พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 429
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณสีหน้าเขียวคล้ำ แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มือไม้พลิกไปมาติดต่อกันยิงเคล็ดวิชาออกมากระแสหนึ่ง
ลำแสงทองหนึ่งสายปรากฏออกมากลางอากาศ แสงทองประจายกลายเป็นดาบทองทรงโค้งในทันใด ดาบทองบางอย่างมาก เหมือนว่ากรีดทะลุสิ่งกีดขวาง แหวกทางแสงจ้าสีทองออกมาพุ่งโจมตีมั่วชิงเฉิน
แววตามั่วชิงเฉินเป็นประกาย
เคล็ดวิชาดาบทองไท่อี่!
เป็นไปได้อย่างไร!
เคล็ดวิชาดาบทองไท่อี่เป็นวิชาลับเอกลักษณ์ของพรรคเหยากวง แม้จะไม่ใช่ชั้นยอดแต่ก็ไม่มีทางแพร่งพรายไปภายนอก ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณผู้นี้เป็นใครกันแน่เหตุใดถึงรู้วิชาธาตุโลหะของพรรคเหยากวง
เคล็ดวิชาดาบทองไท่อี่ถูกปล่อยออกไป แววตาของเยี่ยเทียนหยวนก็แฝงความตื่นตะลึงเอาไว้เช่นเดียวกัน เห็นว่าชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณผู้นั้นเ**้ยมโหด พุ่งเป้าไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉิน เขากลับไม่คิดอย่างอื่น ห่วงทองในมือถูกโยนออกไปกระแทกเข้าบนดาบทองที่ดึงความสนใจเล่มนั้นอย่างรวดเร็วจนไม่อาจจับสังเกต
เสียงดังตึ้ง เสียงกระทบโลหะดังเข้าในหู จากนั้นก็เห็นว่าดาบทองเล่มบางสลายกลายเป็นแสงประกายกระจายกลางอากาศ และห่วงกลมสีทองก็กลับเข้ามาในมือเยี่ยเทียนหยวนอีกครั้ง
มองดูชายหญิงชุดเขียวที่ยืนหน้าคนหลังคน สีหน้าเขียวคล้ำของชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณค่อยๆ กลายเป็นซีดขาว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นเส้นเดียวจ้องเขม็งมองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคน
นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณส่งเสียงถอนหายใจเบาจนแทบจะไม่ได้ยินออกมา “ช่างเถิด วันนี้ตัวข้าสกุลหันตกอยู่ในมือของพวกเจ้าสองคน ข้ายอมแพ้แล้ว จะฆ่าจะแกงขึ้นอยู่กับสั่งของท่านทั้งนั้น”
ได้ยินคำว่า ‘ตัวข้าสกุลหัน’ มั่วชิงเฉินนึกฉุกใจขึ้นมา รู้สึกว่ามีความทรงจำที่ห่างออกไปไกลปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง แต่เพราะวันเวลาที่ยาวนานเหมือนว่ามีผ้าบางบดบังไว้ ทั้งๆ ที่รู้สึกมีปัญหาแต่กลับคิดไม่ออกว่าเหตุใดในใจถึงได้เกิดความรู้สึกเช่นนี้
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้รู้สึกดีนัก ทำให้นางเหม่อลอยไปอยู่ชั่วครู่
เยี่ยเทียนหยวนเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไป นิ้วมือเรียวยาวดุจไม้ไผ่กุมเข้าหากันเล็กน้อย ห่วงทองอันเล็กประกายแสงจ้างแสบตา เปลวไฟสีม่วงที่ผสมอยู่ลอยออกไปทางชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณ
เขาเดาว่าชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณอาจจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับพรรคเหยากวง แต่นั้นจะทำไม สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ฆ่าแกงหรือจะมารำลึกความหลังเช่นนั้นหรือ
เขาไม่เคยฆ่าทำลายผู้บริสุทธิ์ แต่หากคนอื่นสร้างโทษให้ก่อน ต่อให้ศิษย์น้องอยู่ด้วยกันกับเขา เขาก็ไม่มีทางใจอ่อน
แสงม่วงเลือนราง สะท้อนใบหน้าที่ออกซีดขาวของชายหนุ่ม
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ผู้เฒ่าที่แฝงความงามอันเป็นอมตะปรากฏขึ้นในหัวของมั่วชิงเฉิน
“ศิษย์พี่ รอก่อน!”
ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน นิ้วของเยี่ยเทียนหยวนกระดิกน้อยๆ ห่วงทองหมุนตัวบินกลับมาอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณลืมตาขึ้นมองดูมั่วชิงเฉินด้วยความประหลาดใจ มือที่กำแน่นเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
เขาลอบเอาไข่มุกเม็ดหนึ่งที่อยู่บนฝ่ามือเก็บลงไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
นั่นคือมุกอิน
เขาเป็นคนเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น เมื่อเห็นว่าไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดก็ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ชายหญิงคู่นั้นจะลงมือฆ่าตนเองก็ไม่มีทางที่จะใช้วิธีที่เ**้ยมโหดเกินไป
และเขาเองก็เข้าสู่วิถีหลอมศพมานานหลายปี เรียนรู้วิชาลับชนิดหนึ่ง วิชาลับนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้นั่นถือยามที่ร่างหยาบถูกทำลาย สามารถใช้ดวงจิตของตนใส่ไว้ในมุกอิน และใช้วิชาลับบำรุงพลังชีวิต หากว่ามีโอกาสที่เหมาะสมก็สามารถชิงร่างเกิดใหม่ได้อีกครั้ง
“เจ้าสกุลหันหรือ” เสียงอ่อนหวานเรียบนิ่งดังขึ้น
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณขมวดคิ้ว แต่ก็ยังตอบว่า “ใช่แล้ว”
ในใจมั่วชิงเฉินเกิดมั่นใจอยู่บ้างแล้ว ถามต่อไปว่า “ขอทราบชื่อได้หรือไม่”
คำพูดนี้เอ่ยออกมาเยี่ยเทียนหยวนเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ สายตาที่มองชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณจริงจังขึ้นมา
เหตุใดเขาถึงไม่รู้ว่าศิษย์น้องยังรู้จักคนสกุลหันที่เหยากวงด้วย
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณคิดว่าการกระทำของสตรีตรงหน้าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก เมื่อครู่นี้ยังเอาเป็นเอาตาย มาถึงตอนนี้กลับถามไถ่ชื่อสกุลขึ้นมา
แต่สำหรับเขาแล้ว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ข้าน้อยหันผิง”
‘เป็นเขาจริงด้วย!’
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก คิดถึงครั้งแรกที่ไปเยือนเมืองเทียนเหยา เพราะยามที่หลบซ่อนตัวตนในเมืองมนุษย์ได้รู้จักเจ้าของแผงข้างเคียงสองสามเจ้า ผู้เฒ่าหันที่ขายชาวิญญาณผู้นั้นถือว่าเป็นคนคุ้นเคย
หลังจากนั้นมาผู้เฒ่าหันตายเพราะเก็บชา ไหว้วานอาจารย์ให้มอบทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายปีให้ตนเอง รบกวนหากตนเองมีสักวันที่อาจได้พบหันผิงจึงมอบของส่งคืนให้เขา
ตนเองในตอนนั้นแม้จะยังมีกำลังน้อย แต่ก็คิดตัดสินใจ หากว่าในอนาคตไปถึงพรรคเหยากวงได้บังเอิญพบหันผิง จะต้องทรัพย์สมบัติของผู้เฒ่าหันที่สั่งสมมานานหลายปีส่งคืนให้อย่างครบถ้วน
แต่น่าเสียดายที่จนถึงนางได้กลายเป็นศิษย์ชั้นยอดของเหยากวง จากเด็กน้อยระดับหลอมลมปราณกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ หันผิงผู้นั้นก็ยังไม่กลับมา
ถึงตอนนี้คนซื้อเหล้าในวันวานที่ห่างออกไปไกลกลายเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณต่อตนเอง และลูกชายที่ผู้เฒ่าคำนึงติดหากลับมาอยู่ที่เสวียนโจวดินแดนบูรพาซึ่งอยู่ห่างจากดินแดนเทียนหยวนกว่าหมื่นลี้ กลายเป็นเขี้ยวเล็บของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดบางคนที่ศึกษาค้นคว้าสายหลอมศพ
แต่นี่ก็คงเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ของโลกบำเพ็ญเพียรกระมัง ขอเพียงมีชีวิตอยู่ มีอายุยืนยาวก็ย่อมต้องได้พบเรื่องที่คิดว่าเป็นสิ่งบังเอิญแต่จริงแล้วคือสวรรค์ลิขิตไว้แล้วมากมาย
มีเรื่องมากมายในเมื่อเกิดเหตุ ย่อมต้องมีผล แต่เพียงเพราะคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่มีอายุขัยเพียงน้อยนิด พวกเขาเห็นเพียงเหตุที่เกิดขึ้น แต่กลับรอไม่ถึงวันแสดงผล
“เจ้ามาจากพรรคเหยากวงหรือ” เสียงมั่วชิงเฉินเรียบนิ่ง เหมือนแค่ถามว่า ‘กินข้าวหรือยัง’ คำถามทั่วไป
ในที่สุดสีหน้าของชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณก็เปลี่ยนไป พูดเสียงหลงว่า “พวก…พวกเจ้าเป็นใครกันแน่”
เขาอดนึกคิดในใจอย่างรวดเร็วไม่ได้ ชายหญิงคู่นี้จู่ๆ ก็หยุดจะฆ่าแกง หรือจะดูออกว่าตนเองมาจากพรรคเหยากวง
เช่นนี้ก็แปลว่าพวกเขาก็เป็นศิษย์พรรคเหยากวงหรือ
ใช่แล้ว จะต้องเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ตนเองแสดงเคล็ดวิชาดาบทองไท่อี่จนทั้งสองคนนี้รู้ที่มาที่ไปของตนจนทำให้สตรีผู้นั้นไต่ถามออกมา
มั่วชิงเฉินเห็นบุรุษผู้นี้แสดงท่าทีตื่นตะลึง แต่ความตื่นตะลึงกลับไปไม่ถึงดวงตา ลอบคิดในใจว่าบุรุษผู้นี้ช่างมีความคิดลึกล้ำนัก ยื่นมือโยนของชิ้นหนึ่งออกไป พูดเรียบๆ ว่า “เจ้าดูเอาเองเถิด”
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณเบี่ยงหลบตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นชัดว่าของที่ถูกโยนมาเป็นเพียงถุงเก็บวัตถุถุงหนึ่งเท่านั้น จึงรับเอาไว้ด้วยสีหน้าประหม่า เหลือบมองมั่วชิงเฉินทีหนึ่งแล้วลอบเสาะมอง
มั่วชิงเฉินยืนอยู่เงียบๆ พิจารณามองท่าทีเปลี่ยนแปลงไม่หยุดของชายหนุ่ม
ผ่านไปนานในที่สุดสายตาของชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณก็ละออกมาจากถุงเก็บวัตถุ หันมามองด้วยความลำบากเล็กน้อย มองตรงไปยังมั่วชิงเฉิน พูดเสียงสั่นเครือ “สหายเต๋า…เป็นแม่หญิงที่บิดาเคยพูดถึงท่านนั้นหรือ”
สายตาของมั่วชิงเฉินกวาดมองดวงตาแดงก่ำของชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณ พยักหน้าน้อยๆ “เป็นข้า ตอนนี้สมบัติของผู้เฒ่าหันก็ได้กลับคืนสู่เจ้าของแล้ว ถือว่าเรื่องในใจของข้าหนึ่งเรื่องได้จบลงไปเช่นกัน”
ได้ยินคำตอบยืนยันของมั่วชิงเฉิน ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณกำถุงเก็บวัตถุที่ค่อนข้างเก่าในมือแน่นขึ้น จู่ๆ ก็ค้อมตัวแสดงทำความเคารพ “ตัวข้าสกุลหันขอบพระคุณสหายเต๋า”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ตอนนี้ได้รู้ว่าเขาเป็นลูกชายผู้เฒ่าหันย่อมไม่อาจลงมือฆ่าได้ คงไม่ใช่ว่าเพิ่งจะทำตามคำสั่งเสียของผู้เฒ่าหันไป ต่อจากนั้นก็จัดการฆ่าลูกชายของเขากระมัง
เมื่อคิดได้ว่าอีกไม่นานทั้งสองคนก็จะออกจากที่นี่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่หุบเขามังกร ต่อให้ปล่อยเขาไปก็ไม่ได้มีผลกระทบมากเท่าไรนัก มั่วชิงเฉินหันไปมองเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ พวกเราไปเถิด”
เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้ถามอะไรอีก พยักหน้าน้อยๆ ทั้งสองคนหมุนตัวเตรียมจากไป
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณมองแผ่นหลังของทั้งสองคน ฝืนทนอดกลั้นแต่ก็ตะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหว “สหายเต๋าทั้งสองโปรดรอชั่วครู่”
“สหายเต๋าหันมีกิจอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
หันผิงลอบสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงลดความเ**้ยมโหดลงไปมาก มีความละมุนเพิ่มขึ้น “สหายเต๋าช่วยพูดเรื่องในอดีตตอนอยู่ที่เมืองเทียนเหยาให้ตัวข้าสกุลหันฟังได้หรือไม่”
เห็นสายตาของเขาแลมีความหวังแล้วยังแกมความกังวลที่จะถูกปฏิเสธ มั่วชิงเฉินลอบถอนหายใจ เลือกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าหันบางเรื่องมาเล่าให้ฟัง
เสียงของนางอ่อนหวานเรียบนิ่ง ทั้งๆ ที่พูดเรื่องธรรมดาสัพเพเหระทั่วไป แต่ดวงตาของหันผิงกลับค่อยๆ แดงขึ้น
ตราบจนมั่วชิงเฉินหยุดเล่าเขาก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย ท่าทีบนสีหน้าตะลึงงันไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“สหายเต๋าหัน ตอนนั้นข้ายังอายุน้อย เรื่องของผู้เฒ่าหันที่พอรู้ก็มีเพียงเท่านี้ พวกเราขอตัวก่อน” มั่วชิงเฉินไม่มีอารมณ์มาจมปลักอยู่กับความทุกข์เป็นเพื่อนเขา ใครจะไปรู้ว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่หลบอยู่เบื้องหลังยังมีอะไรแอบซ่อนอยู่หรือไม่
หันผิงได้สติกลับคืนมา สายตาที่มองมั่วชิงเฉินมีความอ่อนโยนไม่เหมือนที่เคยเป็น “สหายเต๋าคุณธรรมสูงนัก บิดา…ไม่ได้ไหว้วานคนผิด…”
มุมปากมั่วชิงเฉินยกโค้งเล็กน้อย ยิ้มออกมา
ในถุงเก็บวัตถุใบนั้นเป็นทรัพย์สมบัติที่ผู้เฒ่าหันสั่งสมมาทั้งชีวิต แต่สำหรับหันผิงในตอนนี้แล้วเกรงว่าคงไม่มีอะไรให้พูดถึง สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือความตั้งใจของบิดากระมัง
ความคิดที่ลึกล้ำมากเพียงใดก็ไม่อาจปิดบังลิขิตสวรรค์ความเป็นพ่อลูกไปได้
“สหายเต๋ามีบุญคุณต่อตัวข้าสกุลหัน ตัวข้าสกุลหันจดจำไว้ในใจ ขอให้สหายเต๋าทั้งสองได้ให้ตัวข้าสกุลหันเอ่ยเตือนสักประโยค พวกท่านรีบออกไปจากเมืองไท่หยินจะดีกว่า”
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนยืนเคียงข้างกัน ยิ้มแต่ไม่พูดจา
หันผิงพูดต่อว่า “เมืองไท่หยินมีนักบำเพ็ญระดับก่อกำเนิดผู้หนึ่ง เรียกกันว่าวั่งซั่งเจินจวิน ฝีมือการหลอมศพของเขาถือว่าชั้นแนวหน้า แม้แต่ตระกูลเจี่ยงก็ต้องไว้หน้าเขาสามส่วน ไม่นานมานี้เขาศึกษาวิธีการหลอมประดิษฐ์ศพคู่รัก จำต้องใช้ร่างกายของคู่ชายหญิงระดับสร้างรากฐานขึ้นไปคู่หนึ่ง แต่คนที่เหมาะสมกลับยากจะหาพบ”
มั่วชิงเฉินฟังอยู่นิ่งๆ รู้ว่าการที่หันผิงพูดเช่นนี้ถือเป็นการตอบแทน
“คู่ชายหญิงนี้ไม่ได้ต้องการเพียงเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี แล้วยังต้องสามารถบรรลุความเป็นหยินความเป็นหยางในร่างกาย ตบะบำเพ็ญอย่างมากแตกต่างกันได้เพียงหนึ่งขั้น รวมไปถึงข้อกำหนดของอายุ ตราบจนตอนนี้วั่งซั่งเจินจวินก็ยังหาตัวเลือกที่เหมาะสมไม่พบ และในวันนั้นบังเอิญได้พบกับพวกท่านพอดี” เสียงของหันผิงเรียบนิ่งฟังแล้วดูเย็นชาอยู่บ้าง
สีหน้ามั่วชิงเฉินเย็นชา ไม่ผิดจากที่คิดไว้นักบำเพ็ญระดับก่อกำเนิดผู้นั้นคิดจะใช้คนเป็นหลอมศพ
ที่จริงการหลอมศพไม่ได้ถือเป็นวิชารอง อย่างเช่นนิกายอิ่นซือในดินแดนเทียนหยวน ก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในสี่พรรคแปดนิกาย
แต่การบีบบังคับใช้คนเป็นมาหลอมศพถือว่าขัดขืนลิขิตสวรรค์แล้ว
ดูท่าพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องช่างโชคไม่ค่อยดีจริงๆ
มั่วชิงเฉินมองเยี่ยเทียนหยวนอย่างจนปัญญาทีหนึ่ง แต่กลับพบว่าความตึงเครียดของเขากลับผ่อนคลายลง เหมือนว่า…กำลังดีใจ?
ละทิ้งความรู้สึกน่าขันนี้ลง มั่วชิงเฉินค้อมตัวให้หันผิงเล็กน้อย “ขอบคุณสหายเต๋าหันที่บอกเล่า พวกเราขอตัวก่อน หากว่าได้พบกันอีกเมื่อไร หวังว่าจะไม่ใช่ศัตรู”
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเดินแนบชิดจากไป เสียงของหันผิงลอยมาจากด้านหลัง “สหายเต๋าทั้งสอง ทำไมถึงไม่รีบแต่งงานกันเล่า”
มั่วชิงเฉินซวนเซ เดินเร็วกว่าเดิม
เยี่ยเทียนหยวนไม่ละสายตา แต่ริมฝีปากกลับยกขึ้นน้อยๆ
ครึ่งเดือนผ่านไปชายหญิงชุดเขียวคู่หนึ่งค่อยๆ ร่อนตัวลงมาจากบนอากาศ
หญิงสาวยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน ยื่นหัวออกไปสอดส่อง “ศิษย์พี่ นี่คือพื้นที่หุบเขามังกรอย่างนั้นหรือ”