พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 426
แววตาทั้งสี่คนแสดงความยินดีออกมาในทันใด หนึ่งในนั้นพูดว่า “คุณชาย ท่านใช้…”
“พูดมาก นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรถาม!” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
เขามีสัตว์วิญญาณตัวหนึ่งเรียกว่าหนูสะกดวิญญาณ หากพูดถึงการสอดแนมสอดส่องมีลูกน้องเช่นนี้เป็นร้อยคนก็ยังไม่อาจสู้หนูสะกดวิญญาณตัวหนึ่งได้
หนูสะกดวิญญาณตัวเล็กและคล่องแคล่ว ร่างกายนั้นมีขนาดไม่ต่างจากหนูธรรมดาทั่วไป การเคลื่อนไหวดุจสายลม แล้วยังไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณใดๆ
หากมันเพ่งเป้าไปที่คนใดคนหนึ่ง มันจะเพ่งเป้าไปที่ลมหายใจของผู้นั้น ไม่ว่ารูปโฉมภายนอกจะเปลี่ยนแปลงเพียงใดก็ไม่อาจปิดบังไปได้
โชคดีที่นายท่านฝากฝังคำพูดนั้นมา เพราะคำนึงถึงความรัดกุมเขาถึงได้ใช้หนูสะกดวิญญาณ มิเช่นนั้นเรื่องราวคงจะบานปลายเลยทีเดียว
แม้ว่าเรื่องหนูสะกดวิญญาณลูกน้องเหล่านี้จะเคยพอได้ยินมาบ้าง แต่เขาก็ยังระแวดระวังรอบคอบ ไม่ชอบให้พวกเขาพูดถึงบ่อยครั้ง
ในร้านหนังสือ
มั่วชิงเฉินพูดคุยกับผู้รับใช้อยู่นาน ซื้อแผนที่และ ‘สนทนาแดนแปลกเสวียนโจว’ รวมไปถึงม้วนคัมภีร์หยกแนะนำภูมิประเทศหลายฉบับและประเพณีวัฒนธรรมในพื้นที่เอาไว้ ส่งหินวิญญาณอย่างใจกว้าง เงินทอนก็ยังไม่เอาถือว่าเป็นการเงินรางวัล
คำนวณหินวิญญาณที่อยู่ในมือเห็นมั่วชิงเฉินกำลังจะจากไป ผู้ดูแลลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หญิงเซียน”
มั่วชิงเฉินหันมา ชายกระโปรงสีชมพูอมขาวส่ายไหวเล็กน้อย น้ำเสียงอบอุ่นอย่างมาก “มีอะไรหรือ”
คนรับใช้รู้สึกคอแห้งผาก ทั้งๆ ที่เขาเคยพบเจอหญิงบำเพ็ญที่มีตบะบำเพ็ญสูงกว่านาง รูปโฉมสวยงามกว่านางมาก่อน แต่พวกนางล้วนไม่มีท่าทีน่าชิดใกล้เช่นหญิงผู้นี้ มองผู้ดูแลเฉกเช่นเขาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน
“หญิงเซียน หากท่านยังอยู่เพียงลำพัง พยายามอย่าออกไปข้างนอกเลย”
“หืม?” มั่วชิงเฉินนึกสนใจ
คนรับใช้กัดฟันพูดต่อไปว่า “ท่านน่าจะพอทราบ งานคัดเลือกร่างศพที่จัดขึ้นทุกห้าสิบปีจะถึงแล้ว ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้มักจะมีบรรยากาศครื้นเครงที่สุด ร้านค้าในเมืองไม่เพียงได้กำไรมากมาย แล้วยังมีนักบำเพ็ญเพียรมากมายที่ร่ำรวยมีอนาคต ณ ที่แห่งนี้ แต่ก็…มีนักบำเพ็ญเพียรอีกมากมายที่ดับสูญเพราะที่แห่งนี้
มั่วชิงเฉินมองผู้ดูแลอยู่เงียบๆ ไร้ซึ่งเสียง
คนรับใช้กลับไม่พูดต่อ
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “เจ้าพูดวกวนไม่กระจ่างเช่นนี้ ข้าช่างสงสัยยิ่งนัก”
เห็นนางหลุบตายืนนิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กรับใช้ถึงได้เกิดจิตใจที่สงสารขึ้นมา ลอบคิดว่าเรื่องพวกนี้มิใช่ข่าวลับ ในเมื่อตนเองตัดสินใจจุดไฟขึ้นมาแล้ว ก็จะต้องเป็นคนดีให้ถึงที่สุด เขากดเสียงต่ำพูดต่อว่า “หญิงเซียน ท่านดูแล้วอายุต้องน้อยมากเป็นแน่แท้ แล้วยังมีตบะบำเพ็ญอยู่ระดับสร้างรากฐานชั้นปลาย เกรงว่า…เกรงว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างมากในการหลอมร่างศพ”
มั่วชิงเฉินตื่นตกใจ คิดไม่ถึงว่าในเสวียนโจวจะมีการบีบบังคับใช้นักบำเพ็ญเพียรที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมฝึกหลอมให้กลายเป็นศพ แล้วยังเป็นความลับที่รู้กันทั่ว!
นี่…นี่มันแตกต่างอะไรจากนักบำเพ็ญเพียรมารกัน
ในใจเกิดพาลคิดไปถึงเรื่องสะกดรอยก่อนหน้านี้ในฉับพลัน หรือว่าการที่พวกเขาสองศิษย์พี่น้องจะถูกจับตามองตั้งแต่เข้าเมืองมาเพราะมีคนเกิดความคิดเช่นนี้
สติฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ!
กล้าละโมบเกิดความคิดกับนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคน แล้วยังมีผู้มากฝีมือระดับสุดยอดด้านสะกดรอยอีกสี่คน เช่นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างน้อยก็ต้องเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกระมัง
สำหรับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด…
ความคิดแรกของมั่วชิงเฉินคือเป็นไปไม่ได้ ความคิดที่สองคือไม่มีความเป็นไปได้!
หากว่าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้ใช้วิชาหลอมศพ ควบคุมศพเป็นวิธีหลัก ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่น่าจะลงมือถึงขั้นเอาถึงชีวิตผู้อื่นอย่างง่านดาย ยิ่งระดับสูงมากเพียงใดการกระทำก็ยิ่งรอบคอบมากเพียงนั้น ไม่ขัดต่อวิถีสวรรค์ หากว่าจำเป็นต้องใช้เขาก็น่าจะเลือกนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงการวิเคราะห์โดยทั่วไปเท่านั้น ในเมื่อที่แห่งนี้แม้แต่เด็กรับใช้ร้านหนังสือยังรู้เรื่องเหล่านี้ได้ เห็นชัดว่าการฆ่าคนเอาชีวิตมาหลอมศพเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว โดยเฉพาะยามที่มีงานคัดเลือกร่างศพ หากว่ามีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่คลุ้มคลั่งเล่า
นางไม่อาจให้ความหวังตัวเองแม้แต่นิด!
พอเห็นเช่นนี้แล้วเมืองไท่หยินมิอาจรั้งตัวอยู่นานได้ ยิ่งถูกคนเบื้องหลังเข้าใจตนเองมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น
เห็นหญิงสาวชุดสีชมพูอ่อนตรงหน้าจู่ๆ ก็นิ่งตะลึงไป แม้ตบะบำเพ็ญจะสูงกว่าตนเอง แต่ในนาทีนี้กลับไม่ต่างอะไรจากหญิงสาวที่ทำให้คนนึกสงสารเสียดาย เด็กรับใช้เอ่ยปลอบว่า “หญิงเซียนไม่จำเป็นต้องกังวลใจ ในเมืองไท่หยินไม่มีใครกล้าก่อเรื่อง ท่านไม่ออกไปนอกเมืองก็พอแล้ว รองานคัดเลือกศพจบลง คนที่มาจากทั่วทุกสารทิศก็จะแยกย้ายจากกันไป สถานการณ์จะดีขึ้นมาก”
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา พยักหน้ารับน้อยๆ “ขอบคุณพี่ชายแล้ว” พูดจบก็ขยับมือพลางส่งถุงเก็บหินวิญญาณอีกถุงไปให้
ผู้รับใช้ตะลึงงัน รีบเอ่ยปฏิเสธในทันใด
“พี่ชายรับไว้เถิด นี่ถือเป็นน้ำใจของข้า”
ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ ผู้รับใช้ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เก็บกลับเอาไว้
เมื่ออกมาจากร้านหนังสือ มั่วชิงเฉินแลดูนิ่งสงบหนักแน่น แต่ฝีเท้ากลับก้าวรีบเร่ง ไม่นานก็มาถึงโรงเตี๊ยมอีกแห่งหนึ่ง นางก้มหน้าเดินเข้าไป นี่คือสถานที่ที่นางนัดเจอกับเยี่ยเทียนหยวน
“มีคุณชายเยี่ยท่านหนึ่งจองห้องเอาไว้ที่นี่ใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินเคาะโต๊ะต้อนรับหิน เด็กรับบริการที่นอนราบอยู่บนโต๊ะทะลึ่งตัวได้สติจากที่ล่องลอยออกไปไกลกลับมาในทันใด พูดออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หญิงเซียนโปรดรอ ข้าน้อยจะค้นหาให้ขอรับ”
เด็กรับบริการพลิกสมุดจด เงยหน้าพูดว่า “ใช่แล้วขอรับ หญิงเซียนสกุลมั่วใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับ
เด็กรับบริการปิดสมุดบันทึกเสียงดัง “เช่นนั้นก็ใช่แล้วขอรับ คุณชายเยี่ยรอให้ท่านขึ้นไป ชั้นสองห้องหมายเลขหกขอรับ”
สายตากลับแลดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาไม่เบา
มั่วชิงเฉินเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทีนิ่งเฉย เดินจากไปช้าๆ
“ศิษย์น้อง” ไม่รอให้เดินเข้าใกล้ห้องหมายเลขหก เยี่ยเทียนหยวนก็เปิดประตูออกมา ดึงนางเข้าไปข้างใน
มั่วชิงเฉินตกใจ “ศิษย์พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
สีหน้าเยี่ยเทียนหยวนขาวซีด แม้จะเปลี่ยนรูปโฉมภายนอกแล้ว แต่ภายใต้แสงเทียนก็ยังดูหล่อเหล่าเอาการอยู่เช่นเดิม
“ศิษย์ร้อง ข้ารู้สึกว่าคนที่สะกดรอยตามเกรงว่าคงไม่ง่ายดายเช่นนั้นแน่”
มั่วชิงเฉินกำลังรู้สึกร้อนใจอยากบอกสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์ให้เยี่ยเทียนหยวนฟัง เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “ทำไมหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนหยิบยันต์ใจตรงกันออกมา ส่งให้มั่วชิงเฉินดู
มั่วชิงเฉินถลึงตาโตมองยันต์กลม จากนั้นก็หันไปมองเขาใหม่อีกครั้ง “ปลาสี่ตัวนั้นจมลงไปแล้วนี่”
เยี่ยเทียนหยวนมอมั่วชิงเฉินที่มีท่าทีสงสัย แล้วยังไว้ผมหน้าม้าตรงเท่ากัน เหมือนกับหญิงสาวน่าสงสงสารที่งกๆ เงิ่นๆ ปรากฏรอยยิ้มเอ็นดูขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “จมลงไปแล้ว แต่เจ้าดูกุ้งตัวน้อยนี่ อยู่กลางทะเลสาบไม่จมไม่ลอย”
“นี่มัน…” โปรดให้อภัยนาง ของเล่นที่แปลกประหลาดหายากเช่นนี้ นางไม่เข้าใจจริงๆ!
เสียงของเยี่ยเทียนหยวนกลับเรียบสงบและนิ่งเย็น “ปลาเหล่านั้นเป็นตัวแทนของนักบำเพ็ญเพียรที่สะกดรอยตาม และกุ้งเป็นตัวแทนของประเภทอสูรปีศาจ”
มั่วชิงเฉินลูบกรามที่แทบจะหลุดลงมา ศิษย์พี่ วุ่นวายอยู่ค่อนวัน ท่านยังมีอารมณ์ขันร้ายเช่นนี้อีก!
เสียงของเยี่ยเทียนหยวนฟังดูมีหลักการเป็นพิเศษ “กุ้งน้อยนี้เริ่มมีปฏิกิริยาเมื่อข้าออกมาจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้น อีกทั้งมันไม่ใช่ว่าจะลอยขึ้นมาในทีเดียว ไม่สังเกตดูให้ดีก็แทบจะไม่พบ นี่หมายความว่าอสูรปีศาจที่สะกดรอยตามชำนาญเรื่องการปิดบังซ่อนเร้นเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะเป็นอสูรปีศาจที่สามารถกำจัดการขับเคลื่อนของพลังวิญญาณได้ตั้งแต่กำเนิด”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วเกิดความตกใจขึ้นในแววตา นางไม่รู้จริงๆ ว่าศิษย์พี่ดูเย็นชาอยู่ตลอดยังมีด้านที่คนส่วนน้อยจะรู้เช่นนี้ด้วย
คนอื่นมักคิดว่าเขาชาติตระกูลดี คุณสมบัติครบถ้วน รูปลักษณ์หล่อเหลา ร่างกายแข็งแรง อยากได้อะไรก็ถือเป็นเรื่องง่ายดาย แต่กลับละเลยความขยันของเขา ความไม่คร้านของเขาไปเพียงเพราะเหตุผลบางประการในจิตใจ
จะต้องรู้ว่าเวลาส่วนใหญ่ของเยี่ยเทียนหยวนหมดไปกับการท่องบำเพ็ญอยู่ข้างนอก ชาติตระกูลของเขาจะช่วยเหลือได้มากมายเท่าไรกัน สำหรับเรื่องอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องช่วยเหลือ แต่กลับเป็นการดึงดูดปัญหาเข้าหาตัวมากกว่ากระมัง
สามารถฟันฝ่าขวากหนามเดินมาได้ถึงตอนนี้เขาย่อมต้องสูญเสียทุ่มเทจิตใจและสิ่งตอบแทนมากกว่าคนอื่นเป็นแน่
เขาที่เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกเคารพนับถือจากใจจริงได้อย่างไร
“ศิษย์พี่ พวกเราดูหนังสือเล่มนี้ก่อนดีกว่า หากมั่นใจเรื่องพื้นที่หุบเขามังกรแล้ว เมืองไท่หยินก็ไม่ต้องทนอยู่แล้วกระมัง” มั่วชิงเฉินนำหนังสือกองหนึ่งออกมา
เยี่ยเทียนหยวนรับไป “ภายในเมืองปกติแล้วล้วนห้ามทำลายคนอื่นแก่ชีวิต ศิษย์น้องตั้งใจออกนอกเมืองหลอกล่อให้ศัตรูออกมาตรงๆ เช่นนั้นหรือ”
มั่วชิงเฉินกางแผนที่ออกบนโต๊ะ ปลายนิ้วที่ขาวซีดจนแทบจะโปร่งทะลุค่อยๆ ละไปเรื่อยๆ “ศัตรูอยู่ที่มืด ข้าอยู่ที่สว่าง เสมือนก้างปลาที่ติดคอ ไม่สู้ออกไปปะทะกันต่อหน้าจะดีกว่า คิดว่าพวกเขาเองก็คงจะรอโอกาสที่พวกเราเสนอตัวออกนอกเมืองเช่นกัน ศิษย์พี่คงไม่ทราบว่ายามที่ข้าอยู่ในร้านหนังสือ ได้ทราบข่าวบางอย่างมาจากผู้รับใช้ที่นั่น”
พูดถึงตรงนี้ก็ค่อยๆ หาเมืองไท่หยินบนแผนที่พบ มองนิ่งไปตรงนั้นแล้วหยุดลง “ทุกครั้งที่ถึงเวลางานคัดเลือกร่างศพ ที่นี่ก็จะไม่สงบอย่างมาก เรื่องฆ่าคนหลอมศพไม่ได้เป็นสิ่งหายากแปลกใหม่ รอจนงานคัดเลือกศพจบลงแล้วก็จะกลับมาสงบอีกครั้ง ศิษย์พี่ พวกเราลองคิดถึงแผนการที่เลวร้ายที่สุด คนที่จับจ้องพวกเราเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงเช่นนี้คิดจะลงมือกับพวกเราไม่มีทางที่จะทำไปเพราะงานคัดเลือกร่างศพที่น่ารำคาญเช่นนั้นเป็นแน่ พวกเราฉวยโอกาสออกไปตอนนี้ คนเยอะเรื่องวุ่นวาย ไม่แน่ว่าจับปลาในน้ำขุ่นอาจจะสามารถหลีกหนีอย่างรวดเร็ว หากรอจนงานคัดเลือกจบลงแล้วคงจะยิ่งถูกเขาจับตามองมากขึ้น หากว่าโชคไม่ร้ายขนาดนั้น คนที่จับจ้องพวกเราเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณล่ะก็…”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไป แค่นหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้น จะมีอะไรต้องหวาดกลัวอีก”
“ศิษย์น้องพูดถูก” เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือใหญ่ออกมา ลูบผมหน้าม้าที่ดูหนาของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินนิ่งอึ้งไป
เยี่ยเทียนหยวนก็นิ่งอึ้งไปเช่นเดียวกัน
แต่ที่ทำให้มั่วชิงเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็คือเขากลับลูบผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงชักกลับไปโดยไว พึมพำว่า “หนาไปหน่อย”
หนาไปหน่อย…นี่ถือว่าชมหรือไม่
เส้นเลือดตรงขมับของมั่วชิงเฉินเต้นตุบ นั่งลงอย่างไม่สนใจอะไรเริ่มพลิกอ่านหนังสืออย่างละเอียด
เยี่ยเทียนหยวนเองก็หยิบหนังสือหนึ่งเล่มขึ้นมาอ่านเช่นเดียวกัน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ภายในห้องเล็กเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียง
ยามค่ำเข้าเยือนทั้งสองคนถึงได้พลิกอ่านแผ่นหยกทั้งหมดที่มีอ่านจนแล้วสิ้น
พื้นที่หุบเขามังกรนั้นมีเขียนบรรยายเอาไว้จริง แต่พูดเพียงว่าที่แห่งนั้นเป็นหุบเขาลึก ช่วงเวลาโบราณก่อนหน้านี้เคยมีมังกรแท้ดับสูญ
เพราะมังกรแท้ถือเป็นเทพชั้นสูง แม้จะกลายเป็นกองกระดูกซากขี้เถ้ามาหลายหมื่นพันปี แต่ก็ยังคงแพร่ลมหายใจมังกรอันหนาแน่น
และลมหายใจแห่งมังกรนี้กลับเป็นลมหายใจที่มนุษย์หวาดกลัวจนไม่กล้าก้าวเท้า เล่าสืบต่อกันมาว่ามีเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเท่านั้นที่จะสามารถยืนหยัดไปสืบเสาะได้ แล้วยังไม่อาจเข้าไปลุกทำได้เพียงย้อนกลับมา ในอดีตเคยมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองท่านเข้าไปข้างในเพราะความไม่ยอมแพ้ แต่กลับไม่ได้ออกมาอีก
“ลมหายใจแห่งมังกร ศิษย์พี่ คิดไม่ถึงว่าพื้นที่หุบเขามังกรจะมีเพียงนักบำเพ็ญเพียงระดับก่อกำเนิดเท่านั้นที่เข้าไปได้” มั่วชิงเฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ
นี่มันช่างมนุษย์ลิขิตไม่สู้สวรรค์ลิขิต
เยี่ยเทียนหยวนเห็นมั่วชิงเฉินมีท่าทีมืดมน เอ่ยปลอบว่า “ศิษย์น้องอย่ากังวลไป ไม่แน่ว่าอาจยังมีทางอื่น”
มั่วชิงเฉินดวงตาเป็นประกาย “วิธีอะไรกัน”
“ข้าเคยเห็นของสิ่งหนึ่งบนม้วนคัมภีร์หยกหลอมอาวุธฉบับหนึ่ง มีชื่อเรียกว่าร่มไร้กังวล สามารถป้องกันลมหายใจแปลกประหลาดได้ ลมหายใจมังกรนี้น่าจะถือเป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน แต่ลมหายใจแห่งมังกรในพื้นที่หุบเขามังกรมีระดับหนาแน่นมากเพียงใดนั้นพวกเรายังต้องไปสัมผัสด้วยตนเอง ข้าถึงจะหลอมขึ้นมาได้”
จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าระหว่างคนและคนเหตุใดถึงแตกต่างกันมากเช่นนี้ อยู่กับถังมู่เฉินมานานจนเคยชิน พอมีเรื่องดีมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ช่างทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ!
“ศิษย์พี่ วัตถุดิบการหลอมประดิษฐ์ร่มไร้กังวลคงหาได้ไม่ง่ายกระมัง”
เยี่ยเทียนหยวนหัวเราะเบาๆ “วัตถุดิบซับซ้อน แต่วัตถุดิบการหลอมอาวุธส่วนใหญ่ข้าล้วนเตรียมไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อเพิ่มบางส่วน ของหนึ่งในนั้นอาจจะหาซื้อไม่ได้ ข้าสามารถไปหาด้วยตนเองได้ ร่มไร้กังวลนี้ยากตรงการหลอมประดิษฐ์ ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลใจ เรื่องการหลอมให้เป็นหน้าที่ข้า”
มั่วชิงเฉินรู้สึกดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอุ่น โชคชะตานี้ถือว่า…เป็นปกติเสียที!