พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 409
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 409 เกี้ยวชายงาม
หญิงสาวผู้นั้นคิ้วตรงดุจกระบี่ โฉมหน้างดงามคมคาย รู้สึกสง่างามกล้าแกร่งอย่างบอกไม่ถูก แววตากลับสงบผิดปกติ เดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ชายหนุ่มตามติดข้างหลัง ในที่สุดทนไม่ไหวยื่นมือไปดึงเสื้อของหญิงสาว ในยามที่มือเพิ่งแตะถูกแขนเสื้อของหญิงสาวนนั่นเอง หญิงสาวหันมาโดยพลัน ทุ่มชายหนุ่มผ่านหัวไหล่ไป จากนั้นตบมือ เดินหน้าไปอย่างหน้าไร้ความรู้สึกดังเดิม เห็นพวกมั่วชิงเฉินแล้วตาก็ไม่ยกขึ้น เดินผ่านไปไม่เหลียงแล
“สวรรค์ หญิงสาวที่เฟิ่งหลินโจวดุจริงๆ!” ถังมู่เถินบ่นพึมพำเบาๆ
ชายหนุ่มที่ถูกทุ่มออกไปบิดตัวกลางอากาศแล้วลงพื้นอย่างคล่องแคล่ว ไม่มองผู้คนเช่นเดียวกัน ไล่ตามไปอย่างรีบร้อน
“แม่นางหวง…”
มั่วชิงเฉินได้ยินเพียงเสียงกระบี่แหวกฟ้าออก จึงหันกลับมาอย่างอยากรู้อยากเห็น แล้วก็เห็นหญิงสาวชุดเหลือในมือถือกระบี่เล่มหนึ่ง ขวางอยู่หน้าชายหนุ่ม หลุดคำพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “อยากให้ข้าแต่งกับเจ้า ได้ ชนะกระบี่ในมือข้าแล้วค่อยว่ากัน!”
พูดจบหญิงสาวก็หันหลังเดินไป คนรอบๆ เบือนสายตากลับอย่างไม่แปลกใจ ควรทำอะไรก็ทำอะไร มีเพียงชายหนุ่มนั้นตะโกนไล่หลังนางว่า “หวงเจ๋อ เจ้ารอข้านะ ข้าฝึกหนึ่งปีแล้วยังจะมาหาเจ้าอีก!”
ผู้คนที่มาจากเซิงโจวตัวแข็งเป็นหินมองสิ่งที่เกิดขึ้น ยังคงเป็นผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงที่เอ่ยเสียงเย็นว่า “ตะลึงอะไรกันอยู่ ไปเถอะ”
ฉากคั่นเล็กๆ นี้ผ่านไป ทุกคนเร่งเดินทางต่ออีก ค่อยๆ เพ่งพิศทิวทัศน์รอบๆ
เฟิ่งหลินโจวต่างจากทวีปอื่น ไม่ได้ประกอบด้วยเกาะนับไม่ถ้วน หากแต่เป็นแผ่นดินผืนนี้แหละ ที่ล้อมด้วยทะเลทั้งสี่ด้าน แน่นอนแผ่นดินผืนนี้พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เทียบได้กับพื้นพี่ของเกาะนับไม่ถ้วนรวมกัน
ก็เพราะเหตุนี้ ถนนที่นี่กว้างขวางมาก คนเดินทางไปๆ มาๆ แน่นขนัด
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนำทุกคนมาถึงเรือนที่แยกออกมาของตระกูลซ่างกวานที่อยู่ในเมืองนี้ สั่งให้ทุกคนพักผ่อนหนึ่งวัน สามารถซื้อของบางส่วนที่นี่ได้ พรุ่งนี้เช้าตรู่ก็ออกเดินทางไปเมืองเฟิ่งหวงที่ตระกูลซ่างกวานตั้งอยู่
มั่วชิงเฉินถึงรู้ว่าที่นี่เป็นเพียงเมืองชายแดนเมืองหนึ่งเท่านั้น คิดจะไปเมืองเฟิ่งหวง ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
“น้องพี่ ออกไปเดินเล่นหรือไม่?” ถังมู่เฉินยิ้มพลางถามว่า
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “ยากนักที่จะได้มาที่นี่ ย่อมต้องออกไปดูอยู่แล้ว”
ทั้งสองคนออกไปด้วยกัน ตรงไปยังตลาด สำหรับนักบำเพ็ญเพียรแล้ว คิดจะทำความเข้าใจผลิตผลเฉพาะของที่ที่หนึ่ง ตลาดเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด
เดินเล่นในตลาดครู่หนึ่ง ซื้อของกระจุกกระจิกที่มีลักษณะเฉพาะบางอย่าง พวกมั่วชิงเฉินสองคนกำลังจะจากไป จู่ๆ ก็พบว่าด้านหน้าอึกทึกวุ่นวาย จึงสบตากันปราดหนึ่ง แล้วเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ
ยังไม่ทันได้ได้เข้าใกล้ ก็ได้ยินมีคนพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นว่า “คุณหนูใหญ่หวงจะแย่งสามีชาวบ้านอีกแล้ว”
“ใครโชคร้ายปานนั้นน่ะ?” คนที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เบากว่ากลับแฝงด้วยความตื่นเต้น
“ดูหน้าไม่คุ้นเลย น่าจะมาจากต่างถิ่น” อีกคนหนึ่งพูดแทรกอย่างตื่นเต้น
คนที่พูดคนแรกคนนั้นว่า “เช่นนี้เป็นไปได้อย่างมากว่าจะมาเข้าร่วมการประลองยุทธเลือกคู่ของตระกูลซ่างกวาน คุณหนูใหญ่หวงก็ไม่พรั่นพรึงสักหน่อยหรือ?”
อีกคนหนึ่งหัวเราะฟู่ว่า “พรั่นพรึงอะไร คุณหนูใหญ่หวงและคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่างกวานความสัมพันธ์ไม่เลว คุณหนูใหญ่ตระกูลซ่างกวานเคยพูดไว้ หากเป็นคนที่แม้แต่ตระกูลซ่างกวานก็เดินไปไม่ถึง ไม่เข้าร่วมก็ช่างเถอะ ใครอยากได้ก็เอาไป!”
“พี่ใหญ่ ทำอะไร?” มั่วชิงเฉินรีบลากถังมู่เฉินไว้
ถังมู่เฉินเอ่ยอย่างคึกคักว่า “ข้าจะเข้าไปดูหน่อยว่าสามีชาวบ้านที่ถูกแย่งหน้าตาเป็นอย่างไรน่ะสิ แย่งผู้ชาย เรื่องนี้ข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกเชียวนะ”
เขากำลังเบียดไปข้างหน้า เสียงที่คุยกันข้างในก็ทำให้เขาฝีเท้าหยุดกึก
“เจ้าปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเย็นยะเยือกแข็งกร้าว แฝงความรู้สึกเก็บกดยามพายุกำลังจะมา
มั่วชิงเฉินและถังมู่เฉินสบตากันปราดหนึ่ง คือเสียงของเสิ่นฉงเหวิน
เสียงของเฉิงหรูยวนดังขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “แม่นาง รบกวนปล่อยเราสองคนด้วย”
เสียงของเขาฟังแล้วยังนับว่าใจเย็น ทว่ามั่วชิงเฉินเห็นแผ่นหลังที่แข็งเกร็งจนตรงของเขาจากช่องว่างแล้ว
เสียงกังวานแข็งกร้าวเสียงหนึ่งดังขึ้น แฝงด้วยน้ำเสียงสูงส่งว่า “ปล่อยมือ น่าขัน? วันนี้ข้าถูกใจพวกเจ้าเข้าแล้ว อยากรับพวกเจ้าเป็นอนุนั่นคือให้เกียรติพวกเจ้า พวกเจ้าจะตามข้าไปแต่โดยดี หรือจะให้ลูกน้องข้าซัดให้สลบแล้วเอาตัวไป?”
เสิ่นฉงเหวินโกรธจนปอดระเบิด เส้นเอ็นที่ขมักปูดขึ้นมาว่า “ท่านพี่ พูดมากกับนางทำอะไร!”
พูดจบก็กระโดดตัวขึ้น สองมือขว้างมีดบินออกไปหลายเล่ม
ฟิ้วเสียงหนึ่ง คนที่มุงดูกระจายออกรอบนอก กลับไม่ได้แยกย้ายกันไป หากแต่ถอยไปถึงสถานที่ที่ไม่โดนลูกหลงแล้วดูอย่างตื่นเต้น มีคนที่ทำเกินไปกระทั่งยกม้านั่งออกมา
มั่วชิงเฉินสองคนไม่รู้ว่าคนที่นี่ใจตรงกันเช่นนี้ เพียงชั่วเวลาที่งงงวย ในลานนอกจากคนที่สู้กันอยู่ ก็เหลือพวกเขาสองคนที่ยืนเด่นอยู่แล้ว
มั่วชิงเฉินและถังมู่เฉินสบตากันอีกครั้ง
“น้องพี่ ลุยหรือไม่?” ถังมู่เฉินแอบส่งเสียงทางจิต
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าเมื่อครู่หลบอยู่ในฝูงชน ไม่ลุยก็ช่างเถอะ บัดนี้พวกเขาเป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว ไม่ช่วยจะเหมาะหรือ พลางด่าว่าซวยจริงพลางแข็งใจว่า “ลุย!”
ด้านนี้ถังมู่เฉินดึงพัดออกแล้วบุกขึ้นไป ปากยังไม่ลืมที่จะตะโกนว่า “พี่น้องทั้งสอง ข้ามาช่วยพวกเจ้าแล้ว!”
มั่วชิงเฉินโกรธจนกัดฟัน เจ้าหมอนี่จะต้องโอ้อวดให้ได้ใช่หรือไม่?
นางพลิกฝ่ามือธนูชิงอิ่นปรากฎ ยืนอยู่ที่เดิมกลั้นใจเพ่งสมาธิง้างธนู ปากเอ่ยเบาๆ ว่า “วิญญาณบุปผาจรัสแสง!”
เห็นเพียงบนสายธนู แสงวิญญาณค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นศรวิญญาณดอกหนึ่ง คลายนิ้วออก ศรวิญญาณก็พุ่งออกไป ท่ามกลางการพุ่งทะยานที่เร็วยิ่งกลายเป็นศรวิญญาณร้อยดอก ลากแสงวิญญาณยาวเฟื้อยยิงไปในฝูงชน
ลูกน้องของหญิงสาวมีประมาณเจ็ดแปดคน เป็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณทั้งสิ้น ศรวิญญาณนับร้อยดอกของมั่วชิงเฉินจู่โจมมากะทันหันแม้ไม่ถึงกับเอาชีวิต กลับพอที่จะให้พวกนางมือไม้พัลวันพักหนึ่ง
“หยุด!” หญิงสาวแผดเสียงตะโกน ลูกน้องสองสามคนกระโดดออกจากวงล้อมการต่อสู้พร้อมนาง
เฉิงหรูยวนและเสิ่นฉงเหวินเห็นดังนั้น รีบเข้ามาใกล้พวกมั่วชิงเฉินสองคน
หญิงสาวสายตาเป็นประกาย แล้วเดินสวบๆ มาถึงหน้ามั่วชิงเฉินทันที
“แม่นางจะทำอะไร?” เฉิงหรูยวนเข้ามาขวางหน้ามั่วชิงเฉินอย่างไม่ให้เห็นร่องรอย นี่คือปัญหาที่เขาและญาติผู้น้องก่อขึ้น ไม่มีเหตุผลให้คนอื่นมารับเคราะห์แทน
หญิงสาวเชิดคางสูง ไม่ได้ตอบคำถามของเฉิงหรูยวน กลับจ้องมั่วชิงเฉินแล้วพูดคำพูดที่ทำให้นางงงเป็นไก่ตาแตกออกมาว่า “เจ้าคือเจ้าภรรยาของพวกเขา?”
มั่วชิงเฉินสับสนวุ่นวาย “จะ…เจ้าภรรยา?”
ตาหญิงสาวฉายแววดูถูก กวาดมองพวกเฉิงหรูยวนสามคนว่า “ท่าทางงุ่มง่ามเช่นนี้ เพื่อนางแล้วพวกเจ้าก็ตายก็ไม่ยอมข้า?”
เสิ่นฉงเหวินโกรธจนจะกระอักเลือดอยู่แล้ว กำดาบคู่ในมือแน่นจะบุกขึ้นไป กลับถูกเฉิงหรูยวนลากไว้ไม่ยอมปล่อยวา “แม่นาง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว แม่นางท่านนี้และพวกเราเป็นสหาย…”
ยังพูดไม่จบก็เห็นหญิงสาวเลิกคิ้วหัวเราะว่า “ไม่ใช่เจ้าภรรยา? เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว พวกเจ้าลุย จับพวกเขาสองคน…ไม่ พวกเขาสามคน ฟาดให้สงบแล้วพากลับจวนเจ้าเมืองให้ข้าให้หมด”
“ยะ ยังมีข้าด้วย?” ถังมู่เฉินชี้ตนเอง จากนั้นหลบการจู่โจมรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วกอดแขนมั่วชิงเฉินไว้ว่า “อย่าแตะต้องข้า ข้ามีเจ้าภรรยา!”
มั่วชิงเฉินหน้าดำ เคยเห็นคนไร้ยางอาย ทว่าไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้!
หญิงสาวตะโกนอีกทีให้หยุด จ้องมั่วชิงเฉินอย่างหมดความอดทนว่า “จะพอได้หรือยัง ตกลงใช่หรือไม่ใช่?”
“ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไรอีก?” มั่วชิงเฉินสะบัดถังมู่เฉินออก แล้วถามอย่างสงบ
หญิงสาวหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งว่า “ไม่ใช่ ข้าก็จะฟาดพวกเขาสามคนให้สลบแล้วพาไป ใช่ ข้าก็ฟาดเจ้าให้สลบ แล้วค่อยพาพวกเขาไป ฮึ สู้กันอย่างยุติธรรม เจ้าก็อย่าโทษว่าข้าอาศัยคนมากรังแกเจ้าเลย!”
หากไม่เพราะตนอยู่ในเหตุการณ์ มั่วชิงเฉินเกือบตบมือชื่นชมแล้ว
นึกถึงปีนั้น วาดฝันว่าตนเป็นคุณหนูบ้านเจ้าของที่ดิน บ้านมีนาพันไร่ ทั้งวันไม่ร่ำเรียนไร้วิชา ว่างๆ ก็พาสาวใช้ฝูงหนึ่ง เกี้ยวพาราสีเด็กหนุ่มรูปงามตามถนน
ความปรารถนาสูงสุดของสาวน้อยไม่รู้เท่าไร ถูกนางทำให้เป็นจริงอย่างโจ๋งครึ่มแล้ว
“เป็นอะไร เจ้าไม่กล้า?” หญิงสาวหัวเราะอย่างดูแคลน
มั่วชิงเฉินก็หัวเราะแล้วเช่นกัน “หากข้าชนะแล้วเป็นเช่นไร?”
“อาศัยเจ้าน่ะนะ?” หญิงสาวเชิดคางสูงขึ้นอีก
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ถามอีกครั้งว่า “เจ้าไม่กล้ารับปาก?”
หญิงสาวคิ้วชี้ขึ้นว่า “เจ้าอย่ามายุข้า หากเจ้าชนะแล้ว ผู้ชายสามคนนี้แน่นอนแม้แต่แตะก็จะไม่แตะ กฎของเฟิ่งหลินโจว ข้าในฐานะคุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้าเมืองอย่างไรก็ต้องรักษา!”
“เช่นนั้นมาเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
“แม่นางมั่ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วยได้อย่างไร?” เฉิงหรูยวนส่งเสียงทางจิต
มั่วชิงเฉินจำใจ “สหายเต๋าเฉิง เจ้าดูให้ดี หากข้าปฏิเสธ นางยังคงจะสู้กับพวกเจ้า ถึงเวลาข้าก็ต้องร่วมสู้ด้วยอยู่ดี ยังไม่สู้ดวลตัวต่อตัวเช่นนี้ยกหนึ่ง หลีกเลี่ยงความยุ่งยากได้มากมาย”
ผ่านไปเนิ่นนาน เฉิงหรูยวนถึงส่งเสียงทางจิตมาว่า “หากแม่นางมั่วพลาดพลั้งล่ะ?”
มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “เช่นนั้นถึงเวลาสหายเต๋าเฉิงก็ค่อยช่วยเหลือตนเองน่ะสิ”
“พวกเจ้าถอยไปข้างๆ” หญิงสาวโบกมือ ลูกน้องพวกนั้นก็ถอยไปข้างหลัง
ในสนามจึงเหลือเพียงมั่วชิงเฉินและหญิงสาวสองคน
“ระวัง!” หญิงสาวตะโกนพลาง สะบัดเงาดำสายหนึ่งออกมา
มั่วชิงเฉินเห็นชัดแล้วว่าเป็นแส้ยาวเส้นหนึ่ง ใช้คาถาวารีตามรูป ร่างกายบิดด้วยมุมอันประหลาด หลบแส้ไปอย่างหวุดหวิด
ลมหนาวที่เกิดจากแส้พัดชุดเขียวของนางจนดังพรึบๆ หากไม่เพราะมีปราณวิญญาณคุ้มกาย เกรงว่าคงขาดจนดูไม่ได้นานแล้ว
มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้พฤติกรรมแสบสัน กลับไม่ใช่คนไม่เอาไหน พอลงมือปุ๊บก็รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดา
ตามหลักแล้วนักบำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งหากเสพสมกับผู้ชายมากเกินไป ปราณหยางในกายปนกันวุ่นวาย กำลังวังชาต้องเสียหายเป็นแน่ ทว่าหญิงสาวผู้นี้พลังวิญญาณทั่วตัวฮึกเหิมเหมาะสม อานุภาพเต็มเปี่ยม ดูท่าทางวิชายุทธของเฟิ่งหลินโจวนี่ คงต่างจากดินแดนเทียนหยวนแน่นอน
แส้ในมือหญิงสาวรำอย่างน่าเกรงขามดุจพยัคฆ์ เงาแส้มืดฟ้ามัวดินคลุมนางไว้ภายใน เกิดสะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนเสียงดังเปรี๊ยะๆ เข้าไปใกล้มั่วชิงเฉินดุจงูวิญญาณ
มั่วชิงเฉินใช้คาถาวารีตามรูปจนถึงขีดสุด หลบแส้ยาวได้อย่างพอดิบพอดีทุกครั้งไป กริชฟันปลาในมือหมุนดังวายุ กวาดลงบนแส้ยาว
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น แส้ยาวนั่นก็ไม่รู้ทำจากวัสดุอะไร คิดไม่ถึงว่ากริชฟันปลาที่คมกริบไร้เทียมทานยังทำอะไรมันไม่ได้
ภายใต้สายตามากมาย มั่วชิงเฉินไม่ยอมเปิดเผยกระบวนท่ามากเกินไป เพียงแต่โบกกริชฟันปลาเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลางหลบแส้ยาว พลางเข้าใกล้อย่างไม่ให้เห็นร่องรอย
นางมีมุกรวมวิญญาณอยู่ในมือ ไม่ต้องกลุ้มว่าพลังวิญญาณไม่พอ ขณะเดียวกันกริชฟันปลาก็มีฤทธิ์เดชในการดูดพลังวิญญาณของอีกฝ่าย ถึงสุดท้ายยิ่งสู้ยิ่งฮึกเหิม เร็วจนเหลือเพียงเงาแล้ว หญิงสาวก็เริ่มเสียจังหวะ ถูกบีบจนถอยหลังติดๆ กัน
คนมุงดูมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นถิ่นคนอื่นอีก การต่อสู้เช่นนี้ย่อมต้องตัดความยุ่งยากด้วยความเฉียบขาดฉับไว มั่วชิงเฉินแอบเคลื่อนม่านแสงอาทิตย์จันทราของกริชฟันปลา ลำแสงแสบตาสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังตาหญิงสาว
ในขณะที่หญิงสาวกะพริบตาความเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงเพียงเล็กน้อยนั่นเอง มั่วชิงเฉินมือหนึ่งถือกริชจู่โจมตรงไปยังข้อมือหญิงสาว แส้ยาวหลุดออกจากมือ กริชอีกเล่มหนึ่งขวางอยู่ที่คอหญิงสาว “สหายเต๋า เจ้าแพ้แล้ว!”