พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 412
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 412 พบกันอีกครั้งเช่นนี้
“หากไม่เพราะ หากไม่เพราะท่านผู้เฒ่าเฟยเยี่ยนลงมือ…” ใบหน้าที่เดิมน่ารักไร้เดียงสาของหญิงบิดเบี้ยแผ่วเบา แล้วกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่ยอม จู่ๆ กลับตาเป็นประกายเหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก ขยับมือปรากฏแมวน้อยขนาดตัวเท่าฝ่ามือสีขาวดุจหิมะทั้งตัวขึ้น
แมวน้อยนั่นร้องแผ่วๆ สองที ก็กระโดดลงจากฝ่ามือหญิงสาว ย่างเท้าอันเบาโหวง วิ่งไปในทิศทางที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งหายไปเร็วดุจสายฟ้า
หญิงสาวนั้นยิ้มๆ ถึงจากไปไกลอย่างเอื่อยเฉื่อย
มั่วชิงเฉินกลับชะงักงันนานแล้ว ในใจคลื่นลมถาโถม ร่างหยางบริสุทธิ์ จะใช่ศิษย์พี่หรือไม่?
ร่างหยางบริสุทธิ์และร่างอินบริสุทธิ์ สภาพร่างกายที่หายากพวกนี้พันปีจะมีสักคน นางไม่เชื่อจริงๆ ว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้
ในเมื่อนางและถังมู่เฉินวกไปวนมาในเขาวงกตถ้ำต้นไม้นั่น ก้าวข้ามมาไกลหมื่นพันลี้มาถึงสิบทวีปตะวันออกอย่างประหลาด ไม่แน่ศิษย์พี่ลั่วหยางก็มาแล้วเช่นกัน เพียงแต่คลาดกันเท่านั้น…
นึกถึงตรงนี้ก็ไม่ลังเลอีก รีบใช้จิตเรียกอีกาไฟว่า “อู๋เย่ว์”
“เจ้านาย เป็นอะไร คนเขายังไม่สร่างเมาเลยนะ” เสียงขี้เกียจของอีกาไฟลอยมา จากในถุงอสูรวิญญาณ
เจ้านี่เมื่อวานกอดขวดน้ำเต้าสุราดื่มจนเมา นอนสลบไสลไปครึ่งวันแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาพูดไร้สาระกับมัน เอ่ยเสียงรีบร้อนว่า “เจ้ารีบพลางตัว ตามแมวตัวนั้นไป ดูว่ามันไปที่ไหน”
“ตามแมวตัวหนึ่งทำอะไร?” อีกาไฟใช้ปีกขยี้ตา ยังงัวเงียอยู่
“อาจมีร่องรอยของศิษย์พี่ลั่วหยาง!”
อีกาไฟสร่างเมาทันที กรีดร้องเสียงหนึ่งว่า “แว้ด นักพรตลั่วหยาง? ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
พูดจบพุ่งออกจากถุงอสูรวิญญาณ ไม่เห็นเงาแล้ว
มั่วชิงเฉินกะพริบตา เจ้าหมอนี่ ไม่คิดว่าจะสำแดงคาถาพลางตัวครั้งเดียวก็สำเร็จแล้ว แต่ก่อนมันแกล้งเล่นสินะ?
เพราะในชั่วพริบตาที่พุ่งออกจากถุงอสูรวิญญาณอีกาไฟก็พลางตัวแล้ว ดังนั้นจากที่ถังมู่เฉินดูแล้ว ก็คือตั้งแต่ที่หญิงสาวสองคนนั้นปรากฏตัวมั่วชิงเฉินก็เหม่อลอยตลอดจนถึงบัดนี้
“น้องพี่ เจ้าเป็นอะไ?” เนื่องจากมีคนเคยเข้ามาก่อน ถังมู่เฉินก็รอบคอบขึ้นมา ใช้จิตตระหนักส่งเสียงทางจิตเงียบๆ
มั่วชิงเฉินไม่กล้ายืนยันคนที่หญิงสาวสองคนพูดถึงคือเยี่ยเทียนหยวนหรือไม่ จึงส่ายหน้าว่า “ไม่มีอะไร พี่ใหญ่ เรากลับกันเถอะ อยู่ที่นี่ ถูกผู้อื่นเห็นเข้าก็ไม่ดี จะนึกว่าเราคิดไม่ซื่อได้นะ”
“เอ่อ ก็ดี” ถังมู่เฉินผงกศีรษะ เอ่ยอีกว่า “น้องพี่ เจ้าว่า… ร่างหยางบริสุทธิ์มันเรื่องอะไรกัน?”
มั่วชิงเฉินฝีเท้าหยุดกึก ฝืนเอ่ยว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร พี่ใหญ่ เรารีบไปเถอะ”
พูดพลางยืดตัวตรงเดินออกไป เร็วดุจบินได้
แยกกับถังมู่เฉินเข้าห้อง มั่วชิงเฉินเอียงตัวพิงอยู่บนเตียง ในใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
รออยู่นานอีกาไฟก็ไม่กลับมา จึงลุกขึ้นเดินไปมาสองก้าว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ กรอกสุราอึกหนึ่ง พึมพำว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง หรือว่าจะเป็นท่านจริงๆ ไยท่านถึงตกไปอยู่ในมือตระกูลซ่างกวาน ตกลงบัดนี้เป็นเช่นไรแล้ว…”
นางไม่กล้าคิดลึก ได้แต่คาดหวังให้อีกาไฟกลับมาเร็วหน่อย
เวลาผ่านไปอีกชั่วจิบน้ำชาหนึ่งถ้วย มั่วชิงเฉินลุกขึ้นโดยพลันแล้วผลักหน้าต่างออก กลิ่นอายสายหนึ่งไหลผ่าน บนพื้นปรากฏของดําปิ๊ดปี๋สิ่งหนึ่ง
“อู๋เย่ว์ เจ้าเป็นอะไรไป?” มั่วชิงเฉินตกใจเห็นอีกาไฟร่วงลงพื้น ปีกสั่นเทา อีกทั้งยังมีขนสองสามเส้นปลิวว่อน
อีกาไฟใช้ปีกยันตัวลุกขึ้นยืน ถุยเสียบหนึ่งว่า “ท่านย่าเอ๊ย ซวยจริงๆ คาถาพลางตัวหมดฤทธิ์ ถูกแมวบ้าตัวนั้นพบเข้า ข่วนข้าไปทีหนึ่ง”
มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “แมวตัวนั้นยังเป็นแค่ลูกแมวกระมัง เจ้าสู้มันไม่ได้?”
อีกาไฟน้อยใจอย่างผิดปกติว่า “ข้ารู้ที่ไหนว่าคาถาพลางตัวของตนหมดฤทธิ์ล่ะ ยังฟังอย่างมีรสมีชาติอยู่ตรงนั้นเลย ก็ถูกเจ้าแมวบ้านั่นพบเสียแล้ว”
“เช่นนั้นตกลงเจ้าเห็นอะไรกันแน่?”
ฟังถึงตรงนี้อีกาไฟตื่นเต้นขึ้นมาว่า “หมดกัน หมดกัน” ก็ไม่ทันได้สนใจขนที่ร่วงของตนแล้ว วิ่งวนไปวนมา
“อู๋เย่ว์ ตกลงเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าอย่ารีบร้อน ค่อยๆ พูด” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างใจเย็น ต่อให้ร้อนใจเพียงใด ก็ไม่ขาดเวลาในการพูดเพียงเท่านี้
“พูดช้าๆ บ้าน่ะสิ เจ้านาย ขืนเจ้าไม่ไปอีก นักพรตลั่วหยางก็จะรักษาความบริสุทธิ์ไว้ไม่อยู่แล้วนะ!” อีกาไฟเหลือกตาว่า
มั่วชิงเฉินกำหมัดแน่นว่า “อะไรนะ?”
อีกาไฟใช้ปีกดันนางว่า “รีบไปรีบไป ข้าเห็นนักพรตลั่วหยางถูกเชือกมัดมือมัดเท้าไว้ ผู้หญิงคนนั้นยังป้อนให้เขากินโอสถเม็ดหนึ่ง นางยังบอกว่านั่นเรียกว่า ‘โอสถเสน่หา’ ต่อให้เขาปากแข็งเพียงใด ถึงเวลาก็ต้องกลายเป็นทาสใต้ชายกระโปรงนางอยู่ดีนะ!”
มั่วชิงเฉินจับอีกาไฟไว้ทันทีว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าพาข้าพลางตัวไปที่นั่น!”
“ได้” อีกาไฟผงกหัวติดๆ กัน โคจรปราณปีศาจในกายค่อยๆ สำแดงคาถาพลางตัว โชคดีที่สำเร็จในครั้งเดียว
ยังเป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความอัศจรรย์ของทักษะความสามารถของอีกาไฟ คาถาพลางตัวของมันไม่เหมือนผลการพลางตัวที่เกิดจากนักบำเพ็ญเพียรใช้ยันต์ล่องหนหรือเกิดจากการใช้สมบัติวิเศษค่ายกล วิธีการพลางตัวเช่นนั้น ปกติมักเปิดเผยได้อย่างง่ายดายตามความปั่นป่วนของกลิ่นอาย ส่วนคาถาพลางตัวของอีกาไฟ กลับเหมือนหลอมตนเองเข้าเป็นร่างเดียวกับฟ้าดิน ต่อให้ยามนี้โคจรพลังวิญญาณแล้ววิ่งทะยาน ความปั่นปั่นพวกนั้นก็เพียงแค่ซ่อนอยู่บนชั้นผิวหนัง ไม่กระจายออก
จิตใจเชื่อมต่อกับมั่วชิงเฉิน อีกาไฟเอ่ยอย่างได้ใจว่า “คาถาพลางตัวของข้านี่ยกเว้นหมดฤทธิ์ไปเอง มิเช่นนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีทางหาพบ”
“เช่นนั้นคาถาพลางตัวของเจ้าสามารถอยู่ได้นานเพียงใดหรือ?” มั่วชิงเฉินใส่ใจปัญหานี้มาก
อีกาไฟเอ่ยอย่างมีเหตุผลเต็มประดาว่า “ข้ารู้ที่ไหนล่ะ ตามสถานการณ์น่ะสิ”
ตามสถานการณ์…
มั่วชิงเฉินกัดฟัน แล้วเร่งความเร็ว
“เจ้านาย อยู่ข้างในนั่นแหละ เห็นรูนั้นหรือไม่ แมวบ้าตัวนั้นทำออกมา เดิมทีมันก็แอบดูอยู่ สุดท้ายถูกพบเข้า ถึงกัดข้าทีหนึ่งคิดจะใส่ร้ายข้า ตนเองวิ่งหนีไปแล้ว ฮึ ดีที่ข้าฉลาด ไม่เพียงหันหลังหนี ยังเลียนเสียงแมวร้องไปสองที…”
มั่วชิงเฉินไม่มีกะจิตกะใจฟังคำพูดได้ใจของอีกาไฟ ใจไปอยู่ในห้องที่ไม่สะดุดตาห้องนั้นทั้งดวงแล้ว
มีเสียงดังมาจากข้างในรางๆ ว่า “ข้าโตถึงเพียงนี้ กลับเป็นครั้งแรกที่พบผู้ชายตายด้านเช่นเจ้า!”
เสียงนี่ ดูเหมือนทั้งรักทั้งแค้นทั้งจำใจ จากนั้นน้ำเสียงเปลี่ยน เอ่ยอย่างดุดันว่า “ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้ากิน ‘โอสถเสน่หา’ แล้วยังจะทนได้อีกนานเพียงไหน! จะฝืนทนไปไยนะ หรือว่าอยู่กับข้าข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี? หากเจ้าไม่เต็มใจเป็นอนุสามี ข้าให้เจ้าเป็นสามีดีหรือไม่?”
ผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวเอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้า เจ้าคงไม่ได้เป็นใบ้หรอกนะ? ดี ต่อให้เป็นใบ้ข้าก็เอาเจ้า”
จากนั้นเสียงนิ่มนวลขึ้นมา แฝงด้วยความสงสารอย่างบอกไม่ถูกว่า “ไยเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วยนะ พิษเสน่หากำเริบนานเพียงนี้แล้ว เจ้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วมิใช่หรือ?”
สิ่งที่ตอบนาง ยังคงเป็นความเงียบงัน
เล็บของมั่วชิงเฉินจิกเข้าฝ่ามือ กัดริมฝีปากจนซีด นางมองผ่านจิตตระหนักแล้ว หญิงสาวที่อยู่ในห้องก็คือหญิงสาวสวยสดที่เจอที่สวนดอกไม้เมื่อครู่นั่นเอง ส่วนชายหนุ่มที่เอนพิงอยู่ที่เสาเตียงก็คือเยี่ยเทียนหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย!
เพียงแต่ยามนี้เยี่ยเทียนหยวนถูกเชือกมัดวิญญาณมัดมือเท้าไว้ ปากจมูกตาล้วนมีโลหิตไหลออกมา สายตาที่มองมาที่หญิงสาว กลับเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งเหมันต์ ราวกับปล่อยให้โลหิตไหลจนเหือดแห้งก็ไม่ใส่ใจ
“อู๋เย่ว์ นี่คือโอสถลอกใบหน้า สามารถทำให้เจ้าแปลงเป็นมนุษย์ช่วงสั้นๆ เจ้าก็แปลงเป็นหญิงสาวคนนี้ ล่อหญิงสาวข้างในไป” มั่วชิงเฉินหยิบโอสถสีชมพูออกมาเม็ดหนึ่ง
อีกาไฟและมั่วชิงเฉินจิตใจสื่อถึงกัน หน้าตาของหญิงสาวโฉมหน้าน่ารักซื่อๆ คนนั้นลอยขึ้นในสมองนาง มันจึงรับรู้ได้ทันที
อ้าปากกลืนโอสถลอกใบหน้าเข้าไป อีกาไฟกางปีกออกลำแสงแวบขึ้น แปลงเป็นหญิงสาวชุดชมพูคนหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงของมันนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนของปราณวิญญาณ หญิงสาวข้างในตะโกนอย่างระแวงว่า “ใคร!”
พูดพลางพุ่งออกมา เห็นเพียงเงาหลังสีชมพูเงาหนึ่งแวบหายไปที่ประตูจันทรา
หญิงชุดดำที่พุ่งออกมาก้าวเท้าไล่ตามไป ทว่าเพียงชั่วครู่ก็วกกลับมาแล้ว กลับพบว่าประตูห้องเปิดอ้าอยู่ เมื่อบุกเข้าไปดู ข้างในยังมีเงาของชายหนุ่มที่ไหน
กร๊อบเสียงหนึ่ง หญิงชุดดำบีบประตูห้องแตกออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วกัดฟันว่า “ซ่างกวานอู๋โยว เจ้าบังอาจแย่งของของข้า ข้าไม่ละเว้นเจ้าแล้ว!”
พูดจบก็พุ่งออกไปโดยไม่หันกลับมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินถึงมุดออกจากใต้เตียง อุ้มเยี่ยเทียนหยวนที่ถูกนางใช้กำลังผนึกพลังวิญญาณไว้วิ่งทะยานไป
เข้าห้องแล้วกำลังจะปลดผนึกให้เยี่ยเทียนหนวน กลับได้ยินเยี่ยเทียนหยวนว่า “อย่า!”
เขาพูดเช่นนี้ไปพลาง โลหิตที่มุมปากไหลออกมาไม่หยุด ผิวหนังที่เปลือยเปล่าอยู่นอกเสื้อผ้ากลายเป็นสีแดงสด ราวกับโลหิตในร่างพร้อมจะพุ่งออกมาได้ทุกเมื่อ
นี่คือ… มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง ท่าทางเขาเช่นนี้ขืนลากต่อไปมีเพียงจุดจบเดียว นั่นก็คือร่างระเบิดจนตาย!
สถานการณ์เช่นนี้ นางยิ่งไม่กล้าผนึกพลังวิญญาณของเขานานเกินไป เช่นนั้นมีแต่จะทำให้แย่ลงเร็วขึ้น
นางปลดผนึกออกอย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็ถูกผลักจนเซถอยไปข้างหลัง
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง!” มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดลงเล็กน้อย ท่าทางของเยี่ยเทียนหยวน ดูแล้วน่าสยดสยอง นางถึงกับรู้สึกพรั่นพรึง กลัวว่าในชั่วอึดใจต่อมา เขาก็จะโลหิตทะลักล้มลง
“ศิษย์น้อง ไม่คิดว่าจะยังได้พบเจ้า…ไม่คิดว่า จะพบเจ้าในสภาพนี้…” ลั่วหยางเช็ดโลหิตที่หลั่งออกจากมุมปากและจมูก ในตาแฝงแววยิ้ม
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ชิงเฉินรักษาให้ท่าน” มั่วชิงเฉินใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว เอาโอสถที่ถอนพิษได้ออกมาจนหมด แล้วก็จะเดินเข้าไปให้เยี่ยเทียนหยวนกิน
“พวกนั้นล้วนไร้ประโยชน์ เจ้าอย่าเข้ามา มิเช่นนั้นข้าจะตัดเส้นเลือดหัวใจตนทันที…” เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ หลุดแต่ละคำออกมาอย่างลำบากยิ่งนัก
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านบ้าไปแล้วหรือ บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณต้องลำบากถึงเพียงไหน จะยอมแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?” เห็นผิวหนังของเขาแดงขึ้นเรื่อยๆ มือมั่วชิงเฉินสั่นไม่หยุด
เยี่ยเทียนหยวนจับเสาเตียงไว้แน่น ร่างกายส่ายไปมา
มั่วชิงเฉินใช้เคลื่อนเงาเลือนราง มาถึงข้างเยี่ยเทียนหยวนในพริบตา แล้วจับข้อมือของเขาขึ้น ถ่ายเพลิงแก้วใจกระจ่างเข้าไป
ทุกครั้งที่ไฟจริงของเขาและไฟจริงของตนพบกันก็จะเกิดเรื่องประหลาดขึ้น กระทั่งยังสามารถทำให้อาการบาดเจ็บหายดีเร็วขึ้น บางที เพลิงแก้วใจกระจ่างอาจสามารถกดพิษเสน่หาในร่างกายเขาก็ได้
ไม่นานนักมั่วชิงเฉินก็พบว่าตนคาดผิด ในพริบตาที่เพลิงแก้วใจกระจ่างเข้าสู่ร่างเยี่ยเทียนหยวน เขาก็แทบสูญสิ้นสติสัมปชัญญะทันที สองมือกอดนางไว้แน่น แน่นจนหายใจไม่ออก
ท้องน้อยถูกของแข็งปั๋งสิ่งหนึ่งยันไว้ มั่วชิงเฉินหน้าแดงเหมือนโลหิตทันที มีชีวิตอยู่ในโลกเช่นนั้นมาชาติหนึ่ง ไม่เคยกินเนื้อหมูยังไม่เคยเห็นหมูวิ่งหรืออย่างไร นางย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่านั่นคือสิ่งใด