไม่เป็นไร รบกวนสหายเต๋าเฉิงให้เขามาพบข้าด้วย”
“ข้าเสียมารยาทแล้ว” เฉินหรูยวนกอบหมัด แล้วก้าวเท้าเดินจากไป
รอเลี้ยวออกจากลานบ้านของห้องรับรองแขกเดินไปอีกระยะหนึ่ง เฉิงหรูยวนถึงพลางเดินพลางเอ่ยว่า “เฉิงห้า เจ้าพูดต่อหน้าแม่นางมั่วเช่นนั้น ช่างไม่รู้ระเบียบเสียเลย!”
เฉิงห้าเหงื่อตก ทำหน้าเศร้าว่า “คุณชาย ข้าน้อยก็ไม่อยากนี่นา หากแม่นางมั่วตามไปด้วย เกรงว่าคุณชายญาติผู้น้องต้องอับอายตาย”
“พูดมาเถอะ ฉงเหวินเป็นอะไรกันแน่?”
เฉิงห้าเขยิบขึ้นมา เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายญาติผู้น้องเขา… บาดเจ็บตรงนั้นขอรับ”
“อะไรนะ?” เฉิงหรูยวนฝีเท้าหยุดกึก ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้สติกลับมา สีหน้ายิ่งดูไม่ได้หนักขึ้นว่า “เชิญหมอหรือยัง?”
ฉงเหวินเป็นบุตรคนเดียวของท่านน้า หากเป็นอะไรไปจริงๆ เขายังจะมีหน้าไปพบนางได้อย่างไร
เห็นเฉิงหรูยวนยิ่งเดินยิ่งเร็ว เฉิงห้าไล่ตามหอบแฮ่กๆ ว่า “คุณชายญาติผู้น้องเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่อนุญาตให้เชิญหมอขอรับ”
เฉิงหรูยวนในใจยิ่งหนักอึ้ง ไม่สนกฎห้ามเหินหาวในจวนแล้ว เหยียบขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวบินไปยังที่พำนักของเสิ่นฉงเหวิน
“ไอยา สหายเต๋าเฉิง เจ้ามาจนได้” ถังมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูพอดี เห็นเฉิงหรูยวนกระโดดลงจากสมบัติวิเศษเหินหาว จึงรีบเข้าไปรับในไม่กี่ก้าว
“สหายเต๋าถัง ข้าเข้าไปดูฉงเหวินก่อน” เฉิงหรูยวนไม่มีเวลาทักทาย ก้าวสวบๆ มาถึงหน้าประตูแล้วเคาะว่า “ฉงเหวิน ข้าเอง”
ข้างในเงียบงัน
เฉิงหรูยวนยื่นมือผลักประตูออกโดยตรงเสียเลย
“ออกไป!” มีดบินกะพริบประกายแสงเย็นเล่มหนึ่งบินเข้ามา
เฉิงหรูยวนเอี้ยวหน้าออก หลบมีดบินอย่างฉิวเฉียด ปิดประตูแล้วถอนใจ เอ่ยด้วยความห่วงใยว่า “ฉงเหวิน ตกลงเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
เสิ่นฉงเหวินใส่ชุดดำทั้งชุดเอนพิงหัวเตียง สีหน้าดำราวก้นหม้อ กัดฟันว่า “ท่านพี่ ท่านไม่ไว้หน้าข้าสักนิดเลยหรือ?”
เฉิงหรูยวนเกลี้ยวกล่อมว่า “น้องพี่ ยามนี้ไม่ใช่เวลาใช้อารมณ์ ท่านหมอเหยียนมาเป็นแขกอยู่ในจวนพอดี ไม่สู้…”
เสิ่นฉงเหวินลุกขึ้นยืนโดยพลัน จากนั้นสูดลมอึดหนึ่งด้วยสีหน้าประหลาด กัดริมฝีปากแน่นว่า “ท่านพี่ ไม่ก็ตอนนี้ท่านเรียกสาวใช้มาลองดูสักคน?”
เฉิงหรูยวนรู้สึกจำใจ ญาติผู้น้องคนนี้ตั้งแต่เด็กก็อารมณ์ดื้อรั้น นิสัยทระนง บัดนี้ดันบาดเจ็บที่ตรงนั้น ด้วยนิสัยของเขา เกรงว่าตีตายก็ไม่มีทางให้ตามหมอมาดู
“ฉงเหวิน เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็รักษาตัวดีๆ ก่อน ยาทานี่เจ้าลองใช้ดูก่อน”
ดันกล่องหยกข้ามไปใบหนึ่ง เฉิงหรูยวนตบไหล่ของเสิ่นฉงเหวินแล้ว หันหลังเดินออกไป
“สหายเต๋าถัง เล่าเรื่องที่ฉงเหวินได้รับบาดเจ็บให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
ถังมู่เฉินและเฉิงหรูยวนเดินเคียงไหล่กันออกไป ถอนใจว่า “หลายวันก่อนเราไปล่าม้าโต้วายุด้วยกันมิใช่หรือ พวกเราหลบอยู่ในกอหญ้าติดต่อกันหลายวัน ในที่สุดก็รอถึงม้าโต้วายุเข้าไปกินหญ้า เอ่อ สหายเต๋าเฉิงเจ้าก็รู้ ข้าและสหายเต๋าเสิ่นต่างอยากได้ม้าโต้วายุสักตัว ทว่าที่เข้ามากินหญ้ามีเพียงตัวเดียว ยามนั้นพวกเราจึงลงมือพร้อมกัน เดิมทีภายใต้การร่วมมือของพวกเรา เห็นม้าโต้วายุกำลังจะถูกจับได้อยู่แล้ว ทว่ายามที่มันกระโดดไม่รู้อย่างไรไปทำให้แมงป่องพิษตัวหนึ่งตกใจ แมงป่องพิษตัวนั้นต่อยลงที่ก้นม้าพอดี ม้าโต้วายุจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที ยามนั้นสหายเต๋าเสิ่นกำลังยกตัวจะกระโดดขึ้นหลังม้าพอดี จึงถูกกีบม้ากวาดไปทีหนึ่ง”
สถานการณ์ที่แท้จริงคือยามนั้นเขาและเสิ่นฉงเหวินต่างเพื่อแย่งกันจะเอาม้าโต้วายุให้ได้ก่อน ด้านหนึ่งแย่งกันขึ้นม้าด้านหนึ่งตีกันอุตลุด เสิ่นฉงเหวินถึงได้ถูกม้าโต้วายุที่จู่ๆ ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาเตะเข้าเต็มๆ แน่นอนเรื่องนี้ถังมู่เฉินไม่มีวันพูดหรอก คิดว่าเสิ่นฉงเหวินก็ไม่มีหน้าพูดเช่นกัน
เฉิงหรูยวนตะลึงว่า “เช่นนี้หมายความว่า ไม่มีศัตรูภายนอก?”
ถังมู่เฉินคิดๆ แล้วว่า “แมงป่องพิษตัวนั้นนับหรือไม่?”
เฉิงหรูยวนปากสั่นแล้วสั่นอีก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าไยแม่นางมั่วถึงตะคริวกินปากบ่อยๆ แล้ว
“สหายเต๋าถัง แม่นางมั่วออกจากกักตนแล้ว นางกำลังรอเจ้าอยู่แน่ะ” เฉิงหรูยวนตัดสินใจไปให้ห่างๆ คนผู้นี้
ถังมู่เฉินดีใจ “ไม่คิดว่าน้องพี่จะออกจากกักตนแล้ว เช่นนั้นข้าเข้าไปดูหน่อย เอ่อ ใช่แล้ว สหายเต๋าเฉิง สหายเต๋าเสิ่นเขาไม่ยอมหาหมอใช่หรือไม่น่ะ?”
“อืม”
“เฮ่อ ไม่ยอมรับการวินิจฉัยไม่ยอมหาหมอเป็นเรื่องไม่ควรทำที่สุดเลยนะ เพียงแต่สหายเต๋าเสิ่นบาดเจ็บที่ตรงนั้น ก็ไม่สะดวกจริงๆ เออใช่ น้องสาวข้ามียาทาชนิดหนึ่ง รักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้ผลชะงัดนัก เจ้าว่า…” ถังมู่เฉินยิ้มร่าว่า
เฉิงหรูยวนไม่ว่าดูอย่างไรก็รู้สึกว่าถังมู่เฉินยิ้มอย่างไม่ประสงค์ดีนัก แต่ก็รู้สึกว่าตนคิดมากเกินไปอีก จึงเอ่ยอย่างลังเลว่า “ใช้โอสถของแม่นางมั่ว หากฉงเหวินรู้เข้า เกรงว่าจะ…อย่างไรก็ช่างเถอะ ที่ญาติผู้น้องมียาหลิงจิงชั้นดีของตระกูลเฉิงเรา เขาจะใช้เอง”
ถังมู่เฉินหัวเราะแล้ว “ยามที่สหายเต๋าเสิ่นเพิ่งบาดเจ็บเจ็บจนทนไม่ไหว ดูเหมือนหลบอยู่ที่มุมอับใช้ยาทาชนิดหนึ่งแล้ว ไม่รู้ใช่ยาหลิงจิงหรือไม่ ข้าดูท่าทางเช่นนั้น เหมือนไม่ค่อยได้ผลนะ”
เฉิงหรูยวนขมวดคิ้วขึ้นมา ญาติผู้น้องหากใช้จริงแล้วยังท่าทางเช่นนี้ ดูท่าจะไม่ค่อยได้ผล อีกทั้งเขายืนกรานไม่ยอมหาหมออีก หากทิ้งอาการแฝงอะไรไว้…
เมื่อนึกถึงท่าทางเช็ดน้ำตาทุกวันของท่านน้า เฉิงหรูยวนตัวสั่นงันงก รีบเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หน้าหนาขอจากแม่นางมั่วแล้ว”
มั่วชิงเฉินนั่งอยู่ในลานบ้าน แอบว่าไยถังมู่เฉินยังไม่มาอีก หรือว่าอาการของเสิ่นฉงเหวินจะรุนแรงมาก?
นี่คงไม่ใช่เรื่องที่เขาก่อขึ้นอีกนะ?
กำลังคิดเหลวไหลก็ได้ยินความเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นเห็นพวกเฉิงหรูยวนสองคนเดินเข้ามาพร้อมกัน
“สหายเต๋าเฉิง อาการบาดเจ็บของสหายเต๋าเสิ่นเป็นเช่นไรบ้าง?” มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป
เฉิงหรูยวนกระแอมเสียงหนึ่งว่า “บาดเจ็บภายนอก บาดเจ็บภายนอก”
มั่วชิงเฉินกวาดมองถังมู่เฉินปราดหนึ่ง ก็เห็นเขายิ้มจนคิ้วตาโค้งไปหมด
“แม่นางมั่ว…ข้าได้ยินสหายเต๋าถังบอกว่าที่เจ้ามียาทาชั้นดี จึงอยากขอสักหน่อย”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าทั้งสองคนประหลาดนัก ถังมู่เฉินหน้าตายิ้มกวนประสาท เฉิงหรูยวนกลับพลางบอกไม่เป็นไร พลางขอยาทา เช่นนั้นเสิ่นฉงเหวิน ตกลงเป็นอะไรกันแน่?
เรื่องของผู้อื่นนางไม่อยากยุ่งมาก จึงยื่นขวดเล็กๆ สีขาวใบหนึ่งให้ไปว่า “สหายเต๋าเฉิงเกรงใจไปแล้ว หากไม่พอก็ค่อยมาเอา”
ถังมู่เฉินหัวเราะฟู่ออกมา
มั่วชิงเฉินยกตามองไป เขารีบว่า “ต้องพอแน่นอน”
พอเขาพูดเช่นนี้ เฉิงหรูยวนมุมปากกระตุกอีกแล้ว แอบคิดว่าหากญาติผู้น้องได้ยินคำพูดพวกนี้…
รีบสะบัดภาพเสิ่นฉงเหวินอาละวาดออกจากสมอง แล้วกอบหมัดว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนแล้ว”
เห็นเฉิงหรูยวนไปไกลแล้ว มั่วชิงเฉินนั่งลงช้าๆ ว่า “พี่ใหญ่ ตกลงเสิ่นฉงเหวินเป็นอะไรกันแน่น่ะ?”
ถังมู่เฉินเขยิบนั่งเข้ามาว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ แค่บาดเจ็บภายนอกจริงๆ”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
ที่นางห่วงที่สุดคือสิ่งนี้ อย่างไรเสียบัดนี้ทั้งสองคนก็อาศัยอยู่ในตระกูลเฉิง อนาคตยังต้องขอให้เฉิงหรูยวนช่วยยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย หากเกิดเรื่องบาดหมางกันจะได้ไม่คุ้มเสีย
“ไม่เกี่ยวกับข้า…” ถังมู่เฉินโบกพัด พูดต่อว่า “เจ้าเชื่อได้หรือ!”
มั่วชิงเฉินเกือบสำลัก ถลึงตาใส่ถังมู่เฉินปราดหนึ่งอย่างดุดัน
ถังมู่เฉินรีบเล่าเรื่องคร่าวๆ ด้วยตนเอง แน่นอนปิดบังตำแหน่งที่เสิ่นฉงเหวินได้รับบาดเจ็บ
มั่วชิงเฉินโล่งอก หากเป็นเช่นนี้กลับไม่มีอะไร เนื่องจากเสิ่นฉงเหวินแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทำหน้าดีๆ ใส่ตน นางจึงเลิกล้มความคิดที่จะไปเยี่ยม
จากนั้นทั้งสองคนก็คุยเล่นกันขึ้นมา ส่วนใหญ่คือฟังถังมู่เฉินเล่าเรื่องที่เจอในสองปีนี้อย่างหน้าระรื่น
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ได้รับยันต์ส่งสารของเฉิงหรูยวน พวกมั่วชิงเฉินสองคนจึงไปโถงบุปผา
เห็นเฉินหรูยวนและเสิ่นฉงเหวินรออยู่ที่นั่นแล้ว มั่วชิงเฉินเอ่ยว่า”สหายเต๋าเสิ่นหายดีแล้ว?”
พอพูดออกไป ก็รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศในโถงเย็นยะเยือกลง เสิ่นฉงเหวินหน้าดำแล้วแข็งใจพยักหน้า
แล้วก็ได้ยินถังมู่เฉินหัวเราะว่า “สหายเต๋าเฉิง ที่ข้าพูดเป็นเช่นไร อย่างไรก็ยาทาของน้องข้าใช้ดีสินะ?”
เสิ่นฉงเหวินในสมองดังโครม สีหน้ากลายเป็นดำอมแดง ในตาส่องแสงเย็นแปลบปลาบ “ท่านพี่ สหายเต๋าถังพูดเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร?”
เฉิงหรูยวนแทบอยากจะเอาหอกเปลวไฟเคาะถังมู่เฉินให้ตาย รีบส่งเสียงทางจิตว่า “ฉงเหวิน แม่นางมั่วไม่รู้เรื่อง…”
เสิ่นฉงเหวินกัดฟันแล้วกัดฟันอีก กลับไม่กล้ามองมั่วชิงเฉินอีกแม้แต่ปราดเดียว แล้วพุ่งออกไปก่อนเพื่อน
มั่วชิงเฉินรู้สึกแค่ว่างงไปหมด มองไปที่เฉิงหรูยวนและถังมู่เฉิน
เฉิงหรูหยวนเหงื่อตกว่า “แม่นางมั่ว ครั้งนี้ไปเฟิ่งหลินโจว ท่านผู้เฒ่าสามของตระกูลเฉิงข้าจะเดินทางไปด้วย เราไปที่โถงด้านหน้าเถอะ”
พบท่านผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงแล้ว มั่วชิงเฉินถึงพบว่าคือนักบำเพ็ญเพียรที่ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพรนท่านนั้นในบรรดานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านยามที่ไปเขตไร้จนวันนั้น หลังจากทักทายกันแล้ว ผู้เฒ่าสามนำขบวนของเฉิงหรูยวนไปเจอกับอีกหกตระกูลที่เหลือ ยังคงเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านในยามนั้นนำพาออกทะเล มุ่งหน้าไปเฟิ่งหลินโจว
มั่วชิงเฉินแอบเดาะลิ้น ผู้ได้รับเลือกเพียงแค่เจ็ดคน บวกพาญาติสนิทมิตรสหายไปช่วยเสริมบารมี และมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านไปด้วย เพียงพอที่จะเห็นความสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ที่มีต่อพวกเขาแล้ว
ชีวิตบนทะเลเงียบสงบ หลังจากแล่นอยู่หนึ่งปีเต็มๆ ก็ปรากฏแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง
“ถึงเฟิ่งหลินโจวแล้ว” เฉิงหรูยวนพึมพำว่า
เรือค่อยๆ เข้าฝั่ง นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านซ่อนเร้นตบะ ทุกคนลงเรือพร้อมกัน
เดิมทีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมากเพียงนี้รวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างไรก็สะดุดตาผิดปกติ ทว่าช่วงนี้มีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเป็นกลุ่มเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นบ่อยๆ นักบำเพ็ญเพียรที่ไปๆ มาๆ ก็เห็นจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว เพียงแต่กวาดมองสองสามที เดาเสียงเบาว่านี่เป็นนักบำเพ็ญเพียรที่ไหนมาเข้าร่วมการเลือกคู่อีก
มั่วชิงเฉินแปลกใจมากเช่นกันว่าเฟิ่งหลินโจวที่สตรีเป็นใหญ่ที่เล่าลือกันเป็นเช่นไร คอยสังเกตอยู่เงียบๆ พบว่าหญิงสาวพวกนั้นแต่งตัวไม่ต่างจากที่อื่นเท่าไร
ดูดีๆ อีกที นักบำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ที่นี่ที่ท่วงท่าสง่างามกลับมีมากกว่าหน่อย ส่วนใหญ่ล้วนแลกกระบี่ยาวไว้
ในยามนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย มองขึ้นไปก็เห็นหญิงสาวชุดเหลือคนหนึ่งเดินก้าวสวบๆ ตรงเข้ามา ชายหนุ่มข้างๆ คนหนึ่งไล่ตามไม่ห่าง กลับไม่กล้าเข้าใกล้ เพียงแต่ตะโกนว่า “แม่นางหวง ให้โอกาสข้าสักครั้งเถอะ”