พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 445
สิ่งที่เยี่ยเทียนหยวนส่งให้เป็นแหวนหยกเขียววงใหญ่ บนนั้นสลักบทคาถาที่ติดต่อกันไม่ขาดเอาไว้ ต่อให้เป็นมั่วชิงเฉินที่ไม่ได้อยู่ในวงการนี้ก็ยังมองออกในปราดเดียวว่าบทคาถาเหล่านี้มีความลึกลับแอบแฝงอยู่
“ศิษย์พี่ นี่คืออะไรหรือ” ยื่นมือไปรับแหวนวงใหญ่มา ความรู้สึกเย็นสบายส่งผ่านมาจากฝ่ามือ ทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายเหมือนได้ปรับใหม่ทั้งหมด
เห็นมุมปากของมั่วชิงเฉินยกขึ้น เยี่ยเทียนหยวนก็หัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ตอนที่เจ้าง้างสายธนูสามารถใช้ได้ บนแหวนมีค่ายพลังขนาดเล็กอยู่สองอย่าง หนึ่งอย่างสามารถเพิ่มพละกำลัง อีกอย่างหนึ่งเอาไว้ทำให้จิตใจแจ่มแจ้งอยู่ตลอด ส่งผลให้มีความแม่นยำมากขึ้น
มั่วชิงเฉินกุมแหวนเอาไว้แน่น ที่แท้ที่เขาเก็บตัวฝึกวิชาหลายเดือนมานี้ก็เพราะจะหลอมของสิ่งนี้ให้ตนเอง
ทุกครั้งที่ง้างสายธนูนิ้วจะถูกบีบจนเป็นรอยแดง เขาคงเห็นหมดกระมัง
หงายฝ่ามือออก ส่งแหวนวงใหญ่กลับไป
เยี่ยเทียนหยวนตะลึงงัน
มั่วชิงเฉินส่งยิ้มอ่อน ลักยิ้มคู่ปรากฏให้เห็น “ศิษย์พี่ ท่านช่วยใส่ให้ข้าด้วยเถิด”
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากหยิบแหวนวงใหญ่ขึ้นมา ตั้งใจใส่ให้นางอย่างระมัดระวัง
มองดูท่าทีเงอะงะขัดเขินของเขา มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอบอุ่นและสงบใจ
‘ศิษย์พี่ ในชาติที่แล้วทุกคนล้วนเข้าใจความหมายที่แอบแฝงของการที่บุรุษใส่แหวนให้หญิงสาวด้วยตนเอง แม้ท่านจะไม่เข้าใจ แต่ข้ายินยอมแต่งงานกับท่าน’
นิ้วมือเรียวยาวตรงสวย ขาวผุดผ่องดุจหิมะ แล้วยังมีความเย็นสบายแฝงเอาไว้ ทำปฏิกิริยาตอบรับกับแหวนหยกเขียววงใหญ่ทำให้เกิดความรู้สึกสวยงามหยดย้อยที่น่าตะลึงพรึงเพริด
เยี่ยเทียนหยวนมองดูจนเกิดอาการนิ่งงัน มือเรียวยาวเข้าไปจับต้องพัวพันกับนิ้วเรียวขาวเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
กระแสไฟร้อนไหลผ่านจากปลายนิ้วสู่หัวใจ มั่วชิงเฉินตัวสั่น รีบชักมือกลับมา ส่งกระแสจิตเสียงไปว่า “ศิษย์พี่ หู่โถวยังดูอยู่นะ”
เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงเล็กน้อย ส่งกระแสจิตกลับมา “ศิษย์น้อง ข้าไม่ทำอะไรมั่วๆ”
มองดูการตอบโต้ไร้เสียงของทั้งสองคน หู่โถวเกิดความไม่พอใจอย่างไม่มีที่มาที่ไป ร่างอ้วนเบียดแทรกไปตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน มองดูเยี่ยเทียนหยวนด้วยสายตาไร้เดียงสาพลางพูดว่า “ไม่มีของหู่โถวหรือ?”
เยี่ยเทียนหยวนนิ่งงัน จากนั้นก็รีบใช้กระแสจิตกวาดมองถุงเก็บวัตถุในทันใด พลิกเอาตุ๊กตาไม้รูปนกสีขาวบริสุทธิ์ส่งไปให้ “สิ่งนี้ให้เจ้า”
หู่โถวรับมา พิจารณาอย่างละเอียดเอาเรื่องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งยิ้มออกมา ฟันเขี้ยวคู่ปรากฏให้เห็น เก็บตุ๊กตาไม้ลงไป
มั่วชิงเฉินมองดูการกระทำของหู่โถวด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย เจ้าเด็กคนนี้ กลายเป็นเด็กเล็ก ความอยากครอบครองก็กลายเป็นแกร่งขึ้น เหมือนเด็กน้อยตัวจริงที่ชอบหวังให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน หากถูกละเลยก็จะไม่พอใจ
‘เขาเป็นเช่นนี้จะกลับมาหายดีได้จริงหรือ’
หู่โถวเก็บของเล่นไป นั่งขัดสมาธิเริ่มท่องบทสวดมนต์ ในใจกลับไม่อาจลบความหงุดหงิดทิ้งไปได้
เสียงสวดมนต์หยุดลงกะทันหัน แม้มั่วชิงเฉินจะฟังความหมายของบทสวดไม่เข้าใจ แต่ก็ฟังออกว่าบทสวดไม่ได้ถูกท่องจนจบ ถามอย่างเป็นกังวลว่า “หู่โถว เป็นอะไรไปหรือ”
หู่โถวยืดตัวตรง คิ้วขมวดมุ่นแน่น จากนั้นค่อยๆ ผ่อนออก “ไม่มีอะไร”
ในหัวกลับมีคำพูดของพระอาจารย์ดังขึ้นมา
“ซานเจี้ย เรื่องในครั้งนี้ สำหรับเจ้าแล้วถือเป็นความทรมานครั้งใหญ่ และเป็นโชคชะตาครั้งใหญ่เช่นกัน ขอเพียงแต่รักษาศูนย์รวมวิญญาณเอาไว้ให้แจ่มแจ้ง ไม่ถูกพัดพาไปตามกระแสนิสัย ทะเลขมที่ไร้ขอบเขตก็จะผ่านพ้นไปได้”
หู่โถวลืมตาขึ้นมาในทันใด ส่งของเล่นนกน้อยกลับมา “ข้าไม่เอาแล้ว”
พูดจบก็หลับตาลงออีกครั้ง แต่เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจคลับคลาเหมือนจะมีของพระอาจารย์ “ซานเจี้ย เจ้ายึดมั่นกับสิ่งเร้าภายนอกไปแล้ว”
เสียงสวดมนต์ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ร่างเล็กของหู่โถวสั่นเทิ้ม
สีหน้าของมั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย หู่โถวเป็นเช่นนี้หรือว่าเขาจะเดินเข้าทางมารไปแล้ว?
แต่สายเต๋าและสายพุทธต่างทางเดิน นางได้แต่ลืมตาจับจ้องมอง ไม่กล้ายื่นมือเข้าไปขัดมั่วซั่ว
มือเย็นถูกมือใหญ่ที่อบอุ่นแห้งกร้านจับไว้ “ศิษย์น้อง อย่าเป็นกังวลเลย หู่โถวจะต้องผ่านไปได้เป็นแน่”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า พลิกมือจับมือใหญ่เอาไว้แน่นกว่าเดิม
นางย่อมต้องเข้าใจ ทุกคนล้วนมีเส้นทางที่ตนเองต้องเดิน มีด่านเคราะห์ที่ตนเองต้องพ้นผ่าน ใครก็ไม่อาจเข้าไปแทนที่ได้
บทสวดมนต์ที่มีท่วงทำนองแปลกประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง หู่โถวนั่งยกขาขัดสมาธิ ดวงตาทั้งสองข้างหลับพริ้ม ใบหน้าเล็กกลับดูเคร่งขรึมเอาจริง
เสียงสวดมนต์ค่อยๆ เป็นกำลังทำให้คนที่อยู่รอบข้างสงบจิตสงบใจ
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนสบตาส่งยิ้มให้กัน ทั้งสองนั่งเคียงไหล่ของวิเศษรูปทรงใบไม้ลอยอยู่บนฟ้าด้วยความเร็วที่มั่นคง
ระยะทางระหว่างหลิวโจวและเสวียนโจวค่อนข้างไกล จำต้องเดินทางข้ามทะเล และเรือที่เดินทางตรงไปยังหลิวโจวก็จะจอดเฉพาะท่าเรือใหญ่ที่สุดในเสวียนโจวเท่านั้น
ท่าเรือนั้นอยู่นอกเมืองเสวียนอู้ฟังจากที่หู่โถวเล่าให้ฟังว่าเมืองเสวียนอู้เป็นหนึ่งในสองพื้นที่ของตระกูลเว่ยที่โด่งดังที่สุด คิดจะขึ้นเรือจำต้องเข้าเมืองไปจัดการขั้นตอนนำเรือเสียก่อน
ครึ่งเดือนให้หลังนอกเมืองเสวียนอู้ของวิเศษรูปทรงใบไม้ค่อยๆ ลอยเข้าใกล้ จากนั้นก็มีคนสามคนกระโดดลงมาจากข้างบน พวกเขาดึงดูดสายตาจากคนที่อยู่รอบข้างได้ในทันใด
ในกลุ่มสามคนมีชายหญิงสวมใส่ชุดเขียวหนึ่งคู่ ไม่ว่าจะดูจากหน้าตาหรือตบะบำเพ็ญล้วนอยู่โดดเด่นกว่าผู้อื่น ทำให้คนเห็นแล้วลืมสิ่งปกติธรรมดาไป
และอีกคนหนึ่งยิ่งดึงดูดสายตามากกว่าใครอื่น นั่นคือนักบวชน้อยอายุราวเจ็ดแปดปี ดูแล้วไม่ได้มีตบะบำเพ็ญอะไร ดวงตากลมโตสองข้างหันมองไปมา เห็นชัดว่าฉลาดเฉลียวยิ่งนัก
เป็นเพราะการที่มีนักบวชคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นในเมืองแห่งการบำเพ็ญหนทางเซียนถือเป็นจุดสนใจมากพอแล้ว แล้วยังปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคน กลุ่มคนเช่นนี้ช่างทำให้คนต้องหันเหลียวกลับมามอง
แต่ทั้งสามคนนี้กลับเป็นตัวของตัวเอง พากันเดินเข้าไปใจกลางเมือง
เมืองเสวียนอู้หมือนกับชื่อเมือง ทั่วทั้งเมืองนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ แต่ไอหมอกเหล่านี้ค่อนข้างเบาบางลอยพัดพาไปมาเหมือนกับเมฆหมอกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการมองของคน
ต่อให้เป็นเช่นนั้น เมื่อต้องมาอยู่ในเมืองที่มีสภาพเช่นนี้ย่อมต้องมีความกดดันเกิดขึ้นบ้าง
มั่วชิงเฉินลอบพิจารณาคนที่เดินไปมาบนถนน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียร ทุกคนใบหน้าไร้ความรู้สึก ฝีเท้าเร่งรีบ เหมือนว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากหมอกดำเหล่านี้
มีนักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่สายตาแหลมคมก้าวขึ้นมาหา ทำความเคารพให้ทั้งสามคนแล้วถึงพูดว่า “ท่านอาวุโส ต้องการให้นำทางหรือไม่”
สายตามองตรงไปที่เยี่ยเทียนหยวน
มั่วชิงเฉินยิ้มในทันใด ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนก็ต้องมีคนจำพวกนี้ แต่กลับเป็นการสร้างความสะดวกให้กับคนนอกอย่างพวกเขา
รอยยิ้มของนางครั้งนี้ทำให้นักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณอดไม่ได้ที่จะหันมามอง ดวงตาเบิกกว้างในทันใด
เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว แต่กลับไม่ได้วางท่าที่ทำให้คนตกใจ เพียงแค่พูดเรียบๆ ว่า “ไม่จำเป็น มีแผนที่ขายหรือไม่”
“อ่า มีๆ” นักบำเพ็ญเพียรระดับปรับลมปราณได้สติกลับมา โมโหที่ตนเองหลุดภาพลักษณ์ รีบส่งแผนที่แผ่นหนึ่งไปให้
เยี่ยเทียนหยวนรับไว้ โยนหินวิญญาณให้จำนวนหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ มือข้างหนึ่งโอบรอบไหล่มั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง พวกเราไปเถิด”
มั่วชิงเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ปล่อยให้เขาลากนางออกไปอย่างอารมณ์ดี
หู่โถวเหวี่ยงแขนขาเล็กป้อมวิ่งตาม พูดอย่างหงุดหงิดว่า “รอก่อนซิ ไม่เห็นว่าข้าขาสั้นหรืออย่างไร”
ตามหาสำนักเดินเรือจัดการเรือนำเรืออย่างราบลื่น เรือที่เดินทางไปหลิวโจวกลับต้องรออีกครึ่งเดือนถึงจะออกเดินทาง ทั้งสามคนทำได้เพียงหาโรงเตี๊ยมเข้าพัก
“สองท่าน จะทานอาหารหรือเข้าพัก” เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมเห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนเดินเข้ามา ดวงตาเป็นประกายรีบเดินเข้ามาต้อนรับ
“เข้าพัก” เยี่ยเทียนหยวนตอบเสียงเย็น
หู่โถวเบียดแทรกกลางระหว่างสองคน พูดอย่างหงุดหงิดว่า “สองท่านอะไรกัน ข้าตัวโตเท่านี้เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร”
เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงงัน รีบพูดเสียงหลง “เห็นแล้วๆ ข้าน้อยพูดผิดไป ไม่ทราบว่าทั้งสอง…อ่า สามท่านต้องการกี่ห้องขอรับ”
“สองห้อง!”
เยี่ยเทียนหยวนหูแดงระเรื่อ ปลุกความกล้าพูดออกมา พูดจบแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าเหตุใดถึงมีเสียงซ้อน เลยเพิ่งจะพบว่าหู่โถวก็พูดออกมาเช่นเดียวกัน
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกตื้นตันใจในทันใด หู่โถวช่างคิดเผื่อแผ่ถึงเขาเกินไปแล้ว หลังจากนี้จะต้องหลอมประดิษฐ์ของเล่นที่ดีกว่านี้สักชิ้นให้เขาเป็นแน่
ถือป้ายสองป้ายเดินขึ้นชั้นสอง ก็เห็นว่าหู่โถวดึงชายเสื้อมั่วชิงเฉิน ยิ้มแย้มแจ่มใสพูดว่า “ชิงเฉิน คืนนี้พวกเรานอนด้วยกันเถิด”
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนนิ่งค้างไปพร้อมกัน ทั้งสองสบตามองอีกฝ่าย บรรยากาศช่างแปลกประหลาดนัก
“ชิงเฉิน เจ้าได้ยินข้าพูดหรือไม่” หู่โถวแกว่งมือมั่วชิงเฉินไปมา
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก เอ่ยปลอบว่า “หู่โถว พวกเรานอนด้วยกันไม่ได้”
“เหตุใดถึงไม่ได้ ตอนที่เจ้าเป็นเด็กยังนอนกับข้าอยู่เลย” หู่โถวขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
มั่วชิงเฉินหน้าร้อนระอุ “นั่น…นั่นมันตอนเป็นเด็ก ตอนนี้พวกเราโตกันหมดแล้ว”
หู่โถวตะลึงงัน จากนั้นก็ต้องตบหน้าผากเกลี้ยงอย่างนึกขึ้นได้ “ใช่แล้ว ข้าลืมไปแล้ว ข้าโตแล้ว”
ได้ยินบทสนทนาอันน่าประหลาดนี้เสี่ยวเอ้อร์ที่นำทางก็ยิ่งมีท่าทีแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
‘หรือว่าบทสนทนาของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะลึกล้ำยากเข้าใจเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงฟังไม่เข้าใจเล่า’
“ท่านอาวุโส สองห้องนี้อยู่ติดกัน สิ่งของภายในห้องมีพร้อมเสร็จสรรพ ข้าน้อยขอตัวออกไปก่อน”
หู่โถวเดินนำขึ้นไปหยุดตรงหน้าประตูห้องหนึ่งก่อน เขย่งขาเปิดประตูออก บิดตัวหันมาโบกมือให้ทั้งสองคน “ข้าเข้าไปก่อนแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน”
เห็นหู่โถวปิดประตู เยี่ยเทียนหยวนผ่อนลมหายใจไปเปราะหนึ่ง จับมือของมั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง
มั่วชิงเฉินพูดด้วยความเขินอาย “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านถึงไม่เปิดสามห้องเล่า”
เรื่องเมื่อครู่นี้ช่างน่าประหม่าเสียจริง
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้ากังขาไม่เข้าใจ “เหตุใดต้องเปิดสามห้อง เช่นนั้นก็ไม่อาจนอนกับศิษย์น้องได้แล้วซิ”
ช่างพูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจเต็มไปด้วยเหตุผล
มั่วชิงเฉินพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ช่างเถิด นางเองก็ไม่ใช่คนที่แสร้งทำเป็นกุลสตรี ทั้งสองคนเดินมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะต้องมาคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม
“ศิษย์น้อง” เอวบางถูกมือใหญ่คู่หนึ่งรวบไว้จากด้านหลัง ลมหายใจร้อนแรงพัดผ่านลำคอระหง
มั่วชิงเฉินร่างนิ่งเกร็ง หันไปผลักเขาออกอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ได้ ศิษย์พี่ ฟ้ายังสว่างอยู่นัก หู่โถวจะต้องมาหาเราเป็นแน่”
ครั้งนี้นางตั้งมั่นว่าห้ามใจอ่อนโดยเด็ดขาด หากว่าถูกหู่โถวบังเอิญพบเข้า ตนเองก็ไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว
“ศิษย์น้อง” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยเรียก
“ตกดึกค่อยพูดกัน” มั่วชิงเฉินรีบพูดอย่างรวดเร็ว ผลักประตูเดินออกไป
เดินเล่นเที่ยวชมตลาดฆ่าเวลาอย่างสบายใจ ยามที่ฟ้าเริ่มมืดก็กลับไปยังโรงเตี๊ยม สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายคือหู่โถวบำเพ็ญสมาธิอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้มีทีท่าว่าจะออกมา
อดกลั้นมาจนถึงเวลาเข้านอน เยี่ยเทียนหยวนอุ้มมั่วชิงเฉินตัวลอย วางนางลงบนเตียงจากนั้นทั้งร่างก็ทับปกคลุมนาง
“ศิษย์พี่ ท่านเบาหน่อย หู่โถวอยู่ห้องข้างๆ” มัวชิงเฉินกดเสียงลงต่ำเอ่ยเตือน ตอนที่เหลือบไปเห็นกระโจมหลังน้อยก็ต้องหน้าแดงก่ำในทันใด คำพูดเขินอายกล่าวโทษไม่มีให้ได้ยินอีก
เก็บกดอดทนมานานหลายวัน เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากยยาง ถอดกางเกงออกไปด้วยความชำนาญ ตลบกระโปรงของคนใต้ล่างขึ้น ยกขาของนางขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ ยืดตัวตรงส่งร่างของตนเข้าไปเต็มกำลัง
“ศิษย์น้อง จ้าคิดถึงเจ้า” จับข้อเท้าเปลือยของมั่วชิงเฉิน ทุกครั้งที่เยี่ยเทียนหยวนสอดใส่ล้วนเข้าไปในจุดที่ลึกสุด
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่นไม่กล้าอ้าปาก ขาขาวเปลือยทั้งสองข้าส่ายไปมากลางอากาศ ปล่อยให้คนข้างบนได้เข้ามาสืบเสาะค้นหา
การต่อสู้ครั้งนี้ตราบจนฟ้าเริ่มมีแสงให้เห็นถึงได้พักยกด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งสองคนที่หอบหายใจระรัวนอนกอดกันแน่น
“ชิงเฉิน ลั่วหยาง เปิดประตูๆ” นอกประตูมีเสียงของหู่โถวดังขึ้นมา
ทั้งสองคนกระโดดออกจากกันเหมือนถูกจับได้ในทันใด สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยในชั่วพริบตา
“หู่โถว เช้าขนาดนี้เจ้ามาทำอะไร” มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าตนเองหน้าตาดำคล้ำเพียงใด
หู่โถวใบหน้าไร้เดียงสา “ข้าหิวแล้ว จะกินข้าว”
ครึ่งเดือนที่อยู่ในโรงเตี๊ยม วันเวลาผ่านไปอย่างอบอุ่นและเงียบสงบ ตราบจนถึงวันที่เดินทาง ทั้งสามคนเก็บของเดินทางไปยังประตูเมืองทิศตะวันตก ใครจะรู้ว่าเมื่อไปถึงหน้าประตูเมืองจะถูกคนขวางเอาไว้