พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 435
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
“ข้าสกุลมั่ว” มั่วชิงเฉินเห็นนักบวชเบิกตาโต ท่าทางตื่นเต้น ไม่ทราบว่าเหตุใดใจถึงได้เต้นแรงตามขึ้นมาเช่นกัน เหมือนว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น
ได้ยินคำตอบยืนยันจากมั่วชิงเฉิน นักบวชจ้องมองใบหน้านาง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “เจ้าลองยิ้มหน่อยซิ”
“หา!” มั่วชิงเฉินนิ่งงัน คิดไม่ถึงว่านักบวชจะเสนอข้อต่อรองแสนประหลาดเช่นนี้ออกมา
“เจ้าลองยิ้มหน่อยซิ” นักบวชเริ่มใจร้อน
มั่วชิงเฉินจะรู้สึกแปลกใจโดยไร้เหตุผล แต่สัญชาตญาณในใจกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ขยับมุมปากยิ้มให้ดู ลักยิ้มข้างริมฝีปากปรากฏให้เห็น
เรื่องต่อจากนั้นทำให้มั่วชิงเฉินต้องตกตะลึงพรึงเพริด นักบวชกลับยื่นนิ้วออกมาจิ้มลักยิ้มข้างริมฝีปาก
สีหน้ามั่วชิงเฉินดำคล้ำในทันใด “เจ้าทำอะไร”
นักบวชไม่ได้ตอบคำถามนาง พึมพำว่า “ชิงเฉิน?”
สีหน้ามั่วชิงเฉินเปลี่ยนไป “เจ้าเป็นใคร”
ปฏิกิริยาของนางถือเป็นการพิสูจน์การคาดเดาของนักบวชแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่ามือของตนเองโดนนักบวชฉวยไปจับ ทันใดนั้นก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา
กลิ่นไม้จันทร์หอมอ่อนๆ ลอยมาปะทะ มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไปผลัก แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านบน “ชิงเฉิน ข้าคือหู่โถวอย่างไรเล่า”
มือของมั่วชิงเฉินนิ่งค้างกลางอากาศ ทั้งร่างรู้สึกมึนงงไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา มองไปยังใบหน้าที่อยู่ใกล้เพียงคืบ
เป็นใบหน้าละอ่อนกว่าวัย มองดูแล้วเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะโตเต็มวัย ตอนนี้ดวงตากลมโตดำขลับอมยิ้มจับจ้องนาง แววตาแฝงความตื่นเต้นเอาไว้ มีทั้งตกใจ และยังมีความยินดีที่ปกปิดไม่มิดให้ได้เห็น
มั่วชิงเฉินกระพริบตา ประกายรื้นในดวงตาทำให้การมองเห็นแลเลือนลาง
มิน่าครั้งแรกที่ได้พบเขา แม้จะหาเรื่องวุ่นวายมาให้ตนไม่น้อย ปากนางกล่าวโทษเขา แต่ในใจกลับไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านแม้แต่น้อย แม้กระทั่งยังมีความสนิทสนมอีกด้วย
ยามที่ทั้งสองคนแยกจากกัน หู่โถวเพิ่งจะอายุเจ็ดปี จากเด็กชายผู้หนึ่งเติบโตเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นแท้จริงแล้วช่างเปลี่ยนแปลงมากนัก
ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึก ตอนนี้มาพิจารณาดูให้ละเอียดถึงพบว่ายังคงมีเงาเมื่อวัยเยาว์ให้ได้เห็น
“ชิงเฉิน เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เจ้ายังจำข้าไม่ได้หรือ ข้าคือหู่โถว เจ้าสิบห้าอย่างไรเล่า ส่วนเจ้าคือเจ้าสิบหก” เสือน้อยกระชับคนในอ้อมอกแน่นมากขึ้น
มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจลึก สงบอารมณ์ที่ตื่นเต้นลง ยิ้มและพูดว่า “หู่โถวน้อย หากเจ้ายังไม่ปล่อย ข้าจะหายใจไม่ออกแล้ว”
เสือน้อยปล่อยมือ ยิ้มอย่างรู้สึกละอายใจ ฟันเขี้ยวปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
ทั้งสองคนไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนในวันวายอีกต่อไป ความรู้สึกที่ได้กลับมาพบกันใหม่หลังจากแยกจากกันมานานแม้จะปั่นป่วนตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่สิ่งที่แสดงออกมายังคงสงบลง
นั่งลงเคียงบ่ากัน มั่วชิงเฉินอมยิ้มถามขึ้นว่า “หู่โถว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”
หู่โถวยิ้มด้วยความดีใจ “ตอนที่เพิ่งพบเจ้าข้าก็รู้สึกเหมือนเคยเจอที่ใดมาก่อน โดยเฉพาะเมื่อเจ้ายิ้มแล้วมีลักยิ้มปรากฏให้เห็น ความรู้สึกเช่นนั้นช่างรุนแรงนัก ข้าคิดว่าหากเจ้าเป็นเจ้าสิบหกก็คงจะดี แต่ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ถึงได้เก็บความคิดนี้ลงไป เมื่อครู่ได้ยินว่าเจ้าสกุลมั่ว ในใจของข้าเกิดความรู้สึกล่วงหน้าอย่างแรงกล้า เจ้าจะต้องเป็นชิงเฉินแน่!”
พูดถึงตรงนี้หู่โถวก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เสียงขึ้นจมูกหนักขึ้น “ชิงเฉิน เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดีจริง”
มั่วชิงเฉินหัวเราะทั้งน้ำตา “ใช่แล้ว หู่โถว พวกเรายังมีชีวิตอยู่ ช่างดีเหลือเกิน ยังมีพี่เก้า พี่สิบ พี่สิบสี่…”
หู่โถวเบิกตาโต “พี่สิบสี่ นาง…นางยังมีชีวิตอยู่หรือ ชิงเฉิน พวกเจ้าอยู่ด้วยกันใช่หรือไม่ ในตอนนั้นเจ้ามีชีวิตรอดได้อย่างไร”
“พวกข้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน” มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง มองไปยังไออากาศสีม่วงอมเขียวที่ลอยคลุ้งอยู่ไม่ไกล เริ่มพูดถึงเรื่องราวที่ประสบพบพาลในตอนนั้นให้ฟังช้าๆ
นางพูดถึงเรื่องติดตามท่านปู่ไปเมืองเทียนเหยาเพื่อขายเหล้าให้มีชีวิตรอด พูดถึงท่านปู่ถูกคนทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ตนเองสมัครเข้าพรรคเหยากวง และพูดถึงเรื่องที่ได้พบกับพี่สิบสี่มั่วหนิงโหรวอย่างบังเอิญที่ทะเลขนาบใจ
จากนั้นก็พูดไปถึงตอนที่เพิ่งเริ่มเกิดศึกเต๋ามาร ได้พบพี่เก้ามั่วเฟยเยียนที่สำนักลั่วสยา และในหุบเขาลั่วเยี่ยนแห่งเจ็ดศึกมหากาฬได้พบกับพี่สิบมั่วหร่านอี และพูดไปถึงตอนที่เพิ่งเริ่มวิกฤตอสูรได้บังเอิญมาถึงสิบทวีปบูรพาพร้อมกับสหายเต๋าหลายคนโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเพื่อที่จะตามหาไม้สะกดวิญญาณจึงได้มาเสวียนโจว เข้ามายังพื้นที่หุบเขามังกรแห่งนี้
แยกจากกันมานานเกินไป ประสบพบเรื่องราวมามากเกินไป มั่วชิงเฉินพูดอยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงได้หยุดลง ทันใดนั้นก็รู้สึกคอแห้งผากขึ้นมา หยิบน้ำเต้าเหล้าลูกหนึ่งออกมาจากถุงเก็บวัตถุขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง
หู่โถวสายตาเป็นประกาย “ชิงเฉิน เจ้ายังเหมือนกับตอนเป็นเด็กเลย ชอบดื่มเหล้า”
มั่วชิงเฉินยิ้มแกมเศร้า “ใช่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีใครมาบ่นข้าแล้ว”
หู่โถวนิ่งเงียบ ยื่นมือออกไปตบบ่ามั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เจ้าอย่าเศร้าไป พวกเราไปหาไม้สะกดวิญญาณด้วยกัน จากนั้นสะกดวิญญาณของท่านปู่ห้าเอาไว้ หลังจากนี้หาโอกาสไปโลกผีสักครั้ง ทำให้วิญญาณของท่านปู่ห้าครบถ้วน เช่นนั้นเขาถึงจะกลับมาเกิดใหม่ได้”
“โลกผี?” ฟังถึงตรงนี้ ใจของมั่วชิงเฉินกระตุกไป ไม่รู้ว่าเหตุใด สัญชาตญาณพาลคิดไปถึงไฟอินหยางย้อนใจของถังมู่เฉิน “หู่โถว ข้าเคยเห็นตามตำราบางเล่มเกี่ยวกับการพรรณนาถึงโลกผี แต่โลกผีมีอยู่จริงอย่างนั้นหรือ”
หู่โถวพยักหน้า “มีอยู่จริง พวกข้าผู้บำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณ ศึกษาค้นคว้าคือการสั่งสมบุญทำความดี หนึ่งในนั้นคือการโปรดวิญญาณที่ตกค้างอยู่ในโลกมนุษย์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ ถือว่าเป็นวิธีการบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญสร้างกุศลประเภทหนึ่งเหมือนกัน ได้ยินพระอาจารย์พูดว่าหลายปีก่อนนี้ท่านเคยได้รู้จักกับวิญญาณร่อนเร่ที่แอบหนีออกมาจากโลกผีมายังโลกมนุษย์ หลังจากที่ผีร่อนเร่ตนนั้นถูกพระอาจารย์เทศนาแล้วก็รู้ซึ้งในพระธรรมซาบซึ้งในบุญคุณ เปิดเผยเรื่องราวในโลกผีบางอย่างให้ฟัง”
ได้ยินคำตอบยืนยันของหู่โถว มั่วชิงเฉินรู้สึกตื้นตันอยู่เล็กน้อย
ท่านปู่มีเศษเสี้ยววิญาณหลงเหลือบนโลกมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเขายังต้องไม่ได้กลับชาติไปเกิดเป็นแน่ หากว่าเข้าไปในโลกผีได้จริง ไม่ใช่ว่าจะยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกอย่างนั้นหรือ
“หู่โถว เช่นนั้นจะเข้าไปในโลกผีได้อย่างไร”
หู่โถวผายมือ “พระอาจารย์ไม่ได้พูดไว้ แต่ข้าเคยเห็นในม้วนคัมภีร์หยกฉบับหนึ่งของพระอาจารย์ การเข้าไปในโลกผีสิ่งที่ต้องการคือพื้นที่พลังหยินขั้นสุด และวันที่เกิดจันทรุปราคา นอกจากนั้นแล้วหากว่าคนมีชีวิตอยากเข้าไปในโลกผี ก็ยังต้องให้คนที่สื่อสารกับวิญญาณนำทางถึงจะสามารถเข้าไปได้”
เห็นมั่วชิงเฉินฟังแล้วตื่นตะลึงนิ่งไป หู่โถวตบบ่าของนางอีกครั้ง “ชิงเฉิน เจ้าอย่าท้อใจ ในเมื่อโลกผีไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานเพ้อฝันอีกต่อไป พวกเราจะต้องหาวิธีได้เป็นแน่”
มองดูเด็กหนุ่มที่แต่ก่อนแขนป้อมขาป้อม พอยิ้มก็เห็นฟันหน้าหลออยู่กลายเป็นชายหนุ่มรูปงามกำลังปลอบประโลมตนเองอยู่อย่างจริงจัง มั่วชิงเฉินรู้สึกเกิดความอบอุ่นขึ้นในใจ
บางครั้งการที่ร่อนเร่มาถึงสิบทวีปบูรพาพบเจอทั้งอันตราบ ทั้งเรื่องโชคชะตาแปลกประหลาด สับเปลี่ยนหมุนวน คลื่นใหญ่พัดโหมกระหน่ำเพียงเพื่อที่จะได้พบเจอกันในครั้งนี้กระมัง
สวรรค์ ไม่ได้ใจร้ายกับนางเท่าไรนัก
“หู่โถว แล้วเจ้าเล่า เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่สิบทวีปบูรพา แล้วยังกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณ ตอนนั้นเจ้าได้ถูกเคลื่อนย้ายไปพร้อมพี่สิบอย่างนั้นหรือ”
หู่โถวเกาหัวล้านของตัวเอง “ข้าเองก็ไม่รู้ ตอนนั้นถูกท่านปู่จับส่งเคลื่อนย้าย ข้าจะได้ว่าตอนนั้นยังจับมือของพี่สิบเอาไว้แน่น แม้ข้าจะไม่ชอบพี่สิบมาตลอด แต่ตอนนั้นคิดว่าพี่สิบเป็นเพียงญาติเพียงคนเดียวแล้ว ย่อมไม่คิดแยกห่างออกจากนางเป็นแน่ ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นจะสลบไป รอจนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าอยู่บนเรือลำหนึ่ง พี่สิบเองก็ไม่เห็นแล้ว”
“หู่โถว เจ้าปรากฏขึ้นบนเรือลำหนึ่งเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว รู้สึกว่าโชคชะตาของหู่โถวช่างคาดไม่ถึง
หู่โถวหัวเราะ “ตกใจกระมัง ตอนนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองถึงมาอยู่บนเรือได้ เรือลำนั้นใหญ่มาก ไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ข้าปีนบันไดขึ้นไป เดินไปตามทางอยู่นานถึงได้รู้ว่าตนเองอยู่บนเรือลำหนึ่ง แล้วยังเห็นทะเลใหญ่อีกด้วย”
พูดถึงตรงนี้หู่โถวก็ยิ้มอย่างเขินอาย “ข้าตกใจจนร้องไห้ จากนั้นก็ได้พบกับพระอาจารย์ของจ้า เขาพาข้าไปยังอิ๋งโจว”
“อิ๋งโจวน่าจะอยู่ที่ห้าทวีปรอบนอกกระมัง” มั่วชิงเฉินถามขึ้น
“อืม เป็นหนึ่งในห้าทวีปรอบนอก” หู่โถวพูด
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงถูกคนพวกนั้นไล่ฆ่า”
หู่โถวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า “ชิงเฉิน ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมีไอบาปหนาเกินไป เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ไอบาปเกิดขึ้นได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินมองหู่โถว รอให้เขาพูดต่อ
หู่โถวพูดว่า “ผู้ที่บำเพ็ญเพียรสายเต๋า ด้วยตบะบำเพ็ญที่เพิ่มมากขึ้นล้วนครอบครองพลังอำนาจที่อยู่เหนือเกินคนทั่วไป โดยเฉพาะหลังจากระดับก่อแก่นปราณ จะพูดว่าว่านักบำเพ็ญเพียรเหล่านี้มีความสามารถผลักภูเขาพลิกทะเล ทรงพลังยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้เกินไปนัก แต่ลิขิตสวรรค์เน้นเรื่องทางสายกลาง เจ้ามีพลังอำนาจที่มากมายเช่นนี้ห้าย่อมลิขิตให้มีข้อผูกมัดเท่าเทียมคอยมาพันธนาการเจ้าไว้ แต่เพราะข้อผูกมัดนั้นเจ้ามองไม่เห็น จับไม่ได้ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันไม่มีอยู่จริง”
มั่วชิงเฉินตั้งใจฟัง เริ่มรู้สึกว่าความคิดยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น
เสียงของหู่โถวดังขึ้นต่อ “แต่ว่าข้อผูกมัดอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ยามที่ตบะบำเพ็ญของนักบำเพ็ญเพียรลดต่ำ ต่อให้เขาทำผิด ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าไรนัก ดังนั้นจึงไม่อาจสัมผัสถึงความน่ากลัวของสวรรค์ได้ รอจนตบะบำเพ็ญที่สูงขึ้น พลังสังหารก็ยิ่งรุนแรงอำนาจสวรรค์ที่พันผูกกับนักบำเพ็ญเพียรจะปรากฏให้เห็น ในยามโบราณกาลอำนาจสวรรค์จะปรากฏให้เห็นยามรับทัณฑ์พิโรธช่วงการบำเพ็ญเพียร คนที่สูญเสียแก่นแท้ของเต๋าไล่ฆ่ากำจัดผู้บริสุทธิ์ทัณฑ์สายฟ้าจะยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้น ผู้ที่สามารถมีชีวิตรอดจากการรับทัณฑ์พิโรธน้อยจนนับได้ และเพราะสภาพแวดล้อมการบำเพ็ญตบะเปลี่ยนแปลงไป ผู้มากความสามารถในโลกมนุษย์ธรรมดาที่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ไม่มีให้เห็น ข้อผูกมัดที่คอยจำกัดผู้บำเพ็ญเพียรไม่ให้ลืมตัวก็จะแสงให้เห็นยามที่ใจมารกลืนกินยามผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด ผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งหากว่าไล่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไอบาปไร้รูปร่างบนร่างกายก็จะยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ในยามที่เขาอยู่ระกับปรับลมปราณ สร้างรากฐานยังไม่รู้สึก แต่เมื่อมาถึงระดับก่อแก่นปราณจะค่อยๆ รู้สึกได้ถึงสิ่งรบกวนที่เกิดจากไอบาป และยามที่เขาคิดจะใช้การใจมารกลืนกินเพื่อเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
มั่วชิงเฉินฟังอย่างตั้งใจ นางรู้ว่าการที่คิดจะเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดจะต้องผ่านด่านใจมารกลืนกินไปให้ได้ แต่ไม่รู้เรื่องที่ไอบาปเข้ารบกวน
และนางเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณมาจนถึงตอนนี้กลับไม่รู้สึกถึงเรื่องไอบาปเลยแม้แต่น้อย
“ลิขิตสวรรค์สมดุล ยามที่ตั้งกฎเกณฑ์ก็ยังเหลือทางรอดสายหนึ่งเอาไว้ให้คนที่ล้มเหลวจากการเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดจากการรบกวนของไอบาป นั่นคือสมบัติล้ำค่านิกายพุทธยานผนึกสีหมื่นอัญมณี”
“ผนึกสีหมื่นอัญมณี?” มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจ
หู่โถวหัวเราะ จู่ๆ ก็แบฝ่ามือออก “ชิงเฉิน เจ้าดู นี่คือผนึกสีหมื่นอัญมณี”
สายตาของมั่วชิงเฉินถูกดึงดูดเข้าไป บนฝ่ามือของหู่โถวที่แบออกมีรูปทรงกลมโปร่งแสงขนาดเท่าผลซิ่งหนึ่งลูกวางอยู่
ภายในลูกบอลทรงกลมโปร่งแสงยังมีลูกบอลเล็กๆ หลายลูกเบียดอยู่ในนั้น ลูกบอลเล็กเหล่านั้นสีสันสดใสหลากหลาย พากันส่องแสงประกายสีสันต่างๆ ออกมา ทำให้ลกบอลใหญ่ที่ครอบมันอยู่นั้นประกายสะท้อนแสงหลากสีออกมา ในที่สุดก็ส่องเป็นแสงประกายสีทองแลปกประหลาดชนิดหนึ่ง
“นี่คือผนึกสีหมื่นอัญมณีเช่นนั้นหรือ ดูแล้วช่างแปลกตานัก” ปลายนิ้วเรียวขาวของมั่วชิงเฉินลูบไล้เบาๆ
จู่ๆ ผนึกสีหมื่นอัญมณีก็ยิ่งส่องแสงสว่างกว่าเดิม แสงสว่างสะท้อนฝ่ามือของหู่โถว
ดวงตาของหู่โถวแย้มยิ้ม ปรากฏฟันเขี้ยวแสนน่ารักออกมา “ชิงเฉิน เจ้ายังเป็นคนดีเหมือนตอนเป็นเด็กเลย”
ผนึกสีหมื่นอัญมณีสามารถสะท้อนแก่นแท้ของจิตใจคนได้ดีที่สุด
ในเวลานี้นี่เองกระดิ่งดอกไม้อีกดอกในมือของมั่วชิงเฉินก็ดังขึ้น