พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 444
ฤดูใบไม้ผลิจากไป ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ในพื้นที่หุบเขามังกรยังคงมีหมอกควันลอยคล้อย พืชพันธุ์ไม่มี แยกการเปลี่ยนแปลงของฤดูทั้งสี่ไม่ออก
มั่วชิงเฉินสวมชุดเขียวค่อยๆ เดินไปจนถึงก้นเหว เงยหน้าขึ้นมองด้านบนพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเดิยตามมา มือที่อบอุ่นแห้งกร้านวางอยู่บนไหล่นาง “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นห่วงหู่โถวหรือ”
มั่วชิงเฉินหันกลับมา ดวงตาเรียวยาวแลดูคลุมเครือหมองหม่นเพราะเคลือบแฝงความกังวล “ศิษย์พี่ นี่เป็นปีที่หกแล้ว หู่โถวยังไม่มาเลย”
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก ยื่นมือออกไปลูบหว่างคิ้วมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง ไม่เช่นนั้นเจ้าฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างสงบที่นี่ รอหู่โถวไปก่อน ข้าไปอิ๋งโจว”
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าเป็นพัลวันตามสัญชาตญาณ “ไม่ได้”
เยี่ยเทียนหยวนเลิกคิ้ว
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากพูดว่า “ศิษย์พี่ พวกเรารออีกหนึ่งปี หากว่าหู่โถวยังไม่มาค่อยไปตามหาเขาพร้อมกัน”
วันที่หู่โถวจากไปเคยใช้กระแสจิตของนางกลุ่มหนึ่งใส่ลงไปในยันต์ส่งสารหมื่นลี้ และได้นัดแนะกับเขาว่าหากมีเรื่องก็ให้บีบยันต์ส่งสารให้แหลก
ตอนนี้แม้เวลาจะล่วงผ่านระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ แต่ยันต์ส่งสารหมื่นลี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหว เช่นนี้ก็สามารถคาดเดาได้ว่าหู่โถวน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
หากว่าศิษย์พี่จะไปอิ๋งโจว แล้วหู่โถวกลับมาในช่วงเวลานี้พอดี จะกลายเป็นวุ่นวายเอา
ทั้งสองคนอยู่ที่พื้นที่หุบเขามังกรต่อไป มั่วชิงเฉินยังคงต้องการรักษาสภาพระดับชั้น เยี่ยเทียนหยวนนอกจากบำเพ็ญเพียรแล้วเวลาที่เหลือก็เอาไปหลอมอาวุธ แต่ทั้งสองคนต่างพากันแยกย้ายเก็บตัวฝึกวิชา มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าเขากำลังหลอมประดิษฐ์อะไร
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปอีกครึ่งปี พื้นที่หุบเขามังกรมีคนเข้ามาอีกครั้ง
เยี่ยเทียนหยวนหลอมอาวุธจนถึงขั้นตอนสุดท้าย เขาเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ตลอด กับเป็นมั่วชิงเฉินที่เพิ่งออกจากเก็บตัวไม่นานกำลังเดินเล่นไปเรื่อย
จับสังเกตได้ว่าข้างหน้ามีความเคลื่อนไหวจึงเดินไปยังทิศทางนั้น เห็นว่าท่ามกลางกลุ่มหมอกควันมีนักบวชน้อยอายุเจ็ดแปดปีอยู่คนหนึ่ง
นักบวชน้อยผู้นั้นท่าทางซื่อๆ และแข็งแรง บนคอยังมีสร้อยไข่มุกอยู่เส้นหนึ่ง หากว่ามองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าบนลูกประคำเหล่านั้นแกะสลักเป็นลายสิบแปดอรหันต์ที่แตกต่างกันออกไป สมจริงราวกับมีชีวิต
และที่ยิ่งทำให้รู้สึกแปลใจก็คือ นักขวบน้อยผู้นี้กลับเปลือยเท้า
มั่วชิงเฉินนิ่งตะลึงงัน เหตุใดนักบวชน้อยผู้นี้ดูหน้าตาเหมือนกับเจ้าหู่โถวตอนเด็กราวกับแกะ
‘หรือว่า…นี่จะเป็นลูกชายที่หู่โถวมีก่อนที่จะออกบวช’
‘มากเกินไปแล้ว หู่โถวเจ้าเด็กบ้านี้ ตัวเองออกบวชก็พอแล้ว ยังจะพาลูกน้อยของตนไปเป็นพระด้วย หรือว่าคิดจะทำให้ตระกูลมั่วดับสลายไม่มีผู้สืบทอดกัน’
ความคิดแปลกประหลาดนี้ปรากฏคิดมาในหัว เห็นว่านักบวชน้อยสะบัดเท้าเปลือยเปล่าวิ่งมาหา กอดขามั่วชิงเฉินร้องตะโกนว่า “ชิงเฉิน!”
‘เสียงเจื้อยแจ้วนั้นเหมือนกับเสียงของหู่โถวเมื่อตอนเป็นเด็กราวกับถอดแบบกันมา!’
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไปลูบหัวล้านของนักบวช พยายามคุมน้ำเสียงให้อ่อนโยน “หลานชาย เจ้าควรจะเรียกข้าว่าท่านป้านะ…”
ยังไม่ทันได้พูดจบก็ได้ยินเสียงนักบวชน้อยร้องไห้จ้า
มือของมั่วชิงเฉินแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วรีบลูบหลังของนักบวชน้อยเป็นการปลอบเบาๆ พูดอย่างเป็นห่วงว่า “เป็นอะไรไปเล่า อย่าร้องเลย มีอะไรก็พูดกับป้าเถิด ป้าจะออกหน้าให้เจ้า”
ได้ยินคำพูดนี้นักบวชก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
มั่วชิงเฉินไร้ปัญญา เลยตัดสินใจยืนอยู่เงียบๆ ปล่อยให้นักบวชน้อยปาดน้ำหูน้ำตาลงบนขากางเกงตนเอง
ผ่านไปนานในที่สุดนักบวชน้อยก็หยุดร้อง เงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างคับแค้นใจว่า “ชิงเฉิน ข้าคือหู่โถวอย่างไรเล่า!”
“อะไรนะ!” ครั้งนี้ถึงคราวมั่วชิงเฉินที่จะตัวเอนเอียง เกือบจะล้มหน้าคว่ำไปกับพื้น
นักบวชน้อยเศร้าเสียใจจะเป็นจะตาย ตะคอกเสียงดังกว่าเดิม “ข้าคือหู่โถวอย่างไรเล่า ซานเจี้ยหู่โถว! เจ้าสิบหก ทั้งๆ ที่ข้าหน้าตาเหมือนตอนเป็นเด็ก เจ้ากลับจำข้าไม่ได้”
มั่วชิงเฉินเบิกตาโต มองดูหู่โถวที่โกรธแค้นอย่างเต็มอกแล้วเพียงแต่รู้สึกไร้สาระเป็นอย่างมากเท่านั้น
แต่นางก็กลับมาสงบเหมือนเดิม ถามว่า “หู่โถว เป็นเจ้าจริงหรือ ไม่ใช่ลูกชายเจ้าหรือ”
หู่โถวหน้าแดงหูแดง พูดด้วยความโมโหว่า “ข้าออกบวชมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปมีลูกชายจากไหนกัน!”
“อ่า เป็นเช่นนี้เอง” มั่วชิงเฉินลากเสียงยาว เห็นชัดว่าผิดหวังเล็กน้อย
หากว่าหู่โถวมีลูกชายที่น่ารักขนาดนี้จริงก็คงจะดีมาก นางย่อมต้องไม่ปล่อยให้เขาไปเป็นนักบวชเป็นแน่ เลี้ยงดูเขาให้กลายเป็นชายหนุ่มรูปงามจิตใจแจ่มใสคนหนึ่ง
แต่ตุ๊กตาตัวน้อยนี้กลับกลายเป็นตัวหู่โถวเอง ช่างทำให้คนนึกยินดีไม่ได้จริงๆ
“หู่โถว เหตุใดเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้เล่า”
หู่โถวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เด็กเจ็ดแปดขวบมานั่งตีหน้านิ่งคิ้วขมวดแลดูน่าขันยิ่งนัก แต่น้ำเสียงกลับฟังดูเจ็บปวดมากนัก “ตอนที่ข้ากำลังทำตามสิ่งที่อาจารย์ฝากฝังให้สำเร็จ ได้บังเอิญพบกับคู่ต่อสู้ที่รับมือยากผู้หนึ่ง สุดท้ายแล้วต่างฝ่ายต่างพากันแสดงวิชาไม้ตาย เขาถูกวิชาอรหันต์พันมือของข้า ข้าถูกวิชาลับกาลเวลาผันแปรของเขา ถึงได้กลายมามีสภาพเช่นนี้”
“แล้วจะต้องจัดการอย่างไร” ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เชื่อ เจ้าซาลาเปาน้อยตรงหน้าเป็นหู่โถวตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
หู่โถวแบมือออก ท่าทางน่ารักน่าหยิกนั้นทำให้มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปหยิกแกมหยอกแก้มย้วยของเขา
หู่โถวตีมือมั่วชิงเฉินทิ้งเสียงดัง พูดอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าสิบหก เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
มั่วชิงเฉินรีบเก็บรอยยิ้ม พูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง “หู่โถว สถานการณ์ของเจ้าจะต้องจัดการอย่างไรกันแน่ รีบพูดเถิด”
หู่โถวถอนหายใจ “ชิงเฉิน เจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้ากลายเป็นเด็กเจ็ดแปดขวบ เหมือนว่านิสัยก็กลายเป็นนิสัยเด็กน้อยด้วย ถูกวิชาลับกาลเวลาผันแปรเข้าแม้แต่คนที่แผลงวิชาเองก็ไม่อาจแก้ไจได้ ท่านอาจารย์พูดว่า…”
หู่โถวหยุดไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ท่านอาจารย์บอกว่าหากข้าสามารถควบคุมนิสัยยามเป็นเด็กที่เกิดจากกาลเวลาผันแปรได้ ยามที่บุญกุศลเต็มขั้นก็จะเป็นเวลาที่ทำลายวิชาลับได้เช่นกัน”
มั่วชิงเฉินไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก “หู่โถว ตามหลักการแล้วสภาพภายนอกเป็นเช่นไร ก็เป็นเพียงผิวหนังภายนอกเท่านั้น เจ้าเป็นนักบวชน่าจะมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งที่สุด เหตุใดจิตใจถึงได้รับผลกระทบจากรูปลักษณ์ภายนอกด้วยเล่า”
หู่โถวอมลมจนแก้มพอง ถอนหายใจพูดว่า “นี่คือสิ่งที่น่ากลัวของวิชากาลเวลาผันแปร ทั้งๆ ที่มันย้อนแย้งกับลิขิตฟ้า แต่กลับทำให้คนที่กลับกลายเป็นเด็กตกอยู่ในสภาพเด็กน้อยตั้งแต่ภายนอกยันภายใน มีเพียงศูนย์รวมจิตเท่านั้นที่ยังชัดแจ้ง แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากร่างกายและจิตใจอย่างไม่ควบคุมได้อยู่ดี”
มั่วชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด ถอนหายใจพูดว่า “มีวิชาลับที่น่ามหัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ”
หู่โถวเองก็ถอนหายใจเช่นเดียวกัน “ท่าอาจารย์บอกว่าคิดจะฝึกบำเพ็ญจิตใจจำต้องร่อนเร่พเนจรไปให้ทั่ว เปิดหูเปิดตาให้กว้าง ชิงเฉิน เจ้าเลื่อนระดับชั้นแล้ว ยังจะต้องฝึกอย่างสงบอีกช่วงระยะเวลาหนึ่งใช่หรือไม่ รอเจ้าฝึกอย่างสงบเสร็จแล้วพวกเราไปหลิวโจวด้วยกันเถิด”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม ข้าเพิ่งเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางได้ประมาณสองปี ระดับที่บรรลุก็มั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว รอศิษย์พี่ออกมาจากการเก็บตัวฝึกวิชาครั้งนี้ พวกเราก็ออกเดินทางเถิด”
“สหายเต๋าลั่วหยางก็เลื่อนระดับชั้นแล้วหรือ” หู่โถวเอียงศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
มั่วชิงเฉินขยับมือ เกือบจะยื่นไปหยิกแก้มของเขา แต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้ทัน
‘ไม่ได้ ตอนนี้สิ่งที่หู่โถวทรมานมากที่สุดคือการควบคุมนิสัยยามเยาว์วัย หากนางกระทำการเช่นนี้ก็จะเป็นการย้ำเตือนความจริงว่าเขาเป็นเด็กโดยมิได้ตั้งใจ ไม่ได้ส่งผลดีต่อการฟื้นฟูของเขา’
หลายวันผ่านไป ตอนที่เยี่ยเทียนหยวนออกมาจากบ้านหลิงหลงก็เห็นว่ามั่วชิงเฉินนั่งอยู่บนพื้นไม่ได้ใส่ใจอะไร เหมือนว่ากำลังเหม่อลอยออกไปข้างนอก
“ศิษย์น้อง” เยี่ยเทียนหยวนใจอ่อนยวบ เร่งฝีเท้าขึ้นมา
หลายเดือนมาแล้วที่ไม่ได้ออกมา ศิษย์น้องจะต้องคิดถึงเขาเป็นแน่
เห็นเยี่ยเทียนหยวนออกมาแล้ว มั่วชิงเฉินก็รีบลุกขึ้นในทันใด ยิ้มแย้มพูดว่า “ศิษย์พี่ ท่านออกจากเก็บตัวแล้ว หลอมของวิเศษราบลื่นหรือไม่”
สายตาของเยี่ยเทียนหยวนกลับทอดลงต่ำ
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงมอง แท้จริงแล้วเมื่อครู่หู่โถวก็นั่งอยู่ด้านหลังตนเอง จากมุมของเยี่ยเทียนหยวนนั้นมองไม่เห็น พอตนเองลุกขึ้นเช่นนี้ ถึงได้มีที่ให้หู่โถวปรากฏออกมา
“เขา…” ใบหน้าเย็นชาแต่ไหนแต่ไรมาของเยี่ยเทียนหยวนเกิดความสั่นไหว
หู่โถวเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้จู่ๆ ก็เกิดอยากหยอกล้อ ในใจลอบคิดฮึดฮัดว่า เจ้าคนบ้านี้ ยังไม่ได้ทันทำพิธีบำเพ็ญเพียรแบบคู่กับชิงเฉิน ก็มาเอาเปรียบชิงเฉินเสียก่อน ข้าจะต้องทำให้เขาตกใจให้ได้!
“ท่านพ่อ…” หู่โถวลุกขึ้นมาด้วยสภาพโซซัดโซเซ เหวี่ยงแขนและขาป้อมที่เหมือนท่อนสายบัววิ่งไปหาเยี่ยเทียนหยวน
ในขณะที่เยี่ยเทียนหยวนนิ่งค้างกลายเป็นหินแข็งนั่นเองก็ถลาเข้าไปในอ้อมอกของเขาอย่างเต็มกำลัง
คนที่นิ่งค้างแข็งไปด้วยยังมีมั่วชิงเฉิน
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงไม่สนใจข้า” หู่โถวไล่บี้ถามไปพลาง ตีหน้าขาของเยี่ยเทียนหยวนไปพลาง ดูท่าทางของเขาเหมือนจะใช้แรงเต็มกำลัง
ใบหน้านิ่งไร้ความรู้สึกของมเยี่ยเทียนหยวนในที่สุดก็ต้องแตกกระจาย มองดูมั่วชิงเฉินพลางถามอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์น้อง เจ้า…เจ้ามีลูกชายให้ข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”
มั่วชิงเฉินโกรธนัก นางแทบจะแพ้ให้เจ้าสองคนนี้แล้ว คนหนึ่งหาเรื่องวุ่นวายก็แล้วไป แต่อีกคนกลับซื่อบื้อโดยธรรมชาติเช่นนี้เลยหรือ!
“ศิษย์พี่ พวกเราไม่เจอกันหลายเดือน ข้าจะไปมีลูกชายโตขนาดนี้ให้ท่านได้อย่างไร”
ฟังแววขำขันของมั่วชิงเฉินออก เยี่ยเทียนหยวนก้มหน้าลงมา ตีหลังเด็กน้อยที่กอดขาตนเองเอาไว้แน่นเบาๆ อย่างจนปัญญา “เจ้า…เจ้าอย่าร้องไห้ ข้าไม่ใช่พ่อเจ้า”
หู่โถวหันหน้าให้มั่วชิงเฉิน ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แต่น้ำเสียงกลับน้อยใจอย่างมาก “ท่านพ่อ มิน่าเล่าท่านแม่ถึงบอกว่าท่านจะไม่ยอมรับพวกเรา บอกให้ข้าไม่ต้องมาหาท่าน แต่ท่านแม่ตายแล้ว เสือน้อยทำได้เพียงแค่มาหาท่านพ่อ…”
หู่โถวรู้สึกว่าบรรยากาศเย็นลงในฉับพลัน ร่างกายเล็กๆ ถูกเยี่ยเทียนยหวนผลักไสอย่างเด็ดเดี่ยว
เสียงเย็นดังขึ้นมา “เจ้าเป็นใครกันแน่”
เสียงนั้นเย็นมากพอที่จะทำให้คนแข็งตาย หู่โถวตัวสั่นในทันใด จากนั้นในใจก็ต้องนึกรำพัน พอกลายเป็นเด็กก็อ่อนแอไร้ภูมิคุ้มกัน!
มั่วชิงเฉินเดินเข้ามาหา ยั้งมือของเยี่ยเทียนหยวนพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ เขาคือหู่โถว เมื่อครู่นี้เพียงแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้นเอง”
นางรีบเล่าสิ่งที่หู่โถวประสบพบเจออย่างละเอียดให้ฟังในทันใด
ฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างเข้าใจ ร่างกายที่ตึงเครียดของเยี่ยเทียนหยวนถึงได้ผ่อนคลายลง แต่สีหน้ายังเรียบนิ่งเหมือนเดิม
“ศิษย์พี่ เหตุใดท่านถึงไม่ยินดี” มั่วชิงเฉินลอบส่งกระแสจิตเสียงมา
เยี่ยเทียนหยวนตอบว่า “ศิษย์น้อง ข้าไม่ชอบให้ใครหรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างเรา ต่อให้เป็นเรื่องล้อเล่นก็ตาม”
มั่วชิงเฉินลอบยื่นมือออกไปหยิกเอวเขาทีหนึ่ง “คนโง่ ตอนนี้นิสัยของหู่โถวเป็นเหมือนเด็กน้อย ท่านอย่าได้คิดเอาความกับเขาเลย”
เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงถือเป็นการรับรู้ เพียงแค่มองใบหน้าด้านข้างของมั่วชิงเฉิน แลดูเหม่อลอย
‘ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้โง่ เพียงแต่เจ้าสำคัญกับข้ามากนัก’
ทั้งสามคนพักอยู่ที่พื้นที่หุบเขามังกรเป็นคืนสุดท้าย วันที่สองฟ้าเพิ่งสว่างรำไรก็พากันนำของวิเศษบินลอยออกมา ค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังบนหน้าผา
“เสือน้อย เจ้าเคยไปหลิวโจวมาก่อนหรือไม่” ทั้งสามคนนั่งอยู่บนของวิเศษบินลอยของเยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินถามขึ้น
โลกภายนอกทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก ร่างกายเหมือนจะถูกพัดลอยตามแรงโจมตีของแรงกดดันพลังวิญญาณที่น้อยลงได้ตลอดเวลา
นางค้นพบว่าพลังวิญญาณในร่างกายขับเคลื่อนด้วยตนเอง แม้จะช้า แต่หากสั่งสมเป็นระยะเวลานานย่อมต้องน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
‘หรือว่าเป็นเพราะอยู่ในพื้นที่หุบเขามังกรเป็นเวลานานเกินไป พลังวิญญาณในร่างกายและปราณมังกรที่ลอยคล้อยอยู่รอบนอกกลายเป็นปรับสมดุล ยามที่ไอแห่งลมหายใจมังกรน้อย พลังวิญญาณก็จะมีความสามารถในการขับเคลื่อนด้วยตนเอง’
หู่โถวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดความเป็นเด็ก “เคยไปมาก่อน แต่เพียงผ่านทางเท่านั้น ที่นั่นมีเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งชื่อว่าราชันย์พำนัก ได้ยินมาว่าผู้ชายเข้าไปไม่ได้”
“เช่นนั้นหรือ?” มั่วชิงเฉินได้ยินเรื่องนี้ กลับไม่ได้แปลกใจเท่าไรนัก
ในเวลานี้เองจู่ๆ เยี่ยเทียนหยวนก็มอบของสิ่งหนึ่งให้ “ศิษย์น้อง สิ่งนี้ให้เจ้า”