พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 423
“รีบไปๆ” ถังมู่เฉินเอ่ยเร่ง
หญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวนกลับหยุดลง “ต้องรบกวนให้คุณชายโปรดรอเสียหน่อย ดูท่าคุณหนูทั้งสองของสกุลหวงจะมีเรื่องกระมัง”
ถังมู่เฉินระบายอารมณ์ วุ่นวายอยู่ตั้งนานทั้งหมดนี้กลับรู้จักกัน
เพียงชั่วพริบตาสองพี่น้องสกุลหวงก็วิ่งมาถึงเบื้องหน้า
“เฝ่ยเฝ่ย ขอบใจเจ้ามาก” มาถึงเบื้องหน้า คุณหนูใหญ่สกุลหวง หวงหลิงดึงมือของหญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวนเอาไว้ พลางบีบสองสามที
ถังมู่เฉินกระพริบตา “แม่นางซั่งกวน นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
หญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวนอมยิ้มไม่พูดจา
มั่วชิงเฉินกลับเริ่มเข้าใจ เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่เพียงรู้จักกัน วันนี้จะออกเดินทางเมื่อไร เดินเส้นทางสายไหน คงจะถูกแม่นางขายข่าวไปหมดแล้ว
นี่ช่างน่าสนใจเสียจริง คนที่สามารถต่อต้านเสน่ห์ของถังมู่เฉินได้ แล้วยังทำให้เขาตกหลุมพรางได้โดยไม่กระโตกกระตาก สตรีเช่นนี้เกรงว่าคงจะไม่ใช่หญิงรับใช้ธรรมดากระมัง
ในใจมั่วชิงเฉินคิดเช่นนี้และมีความใจร้อนอยู่เช่นกัน หากว่าวิชาพรางตัวของอีกาไฟจู่ๆ เกิดสิ้นฤทธิ์ขึ้นมา เช่นนั้นศิษย์พี่ลั่วหยางคงจะถูกเปิดเผยเป็นแน่
หวงหลิงเชิดคางขึ้นสูง “เกิดอะไรขึ้นอะไรกัน ข้าพูดไว้นานแล้ว ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เป็นอนุสามีของนาง และไม่ได้เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ เช่นนั้นก็กลับบ้านไปกับข้า!”
เสิ่นฉงเหวินสีหน้าดำคล้ำ “ผมของเจ้า เยอะเกินไปใช่หรือไม่”
สีหน้าหวงหลิงชะงักค้าง กัดฟันพูด “นั่นเพราะข้าดื่มมากไป มิเช่นนั้น เจ้าจะสู้ข้าได้หรือไร”
ถังมู่เฉินรีบเสนอหน้าเข้ามาพูดว่า “เช่นนั้นพวกเจ้ารีบต่อสู้กันอย่างยุติธรรมเถิด อ่า ให้แม่นางรองสกุลหวงเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน”
พูดจบก็ส่งสายตาให้มั่วชิงเฉิน จะมุ่งเดินไปข้างหน้า
“หยุดก่อน” หวงหลิงตะโกนเสียงใส “พวกเจ้าทั้งสองคน สู้กับข้าให้หมด หากชนะข้าจะปล่อยพวกเจ้าจากไป หากแพ้ก็ไปกับข้า!”
คุณหนูรองสกุลหวง หวงเจ๋ออุ้มกระบี่หนักพุ่งเข้าหา “แล้วยังมีเจ้า เจ้าเองก็ไปไม่ได้ พวกเรายังไม่ได้สู้กันเลย!”
มั่วชิงเฉินกัดฟัน ช่างดีเสียเหลือเกิน ทั้งสามคนถูกรั้งเอาไว้แล้ว
นึกถึงเยี่ยเทียนหยวนที่อาจจะโดนเปิดเผยได้ตลอดเวลา ถึงได้เอ่ยกล่อมอย่างอดทน “สหายเต๋าหวง ท่านเคยพูดไว้ว่าไม่เคยบังคับฝืนใจคน มีเพียงคนอื่นยินยอมพร้อมใจเองถึงจะถูก”
หวงเจ๋อสีหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ “ข้าเคยพูดไว้ แต่เจ้ากำลังจะจากไปแล้ว หากหลังจากนี้เจ้ายินยอมแต่หาตัวข้าไม่พบจะทำเช่นไร”
มั่วชิงเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้ยินนางพูดเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าตนเองทำใจทิ้งนางไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น สมองของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มีปัญหาใช่หรือไม่
“สหายเต๋าหวง ท่านรู้อยู่แล้ว การต่อสู้เช่นนี้พิถีพิถันในเรื่องลงแรงสุดกำลัง ตอนนี้ข้าน้อยมีธุระต้องไปจัดการ แม้จะต่อสู่กับสหายเต๋าท่านก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เป็นเช่นนี้ย่อมต้องไม่อาจแสดงความสามารถเต็มกำลังได้เป็นแน่ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งความหมายหรืออย่างไร”
หวงเจ๋อถูกมั่วชิงเฉินหลอกลวงจนนิ่งอึ้งไป “ใช่แล้ว เช่นนั้นต้องทำเช่นไร”
มั่วชิงเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่สู้ว่ารอข้าจัดการเรื่องจนสำเร็จ ยามที่กลับมายังเฟิ่งหลินโจว พวกเราค่อยต่อสู้กันอย่างเต็มที่จะว่าอย่างไร”
“เช่นนั้นก็แล้วไป เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเมื่อกลับมาต้องมาข้านะ” หวงเจ๋อพูดอย่างจริงจัง
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “จำได้เป็นแน่”
จำได้กับจะหาหรือไม่ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องกระมัง
“น้องข้า เช่นนั้นเจ้าไปรอไปตรงนั้นก่อน ข้าสู้เสร็จจะไปหาเจ้า” จู่ๆ ถังมู่เฉินร้องตะโกนออกมา
มั่วชิงเฉินมองไปยังถังมู่เฉิน สายตามีความแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก “ท่านพี่ ท่านระวังตัว จะต้องมาหาข้านะ”
“น้องสาวเจ้าวางใจเถิด จัดการกับนางถือเป็นเรื่องพริบตาเดียว ข้าจะต้องไปหาเจ้าได้เป็นแน่” ถังมู่เฉินสะบัดมือ
มั่วชิงเฉินมองถังมู่เฉินอย่างลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง หันไปพูดกับหญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวน “สหายเต๋าซั่งกวน รบกวนท่านพาข้าไปยังม่านเคลื่อนย้ายก่อนเถิด ข้าไปศึกษาสถานการณ์ทางนั้นเสียก่อน”
หญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวนไม่ขยับตัว เหลือบมองสองพี่น้องสกุลหวงทีหนึ่ง
หวงหลิงเชิดปลายคาง “เฝ่ยเฝ่ย เจ้าพานางไปก่อนเถิด นางจะได้ไม่ต้องร้องไห้คร่ำครวญมาหาเรื่องข้าที่ข้ารั้งพวกเขาเอาไว้”
หญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวนน้อมรับ ส่งยิ้มให้มั่วชิงเฉินพูดว่า “แม่นาง ไปเถิด”
ขึ้นเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งไปยังเขาจิ่วเฟิ่ง และบินออกไปข้างหน้าอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ร่อนลงกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
รอบด้านถูกเขาเขียวล้อมรอบ ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ มีกระท่อมสองสามหลังที่ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจี
หญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวนเก็บของวิเศษเหาะบิน ฝีเท้าอ่อนเบาเดินไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง
หน้ากระท่อมมีหญิงสาวชุดขาวสองคนกำลังขะมักเขม้น คนหนึ่งค้อมตัวจัดการสวนโอสถ ส่วนอีกคนกำลังหวีขนให้สัตว์วิญญาณ
“คุณหนูสี่!” เมื่อเห็นว่ามีคนมา หญิงสาวทั้งสองคนรีบเดินมาต้อนรับ แสดงความเคารพให้หญิงบำเพ็ญสกุลซั่งกวนทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินแววตาเป็นประกายเล็กน้อย แท้จริงแล้วหญิงบำเพ็ญผู้นี้ก็เป็นถึงคุณหนูสี่แห่งตระกูลซั่งกวน
แต่ก็น่าแปลกเล็กน้อย พี่สาวทั้งสามคนของนางแม้จะมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป แต่ก็มีเรื่องที่เหมือนกันคือล้วนเป็นหญิงงามที่อยากจะหาพบ แต่คุณหนูสี่ผู้นี้เมื่อดูจากภาพลักษณ์ภายนอกแล้วกลับดูธรรมดาจนถึงขั้นไร้ซึ่งสีสัน
ไม่ต้องพูดถึงโลกของบำเพ็ญเพียรที่มีสาวงามมากมาย แม้แต่ในโลกมนุษย์ทั่วไปอย่างมากก็ถือได้แค่เพียงจิ้มลิ้มเท่านั้นเอง
มิน่าถังมู่เฉินถึงได้มั่นใจเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับมองพลาดไป แท้จริงแล้วคนมิอาจมองแค่รูปลักษณ์ภายนอก
“แม่นางตกใจมากเช่นนั้นหรือ” มุมปากซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยอมยิ้ม ใบหน้าที่แสนธรรมดาดูแล้วน่าสมาคมคบใกล้
มั่วชิงเฉินกลับไม่กล้าดูถูก อมยิ้มพูดว่า “แปลกใจเล็กน้อย”
ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ใจของซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยกลับเกิดความรู้สึกดีขึ้นมา มือเรียวชี้ไปข้างหน้า “นู้น ม่านเคลื่อนย้ายอยู่กลางป่าซิ่ง”
มั่วชิงเฉินทอดสายตามองตามทิศทางที่นิ้วชี้ เห็นว่าห่างออกไปไม่ไกลเป็นป่าต้นซิ่ง ที่น่าแปลกคือเท่าที่เห็นแม้จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ดอกซิ่งกลับเบ่งบานเต็มไปหมด
“แม่นางตามข้ามาเถิด” ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยเดินนำไปทางป่าซิ่งก่อน จากนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกำชับหญิงสาวชุดขาวทั้งสองคนว่า “อีกครู่หากยังมีคนมา พวกเจ้าก็พวกเขาไปที่นั่นแล้วค่อยว่ากัน”
“รับทราบเจ้าค่ะ” หญิงสาวชุดขาวทั้งสองคนค้อมตัวลง
เดินมาถึงข้างหน้าป่าซิ่ง ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยขยับนิ้วดึงเคล็ดวิชาออกมาติดต่อกันนำแสงวิญญาณยิงไปที่ป่าซิ่ง ปากตะโกนออกมาเบาๆ “เปิด!”
เห็นตรงกลางป่าซิ่งค่อยๆ แยกออกมาเป็นทางเดินเล็กปูด้วยหินเขียว
“แม่นาง เชิญเถิด”
มั่วชิงเฉินเดินเหยียบทางเดินแคบหินเขียวตามซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยไป เดินอยู่นานราวสิบห้านาทีถึงจะเข้ามาด้านใน
ตรงนั้นมีหญิงสาวชุดขาวสี่คนยืนอยู่ และยังมีอีกหนึ่งหญิงหนึ่งชาย
“คุณหนูสี่” หญิงสาวชุดขาวสี่คนทำความเคารพเหมือนกัน
ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยพยักหน้าน้อยๆ พูดกับหนึ่งหญิงหนึ่งชายว่า “ทั้งสองท่านรอนานแล้ว”
“คุณหนูสี่เกรงใจแล้ว” ทั้งสองคนไม่กล้าชักช้า รีบพูดขึ้นจากนั้นก็ลอบกวาดตามองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินพยักหน้าน้อยๆ ถือเป็นการทักทาย
ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยมองท้องฟ้า ริมฝีปากบางเอ่ยขยับ “ยังเหลืออีกช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจะถึงเวลาเปิดม่านพลัง ทั้งสามท่านโปรดรอ”
พูดจบก็เรียกหญิงสาวชุดขาวทั้งสี่คนมาใกล้ตัว กำชับเสียงทุ้มต่ำสองสามประโยค
หญิงสาวทั้งสี่คนพยักหน้าติดต่อกัน ถอยออกไปพลางเดินไปยังที่ว่างบริเวณหนึ่ง
มั่วชิงเฉินมองตามไปเฉยๆ เห็นว่าหญิงสาวทั้งสี่คนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ปากพึมพำร่ายคาถา
วิธีเช่นนี้กระทำอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม ร่างทั้งสี่คนค่อยๆ ส่องแสงวิญญาณออกมา จากนั้นก็เห็นว่าในมือของพวกนางแต่ละคนมีขวดหยกขวดหนึ่ง นิ้วมือขยับอย่างรวดเร็วยิงน้ำค้างในขวดหยกเข้าสู่พื้นที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
น้ำค้างที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณซึมหายเข้าในพื้นอย่างไร้ซึ่งเสียง เห็นว่าพื้นที่บริเวณนั้นส่องแสงสว่างจัดจ้าในฉับพลัน ตั้งแต่บนลงล่าง กลายเป็นพายุปราณวิญญาณ
ปากของทั้งสี่คนยิ่งเร่งร่ายคาถาเร็วขึ้น มือขยับเรียกเอาหินวิญญาณวางจัดเรียงไว้รอบพายุปราณวิญญาณ
มั่วชิงเฉินมองจนตาลอบ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พระจันทร์เข้าครองท้องฟ้า
เสียงที่นิ่งสงบและเป็นมิตรของซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยดังขึ้นมา “แม่นาง ม่านพลังใกล้จะเปิดแล้ว สหายเต๋าผู้นั้นเกรงว่าจะมาไม่ทันแล้ว”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าแสดงความเป็นกังวลออกมา “รบกวนสหายเต๋าซั่งกวนรออีกหน่อยเถิด”
ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากรอ แต่ม่านพลังนี้รอไม่ได้”
ในเวลานี้นั่นเองพายุปราณวิญญาณลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว พระจันทร์สว่างบนท้องฟ้าส่องแสงสว่างสายหนึ่งสะท้อนพื้นผิว ส่องแสงไปกลางพายุปราณวิญญาณพอดิบพอดี
พายุที่ลอยขึ้นจู่ๆ ก็ทิ้งตัวลง พร้อมกับแสงประกายที่น่าตดใจ
รอจนแสงจ้าสลายหายไป ก็เห็นว่าพื้นที่ว่างเปล่าแต่เดิมนั้นไม่รู้ว่ามีภาพวาดปีกพญาหงส์เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
ศีรษะ ปีกทั้งสองข้าง ส่วนท้อง ส่วนหาง ทั้งหมดห้าส่วนมีรูปยันต์แปดทิศเล็กๆ ประดับอยู่ นอกจากส่วนศีรษะแล้ว อีกสี่ส่วนที่เหลือล้วนส่องแสงสว่าง
“เชิญสหายเต๋าทั้งสามประจำที่เถิด” ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยผายมือออก
ชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคนประสานมือเคารพซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ย ต่างฝ่ายต่างขึ้นเหยียบรูปยันต์แปดทิศบนปีกทั้งสองข้าง
ปลายเท้ามั่วชิงเฉินไม่ขยับ
ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยกำลังจะเอ่ยเร่ง ก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “รอก่อน”
หันกลับไปมองก็พบกับถังมู่เฉินที่เร่งรีบเดินมาด้วยการนำของหญิงรับใช้สองคน
มั่วชิงเฉินมองถังมู่เฉินที่กำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็วนิ่งๆ ยิ้มอย่างถูกใจ
“คุณชายช่างมาถูกเวลาเสียจริง รีบเข้ามาเถิด” ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยยิ้มแย้มสงบเสงี่ยม
ถังมู่เฉินเร่งฝีเท้าก้าวยาว เดินตรงเข้ามา
ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยตื่นตะลึง จากนั้นก็หรี่ตาลง พิจารณามองชายหนุ่มที่เดินเข้าไปในม่านพลัง
‘เหตุใดถึงรู้สึกว่าเขาเหมือนจะไม่เหมือนเดิม’
ในใจของนางเกิดความคิดนี้ขึ้น แอบรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
แต่ในเวลานี้เองยันต์แปดทิศหมุนวนอย่างรวดเร็ว แสงจ้ายิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ ม่านพลังเริ่มเคลื่อนแล้ว
ท่ามกลางแสงสว่างจัดจ้านั้นใบหน้าหล่อเหลาของถังมู่เฉินปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว ยิ่งทำให้ดูหล่อเหลางดงามมากกว่าเคย ความเย็นชาในดวงตากลับทำให้ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยตะลึงไป
“แม่นาง เพื่อนร่วมทางของท่าน เปลี่ยนแล้วหรือ”
ในจังหวะที่มั่วชิงเฉินยังมีทีท่าตื่นตะลึง ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยยิ้มแย้ม
จะใช่หรือไม่ เกี่ยวอะไรกับนางเล่า!
ในที่สุดแสงจ้าก็หายไป พญาหงส์ตรงนั้นสลายหายไปพร้อมกับรูปภาพ กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่ง
ซั่งกวนเฝ่ยเฝ่ยโบกมือ เสียงเรียบนิ่ง “ไปเถิด”
“เจ้าค่ะ!” หญิงสาวชุดขาวหกคนน้อมตัวรับคำพร้อมกัน เดินออกจากป่าซิ่งไปพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่าม่านเคลื่อนย้ายระยะไกลจะมีผลข้างเคียงมากเพียงนี้ ดวงตาทั้งสองข้างสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ ข้างหน้ามืดสนิท
“ศิษย์น้อง อย่ากลัว ข้าอยู่นี่” ในระหว่างที่ตื่นกลัวสับสนนั่นเองมือใหญ่ที่อบอุ่นแห้งกร้านข้างมือกุมมือที่เย็นเฉียบของนางเอาไว้
“ศิษย์พี่ ดวงตาของท่านมองเห็นหรือ” มั่วชิงเฉินจับมือของเขาแน่น
เสียงของเยี่ยเทียนหยวนแฝงความปลอบประโลมเอาไว้ “ข้ามองเห็น เจ้าวางใจ”
สงบจิตลง มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าห่างออกไปไม่ไกลมีพลังวิญญาณสองกระแสกำลังขับเคลื่อน ซึ่งก็คือหญิงหนึ่งชายหนึ่งที่เคลื่อนย้ายมาพร้อมกันนั่นเอง
และในเวลานี้เอง เสียงเหมือนจะร่ำไห้อันแสนแปลกประหลาดดังขึ้นมา
ในที่สุดดวงตาของมั่วชิงเฉินก็มองเห็น ห่างออกไปไม่ไกลชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวเข้ามา ด้านหลังเขามีคนกว่าสิบคนเดินตามมา
แต่คนกว่าสิบคนนั้นฝีเท้าหนักแน่น เวลาเดินเคลื่อนที่แลดูแข็งเกร็ง
มั่วชิงเฉินเม้มปาก หากนางดูไม่ปิด นี่กำลังบังคับศพเช่นนั้นหรือ