พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 421
ใจมั่วชิงเฉินกระตุกสั่น แต่ใบหน้ากลับแสร้งทำเป็นนิ่งสงบ พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่เคยมีเรื่องนี้”
ถังมู่เฉินเห็นท่าทางฝืนเกร็งของนาง ก็ยิ้มตาหรี่พูดว่า “เช่นนั้นก็ดี จะได้ไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าตัวข้ายังลงมือกับน้องสาวตัวเอง เช่นนั้นสกปรกเกินไปแล้ว”
“อืม” มั่วชิงเฉินส่งเสียงเห็นด้วยอย่างนิ่งเฉย รอยยิ้มตรงมุมปากดูแข็งเกร็งไปเล็กน้อย สกปรกอะไรกัน คนผู้นี้จงใจฝังกลบนางกระมัง
นึกศิษย์พี่ผู้นั้นที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดจากับนางก็ยิ่งโกรธไม่รู้จะระบายลงที่ไหน ล้วนเป็นเขาที่หาเรื่องเละเทะเหล่านี้มา แต่กลับทำให้ตนเองต้องอึดอัดเช่นนี้
เห็นท่าทีของมั่วชิงเฉินเปลี่ยนแปลงจับต้องไม่ได้ ถังมู่เฉินลอบนึกคิดว่าช่างหน้าบางเสียจริง เพียงแค่หยอกล้อเท่านี้ก็ปล่อยวางไม่เป็นแล้ว ช่างเถิด ไปหยอกล้อเจ้าก้อนน้ำแข็งนั่นจะดีกว่า
“น้องสาว เจ้าทิ้งสหายเต๋าลั่วหยางเอาไว้แล้วมาหาข้าที่นี่ไม่ดีกระมัง ไป พวกเรากลับไปห้องเจ้าพวกเราดื่มชากันสักแก้ว”
ไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งที่ๆ รอยยิ้มของถังมู่เฉินดูแลบริสุทธิ์ไร้พิษภัย แต่นางกลับเห็นเจนตนาร้ายที่แฝงไว้ขึ้นมา พูดอย่างเด็ดขาดในทันที “ข้ายังมีเรื่อง วันอื่นแล้วกัน”
“ก็แล้วแต่เถิด” ถังมู่เฉินเสียดายเป็นอย่างมาก
มั่วชิงเฉินออกนอกประตูถอนหายใจออกมา มองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทของตนเอง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งหมุนฝีเท้าเดินไปยังสวนข้างหลัง
ภายในสวนนิ่งสงบไร้เสียง เป็นเวลาที่เข้าสู่ช่วงร้อนที่สุดพอดี ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานแข่งกัน เป็นการดึงดูดผีเสื้อนับไม่ถ้วนมาดูดเก็บน้ำผึ้งให้ยุ่งวุ่นวาย
มีเพียงจักจั่นที่หลบซ่อนอยู่ในต้นไม้ใหญ่ส่งเสียงร้องรับติดต่อกัน ช่างน่าหนวกหูยิ่งนัก เป็นการยิ่งทำให้คนเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาโดยแท้
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ปลายนิ้วยิงออกไป ปราณวิญญาณกระแสหนึ่งรวมกันเป็นกระบี่เล่มบางยิ่งออกไป จักจั่นตัวหนึ่งตกลงมาจากลำต้น เกิดเป็นเสียงเบา
มองดูขาที่สั่นเทาของจักจั่นตัวนั้น ไม่นานก็นิ่งสนิทไม่ขยับ มั่วชิงเฉินเม้มปาก
หลายวันมานี้ตนเองเป็นอะไรไป เหตุใดถึงจิตใจไม่สงบหงุดหงิดเช่นนี้ ช่างน่าแปลกเสียจริง
หรือจะบอกว่าศิษย์พี่ลั่วหยางมีผลกระทบที่อย่างใหญ่หลวงต่อตนเองจริง อารมณ์ถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ ตามเรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานี้
‘ไม่ได้ๆ เป็นเช่นนี้ต่อไป จิตใจยากจะสงบ แล้วจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร’
มั่วชิงเฉินทั้งตัวลงนั่ง มองไปยังจักจั่นที่ตายแล้วด้วยสายตาเหม่อลอย แลดูล่องลอยขึ้นมา
‘แท้จริงแล้วตนเองรู้สึกอย่างไรต่อศิษย์พี่กันแน่’
นักบำเพ็ญเพียร ไม่กลัวได้รับ ไม่กลัวสูญเสีย ไม่กลัวการคาดหวังแต่ไม่ได้ครอบครอง ไม่กลัวที่จะสูญเสียคนใกล้ชิด
ที่กลัวคืออะไร คือความล่องลอย ความสับสน เป็นการมองเรื่องไม่บรรลุ มีความมึนงงสับสน
ในท่ามกลางสิ่งนี้ที่ง่ายต่อการลุ่มหลงเข้าไปมากที่สุดคือความรู้สึก
“มั่วชิงเฉิน อย่าได้หลอกตัวเองอีกต่อไป เจ้ามีความรู้สึกต่อลั่วหยาง” เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
มั่วชิงเฉินตกใจ หันไปมองรอบข้าง จากนั้นต้องหลุดหัวเราะออกมา เสียงนั้นคือเสียงความคิดที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจ
“ไม่มีเรื่องนี้ ข้ากับเขาเป็นเพียงความรู้สึกซาบซึ้งใจเท่านั้น” คนจิ๋วในใจอีกร่างส่งเสียงตอบโต้
เสียงเล็กๆ นั่นหัวเราะหยันออกมา “ความรู้สึกซาบซึ้งเช่นนั้นหรือ หากว่าเป็นความรู้สึกซาบซึ้งที่บริสุทธิ์ เจ้าจะให้เขาหอมเจ้า กอดเจ้า ลูบเจ้า แล้ว…”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว!” อีกเสียงหนึ่งตวาดด้วยความโมโห “นั่นเพราะว่าๆ…ใช่แล้ว เพราะไฟจริง เพราะว่าไฟจริงหลอกหลอน”
พูดถึงตอนท้ายน้ำเสียงของคนจิ๋วก็มุ่งมั่นขึ้นมา เหมือนว่าเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเป็นเช่นนั้นจริง
คนจิ๋วคนแรกยิ้ม พลางสืบฝีเท้าเข้ามาใกล้ “ไฟจริง? พิษหว่านเสน่ห์ออกฤทธิ์ขึ้นมามีแรงดึงดูดที่รุนแรงกว่าไฟจริงอยู่หลายเท่านัก ลั่วหยางสามารถต่อต้านพิษหว่านเสน่ห์ได้ เจ้าที่มีความยืนหยัดไม่แพ้เขากลับถูกไฟจริงล่อลวงเช่นนั้นหรือ”
คนจิ๋วอีกคนนิ่งไป น้ำเสียงอ่อนลง “หรือจะไม่ได้เป็นเพราะไฟจริง ข้าถึงได้ผิดปกติทุกครั้งที่พบเจอเขา”
คนจิ๋วอีกคนขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าลองย้อนคิดไปสักหน่อย ไฟจริงของเจ้านั้นมีมาตั้งแต่แรกเริ่ม ปกติแล้วเจ้าพบหน้าเขาแม้ไฟจริงในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ในใจเจ้านั้นคิดเช่นไร ตอนนี้เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับเขาในใจคิดเช่นไร”
คนจิ๋วอีกคนนิ่งเงียบไปโดยสิ้นเชิง
คนจิ๋วคนแรกตบบ่าคนจิ๋วอีกคนหนึ่ง “อย่าได้หลอกลวงตนเองอีกเลย ยามที่ล่องลอยไม่สู้ว่าปล่อยใจสงบลงมา คิดถึงจิตใจที่แท้จริงของตนเอง เจ้าทำใจปล่อยเขาไป ทนรับความทรมานได้เช่นนั้นหรือ”
มั่วชิงเฉินท่าทีเหม่อลอย ในมือมีกระบี่ชิงมู่ปรากฏขึ้นมา ขยับร่างระบำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ลมน้อยพัดกระทบ จักจั่นร้องพลันป่าสงบ กลิ่นหอมของดอกไม้รุนแรงจนแอบฉุน หญิงสาวชุดเขียวกลับไม่ถูกกระทบ กระบี่ยาวในมือสะบัดพลิ้ว เข้าสู่สภาพจิตลืมตนโดยสิ้นเชิงไปแล้ว
ดอกท้อจำนวนนับไม่ถ้วนตกพลิ้วลงมา เสียงใบไม้ร่วงกราวล้อมรอบหญิงสาวชุดเขียวเอาไว้ตรงกลาง
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่บริเวณทางโค้งห่างออกไปไม่ไกลนักมีร่างคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา แต่เดิมเขาเพียงออกมาเดินเล่นตามใจชอบเท่านั้น จู่ๆ ข้างหน้าก็มีกระแสปราณวิญญาณสั่นไหว ใบหน้าอดแสดงความตื่นตะลึงออกมาไม่ได้ ร่างกายท่าทางคล่องแคล่ว ฝีเท้าเฉียบคมก้าวไม่กี่ครั้งก็มาถึงบริเวณใกล้เคียง
สิ่งที่เข้ามาในม่านสายตาคือภาพทิวทัศน์ที่สวยงามทรงพลัง
ดวงตาตราตรึง ภายในเสี้ยววินาทีสั้นๆ นึกว่าเป็นเซียนท้อบนสวรรค์ลงมาบนโลกมนุษย์
มั่วชิงเฉินชักกระบี่เข้าหาตนเอง ปราณวิญญาณสายหนึ่งบนปลายกระบี่กลายเป็นกลีบดอกท้อล่องลอยกรีดเป็นระยะกระจัดที่สวยงามบนท้องฟ้า จากนั้นก็กลายเป็นแสงวิญญาณหลายจุดหายเข้าไปในกระบี่ชิงมู่
กระบี่ชิงมู่ที่ถูกแสงวิญญาณกระตุ้นจนกลายเป็นโปร่งแสงแวววาวแต่เดิมนั้นกลายเป็นดับสนิทขึ้นมาอีกครั้ง มองดูแล้วเรียบง่ายไม่โดดเด่น
คิ้วของมั่วชิงเฉินผ่อนคลาย มุมปากมีรอยยิ้มประดับอย่างไม่รู้เนื้อตัว
คิดไม่ถึงว่าในใจจะเกิดความรู้สึก กลับบรรลุเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นห้าเสียอย่างนั้น…มีสัมพันธ์ทางเดินย่อมยาวไกล
เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้มีทั้งหมดเจ็ดขั้น สามขั้นแรกระดับสร้างรากฐานสามารถเรียนรู้ได้ ขั้นสี่และห้าระดับก่อแก่นปราณสามารถเรียนรู้ได้ ขั้นหกและเจ็ดกลับต้องเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดก่อนถึงจะเข้าใจ
ยังพอจำได้ว่าตอนอยู่ระดับสร้างรากฐานตนเองไม่เคยมีความคิดเกี่ยวกับการใช้กระบี่ ทะเลบุปผามายาขั้นสามจนมาถึงระดับสร้างรากฐานชั้นปลายก็ยังไม่เห็นว่าจะบรรลุ เพื่อเรื่องนี้อาจารย์ยังเคยจุดประกายตนเอง คิดไม่ถึงว่าขั้นสี่และห้าจะมาบรรลุเอาทั้งหมดตอนอยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นต้น
มีสัมพันธ์ทางเดินย่อมยาวไกลถือเป็นขั้นพิเศษของเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ หากพูดว่าวิญญาณบุปผาจรัสแสงเป็นวิธีการโจมตีกระบี่เชิงกลุ่ม เช่นนั้นนี่ก็เป็นกระบวนท่านโจมตีระยะไกล
แท้จริงแล้วการใช้กระบี่ยาวแสดงกระบวนท่ามีสัมพันธ์ทางเดินย่อมยาวไกลจะกลายเป็นแสงกระบี่รูปร่างนกวิญญาณสายหนึ่งออกมา พุ่งขึ้นสูงสู่ยอดฟ้า กำจัดศัตรูภายนอกพื้นที่ร้อยลี้
นางมีความรู้สึกในใจ พิจารณาครุ่นคิดได้ข้อสรุปว่าเหมาะสมที่สุดต่อการใช้อาวุธของตนธนูซ่อนเร้นมากที่สุด หลังจากนี้ใช้ธนูแทนกระบี่แสดงกระบวนท่าสัมพันธ์ทางเดินย่อมยาวไกล คิดว่าระยะทางการกำจัดคงจะยาวไกลกว่าเดิม
แต่กระบวนท่าทีมีข้อจำกัด เมื่อแสดงกระบวนท่าออกมาจะต้องใช้พลังวิญญาณและกำลังจำนวนมาก ไม่สามารถนำมาใช้ได้ตามใจยามปกติ
ต่อให้เป็นเช่นนั้นมั่วชิงเฉินก็ยังคงพอใจ นี่ถือเป็นท่าไม้ตายเลยทีเดียว ถ้าใช้จนได้ดี ต่อจานนี้ไปคงเกิดผลลัพธ์น่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว
ความตื่นเต้นในใจเริ่มน้อยถอยลงไป มั่วชิงเฉินถึงเพิ่งจะรู้สึกว่ามีคนแอบมองรีบเงยหน้าช้อนตาขึ้นมองก็ได้พบกับชายหนุ่มชุดดำที่ยืนห่างไปไม่ไกล ลมพัดชายชุดขยับ แต่คนกลับยืนนิ่งไม่สั่นไหว ยืนอยู่อย่างเงียบสงัด
เป็นเสิ่นฉงเหวิน แต่เพราะสายตาของเขาจับจ้องมาทางนี้ ท่าทางแลดูประหลาดอยู่บ้าง
แม้ทั้งสองคนจะไม่ถูกกันมาตลอดทาง เวลาที่พบหน้ากันสหายเต๋าเสิ่นผู้นี้ก็มักจะแดกดันถากถางอยู่ร่ำไป แต่มารยาทเบื้องต้นมั่วชิงเฉินยังคงนับถือ
เก็บกระบี่ชิงมู่อย่างเงียบๆ ไม่พูดจา สืบเท้าเดินเข้าหา พยักหน้าน้อยๆ พูดว่า “สหายเต่าเสิ่น”
สายตาของเสิ่นฉงเหวินกวาดมองมือข้างที่ถือกระบี่ของมั่วชิงเฉินเมื่อครู่นี้อย่างรวดเร็ว และถอนสายตากลับมา ท่าทีแปลกประหลาด “คิดไม่ถึงว่าแม่นางมั่วจะมือฝีมือกระบวนกระบี่ดีเช่นนี้”
ในเรื่องเคล็ดกระบี่มั่วชิงเฉินพอจะมีผลพลอยได้อยู่บ้าง แม้จะไม่ได้ถึงขั้นยิ้มพรายไปด้วยความปลื้มปิติ แต่ในใจนั้นกลับจริงแท้ไม่ปิดบัง ยิ้มกว้างสดใสพูดว่า “ขอบคุณสหายเต๋าเสิ่นที่ชมเชย”
เห็นเสิ่นฉงเหวินไม่ได้พูดอะไรต่อ จึงพูดว่า “สหายเต๋าเสิ่นมาเดินเล่นในสวนหรือ เช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนแล้ว ขอตัว”
เห็นมั่วชิงเฉินด้าวเท้าเดินจากไปอย่างไม่ลังเล เสิ่นฉงเหวินยกมือขึ้น “แม่นางมั่ว รอก่อน”
มั่วชิงเฉินหันกลับมา ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างเป็นประกายภายใต้แสงตะวัน ทำให้คนไม่กล้าสบตามองโดยตรง “สหายเต๋าเสิ่นมีธุระอันใดหรือ”
เสิ่นฉงเหวินลังเลไปครู่หนึ่ง ถึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า “แม่นางมั่ว สหายเต๋าถังมิได้เป็นคู่ที่เหมาะสม!”
มั่วชิงเฉินนิ่งอึ้งไป จากนั้นเม้มปากพูดว่า “สหายเต๋าเสิ่น ถังมู่เฉินเป็นพี่ชายข้า”
แม้จะรู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงพูดเช่นนี้ และเข้าใจว่าเขาคงคิดแทนตนเองจริงๆ แต่กลับรู้สึกว่าสหายเต๋าเสิ่นผู้นี้ช่างอยู่ไม่เป็นจริงๆ เหตุใดถึงมาพูดเรื่องคัดค้านออกมาตรงๆ ต่อหน้าน้องสาวเขา
เสิ่นฉงเหวินเองก็เป็นคนหุนหันพลันแล่น ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าความหวังดีของตนเองกลายเป็นเรื่องไร้สาระ พูดเสียงเย็น “ในเมื่อแม่นางมั่วและสหายเต๋าถังผูกสัมพันธ์เช่นพี่น้อง เหตุใดถึงยังอยากกลายเป็นดอกไม้อีกหนึ่งดอกในหมู่มวลดอกไม้ที่นับไม่ถ้วนของเขาเหล่า ต้องรู้ว่าชายเสเพลเจ้าชู้เช่นเขา นั้นถือเป็นสัญชาตญาณ ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงเพราะสตรีผู้ใดเป็นแน่ คำโบราณกล่าวไว้สันดานหมา…”
“หุบปาก!” ไม่รอให้เขาพูดจบ มั่วชิงเฉินก็ตะโกนเสียงเย็นขัดขึ้นมาก่อน
สีหน้าเสิ่นฉงเหวินตึงเครียด เหลือบมองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง ในสายตาแฝงความโกรธ ความดูถูก และยังมีท่าทีอยากดัดคนให้ได้ดีแฝงอยู่
มั่วชิงเฉินไม่มีจิตใจจะมานั่งเดาความหมายที่ซับซ้อนของสายตาเขา พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อยขอบคุณสหายเต๋าเสิ่นที่ตักเตือน แต่เรื่องนี้แต่เดิมเป็นเรื่องระหว่างพวกเราสองพี่น้อง ไม่รบกวนสหายเต๋าเสิ่นคิดมาแล้ว”
เสิ่นฉงเหวินสีหน้าดำคล้ำ กำปั้นกุมเขาหากันแน่น ถึงได้พ่นออกมาไม่กี่คำ “เป็นอย่างที่คาดไว้ สตรีล้วนโง่งม!”
พูดจบก็ไม่หันหน้ากลับมา สืบฝีเท้าก้าวยาวเดินจากไป
มั่วชิงเฉินตื่นตะลึง นางไปหาเรื่องใครทำให้ใครเดือดร้อนเช่นนั้นหรือ อยู่ดีๆ ก็ถูกติเตียนเช่นนี้โดยไร้เหตุผล
ล้วนพูดกันว่าจิตใจหญิงสาวก็เหมือนเข็มใต้มหาสมุทร เหตุใดนางถึงคิดว่าจิตใจของชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้พิลึกมากกว่าเล่า
นางส่ายหน้า ยกเท้าก้าวไปยังทิศทางตรงข้าม เดินไปได้ไม่ไกลก็พบว่าบริเวณห่างออกไปไม่ไกลมากนั้นมีคนสองคนยืนอยู่ เป็นสยงสี่และมู่ซีเหนียน
ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่มากมายเท่าไรนักกับทั้งสองคน และเพราะว่าในค่ำคืนจันทร์แรมลมสูงเห็นการแสดงตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองคน มั่วชิงเฉินไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้ความรู้สึกเช่นใดในการสนทนา ทำได้เพียงพนักหน้าด้วยความฝืนเกร็ง เดินหลบจากไป
สยงสี่มองตามแผ่นหลังของมั่วชิงเฉินที่เดินจากไปไกล หัวเราะออกมาเสียงดัง
มู่ซีเหนียนส่งสายตาดุดันมองเขา “หัวเราะอะไร หรือว่าเห็นคนเขาหน้าตาดี เลยเกิดจิตใจสั่นไหวเช่นนั้นหรือ”
สยงสี่หัวเราะอย่างจนปัญญา “ซีเหนียน เจ้าเองก็รู้ ข้าเองไม่สนใจสตรีเลยแม้แต่น้อย แต่เพียงรู้สึกว่าบทสนทนาของทั้งสองคนในวันนี้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เหอๆ ซีเหนียน คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่น่าอึดอัดมากกว่าเจ้า”
มู่ซีเหนียนเบะปาก “ทำไมหรือ คุณชายสยงสี่เห็นใจหรือ”
สยงสี่หัวเราะ “ซีเหนียน ปากเจ้ายิ่งกัดไม่ปล่อยขึ้นแล้ว”
มู่ซีเหนียนมองทิศทางที่เสิ่นฉงเหวินเดินจากไป มุมปากยกยิ้ม พูดออกมาสองคำ “คนโง่”
มั่วชิงเฉินเดินมาถึงหน้าห้อง รู้สึกว่าจิตใจนั้นสงบลงไปมากแล้ว และยิ่งไม่มีความรู้สึกที่ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร
ยื่นมือออกไปคิดจะเปิดประตู ความรู้สึกยิ่งนิ่งสงบ