พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 418
มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจเล็กน้อย สยงสี่คนนั้นกำลังวังชาจะดีเกินไปแล้วกระมัง พลิกไปพลิกมาครึ่งค่อนวันยังไม่สิ้นสุดอีก
ในคืนเช่นนี้ หนึ่งชายหนึ่งหญิงหลบอยู่ในพุ่มดอกไม้ อิงแอบแนบชิด ชื่นชมละครที่น่าสนุกเช่นนี้ หากบอกว่าไม่มีความคิดเสน่หาแม้แต่น้อย เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถเข้าสู่ประตูธรรมได้แล้ว
มั่วชิงเฉินสูดลมเบาๆ พยายามแสดงว่าใจเย็นเพิกเฉยอย่างสุดความสามารถ
เห็นเยี่ยเทียนหยวนดูอย่างตั้งใจ แล้วอดหยิกเขาสักทีไม่ได้
ตาทึ่มนี่ ตกลงเขาทำอะไรอยู่กันแน่?
นึกถึงเรื่องอับอายในวันนั้น มั่วชิงเฉินอึ้งเสียแล้ว
ศิษย์พี่ลั่วหยาง เขา เขาคงไม่ได้เรียนรู้อยู่กระมัง?
สวรรค์!
หากไม่เพราะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ มั่วชิงเฉินแทบอยากกุมขมับถอนใจยาวๆ ไม่เข้าใจก็เรียนรู้เป็นเรื่องดี แต่เรียนรู้ด้วยผิดคนแล้วนี่สิ!
เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าประหลาด เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
มั่วชิงเฉินคิดคำพูดอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่ เอ่อ ผู้ชายกับผู้ชาย…นั้นไม่ถูกต้อง…”
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ศิษย์น้องวางใจได้ ข้าไม่ชอบผู้ชาย” พูดถึงตรงนี้ก็รีบร้อนเติมอีกประโยคว่า “ข้าก็ไม่ชอบผู้หญิงอื่นเช่นกัน…”
สายตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินราวกับน้ำพุใส ใสกระจ่างถึงที่สุด ปิดบังความรักและความร้อนแรงใต้ตาไม่มิด
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
“เช่นนั้นศิษย์น้องหมายความว่าเช่นไร?” เยี่ยเทียนหยวนสีหน้างงงัน
แสงจันทร์กระจ่างที่อยู่ทุกหนทุกแห่งสาดลงบนใบหน้าที่เหมือนรูปสลักหยกของเขา เพิ่มความละมุนให้โครงหน้าที่เยือกเย็นแข็งกร้าวเสมอมาของเขา
“ข้าหมายถึง ที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ในยามนี้ไม่ถูก…” มั่วชิงเฉินพูดจนหน้าแดงหูแดงไปหมด
เห็นเยี่ยเทียนหยวนท่าทางยังไม่เข้าใจ แล้วแทบอยากแหงนหน้าถอนใจยาวๆ ช่างเถอะ นี่นางจะกังวลไปไย อยากทำเช่นไรก็ทำเถอะ
ในยามนี้เอง เสียงคำรามที่เก็บกดไว้ไม่อยู่ดังขึ้น มั่วชิงเฉินคิดในใจว่าในที่สุดก็เสร็จเรื่องเสียที
“ซีเหนียน เจ้าอย่าโกรธอีกเลย” เสียงของสยงสี่ดังขึ้น
มู่ซีเหนียนใส่เสื้อผ้าอย่างเงียบๆ เสร็จแล้วลุกขึ้นยืน เสียงทั้งเย็นชาทั้งแหบพล่าว่า “ข้าไม่ได้โกรธ รอเจ้ากลายเป็นหนึ่งในอนุสามีของคุณหนูตระกูลซ่างกวาน ซีเหนียนก็ถึงเวลาจากไปแล้ว”
สยงสี่จับไหล่ของมู่ซีเหนียนอย่างแรง ราวกับจะบีบกระดูกเขาให้แหลก มู่ซีเหนียนกลับกัดปากไว้ ไม่ร้องสักแอะ
ผ่านไปเนิ่นนาน สยงสี่ค่อยๆ ปล่อยมือ แล้วถอนใจว่า “ซีเหนียน ตกลงต้องทำเช่นไรเจ้าถึงยอมอยู่ข้างกายข้าต่อ?”
มู่ซีเหนียนเช็ดรอยเลือดบนริมฝีปากทิ้งไปเบาๆ ยิ้มอย่างส่อเสียดว่า “คุณชายสยงชายหญิงกินเรียบนะ!”
สยงสี่หน้าอกกระเพื่อม เห็นชัดว่าโกรธไม่เบา กัดฟันว่า “มู่ซีเหนียน ไยเจ้าต้องจี้ใจดำข้าด้วย ปีนั้นออกจากบ้านหากไม่เพราะพบเจ้าเข้า เกรงว่าข้าจะไม่มีแม้แต่สุสาน”
พูดถึงเรื่องในอดีต มู่ซีเหนียนดูเหมือนเหม่อลอยเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ปีนั้นคุณชายสยงสี่ยินยอมละทิ้งการฟูมฟักจากตระกูลหนีออกจากบ้านเพื่อสิ่งที่ไล่ตามในใจ วันนี้ไยตกต่ำถึงขั้นยอมรับใช้ภรรยาคนเดียวกันร่วมกับชายอื่น?”
บรรยากาศนิ่งเงียบจนเก็บกดเล็กน้อย นานจนมั่วชิงเฉินด่ามารดาอยู่ในใจแล้ว สยงสี่ถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ ตระกูลซ่างกวานกุมกุญแจลับแห่งแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์ หากข้าไม่เข้าร่วม ก็เท่ากับละทิ้งโอกาสเข้าแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร แดนเสวียนเทียนประดิษฐ์อันนั้นตกลงมีอะไรกันแน่ ถึงคุ้มค่าให้เจ้าทำเช่นนี้?” มู่ซีเหนียนดูเหมือนรังเกียจแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์ยิ่งนัก ในเสียงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
แล้วมั่วชิงเฉินก็รู้สึกได้ว่ามีจิตตระหนักยื่นมาทางนี้ ไม่พบสิ่งผิดสังเกตใดๆ จึงยื่นไปทางอื่นอีก จนกระทั่งยืนยันว่าไม่มีปัญหา สยงสี่ถึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เดิมทีข้าไม่แยแสจะเข้าร่วมการแย่งชิงเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังเป็น ยังเป็นการเข้าตระกูลซ่างกวานที่สตรีเป็นใหญ่ หัวหน้าตระกูลจนใจจริงๆ ถึงได้เปิดเผยความลับเรื่องหนึ่ง…”
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วตั้งใจฟัง
สยงสี่เปลี่ยนเป็นส่งเสียงทางจิตว่า “แดนเสวียนเทียนประดิษฐ์ อาจเกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ”
มั่วชิงเฉินในใจคลื่นลมถาโถม
หลายปีก่อนพบปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่ทะเลขนาบใจ มันบอกว่านักบำเพ็ญเพียรหลังจากเข้าสู่ระดับแยกวิญญาณก็สามารถเข้าโลกวิญญาณมิใช่หรือ?
ยามนั้น ที่ดินแดนเทียนหยวนยอมรับอย่างเป็นทางการ กลับคือนักบำเพ็ญเพียรต้องผ่านระดับแยกวิญญาณ ระดับผสานร่าง ระดับพิชิตเคราะห์กรรม ระดับมหายาน จากนั้นบินสู่โลกเซียน
จนถึงยามที่วิกฤตอสูรปะทุถูกบีบให้ออกจากดินแดนเทียนหยวน ในสิ่งที่รับรู้อย่างเป็นทางการ ไม่ได้พูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณเลย
มั่วชิงเฉินเชื่อว่า ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรคนที่รู้ถึงการมีอยู่ของโลกวิญญาณ ต้องน้อยยิ่งกว่าน้อยแน่
เช่นนั้น อะไรทำให้สยงสี่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งก็รู้ถึงการมีอยู่ของโลกวิญญาณ?
มู่ซีเหนียนได้ยินคำว่า ‘โลกวิญญาณ’ ชะงักครู่หนึ่งเช่นกัน จากนั้นถามว่า “โลกวิญญาณอะไร?”
สยงสี่อธิบายว่า “ซีเหนียน นับหมื่นปีแล้ว ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่เคยได้ยินว่ามีนักบำเพ็ญเพียรบินขึ้นสวรรค์เป็นเซียน จึงนึกว่าเพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ปราณวิญญาณขาดแคลน ทวีปแห่งเทพทางเซียนขาดแล้ว ที่จริง เราล้วนผิดแล้ว ไม่ใช่ไม่มีนักบำเพ็ญเพียรบินขึ้นเป็นเซียน หากแต่เพราะยามที่พวกเขาบำเพ็ญเพียรถึงระดับแยกวิญญาณ ก็จะเข้าสู่โลกใหม่โลกหนึ่ง สภาพแวดล้อมที่นั่นยิ่งเหมาะสมต่อการบำเพ็ญเพียร ก็เหมือนทวีปแห่งเทพสมัยบรรพกาล ที่นั่น จึงถูกเรียกว่าโลกวิญญาณ”
มู่ซีเหนียนตกตะลึงอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ พักใหญ่ๆ ถึงเอ่ยว่า “ดังนั้นว่า โลกวิญญาณก็เปรียบเหมือนการข้ามฟากระหว่างโลกมนุษย์และโลกเซียน?”
สยงสี่พยักหน้าว่า “ถูกต้อง เดิมทีหัวหน้าตระกูลของแต่ละตระกูลใหญ่นักบำเพ็ญเพียรของหลายทวีปล้วนไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ตระกูลซ่างกวานกลับได้รับเทพพยากรณ์”
“เทพพยากรณ์?” มู่ซีเหนียนบ่นพึมพำ จากนั้นตาโตขึ้นในทันใด
มั่วชิงเฉินใจสั่น เทพพยากรณ์ นางก็เคยเห็น จากม้วนคัมภีร์หยกที่บันทึกเรื่องในอดีต
อันว่าเทพพยากรณ์ ก็คือนักบำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นโลกเซียน ไม่รู้ผ่านช่องทางอะไรแหวกห้วงมิติส่งข้อมูลหรือสมบัติวิเศษบางอย่างมาถึงมือนักบำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับตน
ว่ากันตามปกติแล้ว ผู้ที่มีสำนักจะส่งเทพพยากรณ์มาที่สำนัก ผู้ที่มาจากตระกูลนักบำเพ็ญเพียรจะส่งมาในโถงที่ไว้สักการะบรรพบุรุษ
สยงสี่เอ่ยต่อว่า “เทพพยากรณ์นี้ ก็ส่งมาจากโลกวิญญาณ และก็เพราะเหตุนี้ ตระกูลซ่างกวานถึงได้รู้เรื่องที่เหนือโลกมนุษย์ ยังมีโลกวิญญาณ และแก้ปริศนาที่ไม่มีคนบินขึ้นโลกเซียนมาหมื่นปีจากการนี้”
“เทพพยากรณ์นั่น เกี่ยวข้องกับแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์?” เสียงมู่ซีเหนียนสั่นแผ่วเบา
สยงสี่พยักหน้าว่า “ถูกต้อง ในเทพพยากรณ์กล่าวไว้ ทั่วทั้งทวีปแห่งเทพ เปิดแดนวิญญาณหลายที่ แดนวิญญาณพวกนี้สิ่งแวดล้อมพิเศษ หากเข้าไปข้างใน ก็จะมีโอกาสวาสนาบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็วถึงระดับแยกวิญญาณ และเข้าสู่โลกวิญญาณ!”
มั่วชิงเฉินถูกข่าวที่น่าตกใจนี้ตรึงไว้ ความคิดหมุนขึ้นมาอย่างเร่งด่วนทันที
ในเมื่อในเทพพยากรณ์พูดถึงการเปิดแดนวิญญาณหลายแห่ง เช่นนั้นแดนสวรรค์มี่หลัวตูที่กำลังจะเปิดที่จุดตัดของดินแดนเทียนหยวนและแดนไท่ไป๋ ต้องเป็นหนึ่งในแดนวิญญาณแน่นอนแล้ว
มิน่า เต๋ามารอยู่อย่างสงบมาหลายปีถึงเพียงนี้ กลับลงมือใหญ่โตเพื่อกุญแจลับของแดนสวรรค์มี่หลัวตู
เช่นนั้น วิกฤตอสูรล่ะ ครั้งนี้วิกฤตอสูรกระเ**้ยนกระหือรือ เพราะราชาปีศาจก็รู้แล้วใช่หรือไม่ และอยากให้เผ่าปีศาจก็ได้ส่วนแบ่งจากการนี้?
หากเป็นเช่นนี้… เกรงว่าถึงสุดท้าย ระหว่างเต๋า มาร ปีศาจ จะต้องมาถึงจุดที่สมดุลอย่างน่าอัศจรรย์แน่นอน
เสียงสยงสี่ดังขึ้นต่อว่า “ตระกูลซ่างกวานกุมกุญแจลับของแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์ ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับบอกความลับนี้แก่ตระกูลนักบำเพ็ญเพียรที่อำนาจล้นฟ้าในห้าทวีปรอบใน เพียงแต่จะเข้าแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์ อนุญาตเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มีจำนวนน้อยมาก ที่แบ่งให้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ซีเหนียน เจ้าเข้าใจหรือยัง อย่างอื่นข้าไม่ใส่ใจได้ ทว่าโอกาสการเข้าโลกวิญญาณ ข้าละทิ้งไม่ได้จริงๆ”
มู่ซีเหนียนถอนใจเบาๆ ทีหนึ่งว่า “ซื่อหยวน เจ้าพูดถูก โอกาสการเข้าโลกวิญญาณ หากเปลี่ยนเป็นข้า ก็ไม่อาจละทิ้งได้เช่นกัน”
สยงสี่สีหน้าปิติ อดกุมมือมู่ซีเหนียนไว้ไม่ได้ว่า “ซีเหนียน เจ้าไม่โกรธแล้ว ไม่ไปแล้ว?”
มู่ซีเหนียนผมเงินพลิ้วไหว ปัดลงบนแก้มดูเย้ายวนยิ่งนักว่า “โกรธ”
“เจ้า!” สยงสี่ร้อนรน
มู่ซีเหนียนกลับแย้มยิ้มว่า “แต่ข้าไม่ไปแล้ว”
สยงสี่คลี่คิ้วออก เรียก “ซีเหนียน” เบาๆ เสียงหนึ่ง แล้วเข้าไปใกล้ จูบอย่างรุนแรงขึ้นมาอีก
มั่วชิงเฉินได้ยินความลับที่น่าตกใจนี้ อารมณ์กำลังตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบมิได้ ผู้ชายสองคนนั้นก็จูบอย่างดูดดื่มขึ้นมาอีก ทันใดนั้นความตื่นเต้นเปลี่ยนเป็นความจำใจ ได้แต่หวังให้สองคนนี้จากไปโดยเร็ว
ดีที่สองคนนั้นไม่ได้ทำขั้นต่อไป จูบอย่างดูดดื่มครู่หนึ่งแล้วแยกออก แล้วก็จูงมือกันไปไกลแล้ว
จนกระทั่งทั้งสองคนไปไกลแล้ว มั่วชิงเฉินถึงเก็บจิตตระหนักกลับมา มองไปที่เยี่ยเทียนหยวน
กลับเห็นเยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ศิษย์พี่ ท่านว่า แดนสวรรค์มี่หลัวตูก็เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณใช่หรือไม่?” ที่จริงที่มั่วชิงเฉินอยากถาม คือเยี่ยเทียนหยวนรู้เรื่องมาก่อนหน้านี้หรือไม่
เยี่ยเทียนหยวนแม้ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวในเรื่องชายหญิง ทว่าจิตใจกลับกระจ่างยิ่งนัก ฟังมั่วชิงเฉินถามเช่นนี้ก็เข้าใจความนัยในคำพูดนาง จึงส่ายหน้าว่า “ไม่รู้ ท่านเทียดไม่เคยพูดถึงกับข้ามาก่อน ทว่าข้าคิดว่า ท่านเทียดต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับศึกเต๋ามารเป็นแน่ ศิษย์น้อง รอเรากลับไป ไปถามพร้อมกันดีหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม”
นางอยากรู้เรื่องของแดนสวรรค์มี่หลัวตู เพราะนึกขึ้นได้จากคำพูดของสยงสี่ในวันนี้
ในเมื่อแดนวิญญาณเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญเช่นนี้ เช่นนั้นปีนั้นตระกูลมั่วถูกฮวาเชียนซู่ศิษย์อาจารย์ที่กราบเข้าพรรคมารฆ่าล้างตระกูล ตระกูลหลัวอวี้เฉิงย้ายเข้าตระกูลมั่ว กระทั่ง…กระทั่งเซียนเฮ่าเย่ว์พาพี่เก้ามั่วเฟยเยียนไป ตกลงในนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
เป็นความบังเอิญ หรือว่า…
พวกนี้นางยังไม่เข้าใจ คิดจะสืบความจริงให้กระจ่าง จำเป็นต้องรอกลับดินแดนเทียนหยวนสืบก่อนค่อยวางแผน
มั่วชิงเฉินความคิดวนไปมา เยี่ยเทียนหยวนเพียงแต่รอนางเงียบๆ
เมื่อได้สติกลับมา มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ศิษย์พี่ เรากลับกันเถอะ” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงหยุดกึก ขมวดคิ้วว่า “ศิษย์พี่ ท่านกลับคืนสภาพเดิมแล้ว”
คืนดึกสงัดน้ำค้างแรง ว่ากันตามหลักควรเงียบสงบไร้ผู้คน ทว่าใครจะกล้ารับรองอีกว่าจะไม่ถูกคนอื่นเห็นเข้าล่ะ
เมื่อไรที่เยี่ยเทียนหยวนถูกเห็น ตระกูลซ่างกวานก็อาจรู้เข้า เช่นนี้หลายวันมานี้มิต้องเสียเปล่าหรือ?
“ศิษย์น้อง ข้ากินโอสถลอกใบหน้าอีกเม็ดหนึ่งได้”
มั่วชิงเฉินถอนใจว่า “โอสถลอกใบหน้าอย่างน้อยต้องเว้นสองชั่วยามถึงได้ผล”
นิ่งเงียบชั่วครู่ เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยเสียงเบาว่า “ศิษย์น้อง เช่น เช่นนั้นเราก็รออยู่ที่นี่เถอะ”
คิดไปคิดมา นี่ดูเหมือนเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด มั่วชิงเฉินจึงพยักหน้าเบาๆ
เยี่ยเทียนหยวนตาฉายแววปิติแวบหนึ่ง ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน ถึงเอ่ยปากว่า “ศิษย์น้อง คืนนี้พระจันทร์กลมดี”
นะ นี่คือหาเรื่องคุยใช่หรือไม่?
มั่วชิงเฉินชะงักงัน มองดูท่าทางงุ่มง่ามของเยี่ยเทียนหยวน แล้วหัวเราะคิกคักขึ้นมา
แม้นางหัวเราะอย่างไรเสียง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นกลับเหมือนเต็มไปด้วยแสงดาวพร่างพราว ขานรับกับลักยิ้มที่เห็นบ้างไม่เห็นบ้างที่ข้างปาก เยี่ยนเทียนหยวนก็รู้สึกว่าในใจมีมดกำลังคลานอยู่ ทั้งชาทั้งคัน