พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 449
ข้างถนนหินเขียวมีแท่นหินอยู่พอดี คนผู้หนึ่งยืนพิงอยู่ตรงนั้น บริเวณหน้าอกมีรูเลือดอยู่รูหนึ่ง เลือดสดไหลทะลักออกมา ทำให้ทั้งร่างของเขาอาบอยู่ในกองเลือด
ห่างไปไม่ไกลเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่มาด้วยกัน เขามีสีหน้าซีดขาวนอนอยู่บนพื้น หอบหายใจน้อยๆ ทิศทางที่นิ้วชี้ไปคือร่างเงาของคนผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งหนีออกไป
ในมือของเขาถือธงลมเอาไว้ผืนหนึ่ง แทบจะในเสี้ยววินาทีสั้นๆ ก็สามารถขับเคลื่อนค่ายพลังสำเร็จ ผืนธงสีเขียวลอยตามคนที่วิ่งหนีออกไปเหมือนดาวตก
ระเบิดพุ่งกลางอากาศธงสีเขียวผืนใหญ่ขวางเอาไว้ตรงหน้าร่างเงาในทันใด ผืนธงที่สั่นสะท้านส่องแสงประกายสีเขียวออกมา ถักทอหลายเป็นกำแพงลมด้านหนึ่ง ร่างเงาที่วิ่งหนีกลั้นลมหายใจตามสัญชาตญาณ
และในขณะเดียวกันวิชาเคลื่อนย้ายในฉับพลันถูกนำออกมาใช้ เยี่ยเทียนหยวนยกมือขึ้นเรียกเอาธงสีม่วงที่ตกอยู่บนพื้นของนักบำเพ็ญเพียรที่บาดเจ็บ เคล็ดวิญาณหายเข้าไปในผืนธงสีม่วง ธงสีม่วงเองก็ลอยออกไปตกอยู่ในอีกทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วเช่นเดียวกัน
หนึ่งคนคุมสองธง!
ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนหยวนเอาธงผืนแรกออกมา นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทุกคนที่รีบตามมาก็ได้สติ ต่างพากันเอาค่ายธงที่อยู่ในมือโยนออกไปตามทิศต่างๆ
ในตอนนั้นพวกเข้าล้วนแสดงปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ แต่ตอนที่ธงลอยออกไปถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เหลือเพียงแปดคนเท่านั้น มิอาจสร้างเป็นค่ายสามด่านได้ ควบคุมศพพาหะเอาไว้ไม่อยู่ก็แล้วไป หากว่าทำให้ศพพาหะโมโห ชีวิตย่อมตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
ในเวลาเสี้ยววินาทีพบว่าเยี่ยเทียนหยวนขับเคลื่อนธงอีกผืนหนึ่ง ในใจต่างพากันตื่นตะลึง
ในกลุ่มแปดคนมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายสองคน เยี่ยเทียนหยวนคือหนึ่งในนั้น แต่เขาคนเดียวคุมสองธง จิตใจที่ลอยเคว้งของทุกคนกลับไม่ได้สบายใจลง เรื่องมาถึงตอนนี้ก็ทำได้เพียงพุ่งชนต่อไปข้างหน้า
ในมือของมั่วชิงเฉินคือธงฝนผืนหนึ่ง ลม ฝน สายฟ้า สามผืนรวมเป็นหนึ่งด่าน และนางก็เป็นคนที่ร่วมมือเข้าขากับเยี่ยเทียนหยวนมากที่สุด ฉะนั้นธงฝนผืนนี้จะต้องถูกนำออกมาก่อน
แสงสีเขียว ม่วง ฟ้าทั้งสามีประกายตัดกันไปมา ไม่นานก็รวมตัวกลายเป็นวงแหวนทรงกลมสามสี คุมศพพาหะเอาไว้ตรงกลาง
จนมาถึงตอนนี้มั่วชิงเฉินถึงได้เห็นลักษณะของศพพาหะอย่างชัดเจน
ศพพาหะร่างนั้นไม่ว่าจะดูจากส่วนสูงหรือว่ารูปร่างก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป สวมชุดหลวมโพรก ผิวหนังที่โผล่ออกมาข้างนอกเป็นสีขาวแกมเขียว ด้วยการปิดบังจากความมืด หากไม่ใช่เพราะวงแหวนหยุดศพบนข้อมือของทุกคนส่องแสงจ้าจนน่ากลัวก็ยากที่จะรู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์
เพียงแต่ตอนนี้ศพพาหะถูกคุมเอาไว้ในค่ายธง มันกวาดตามองรอบด้าน มุมปากแสยะยิ้ม ปรากฏเขี้ยวแหลมคู่หนึ่งออกมาให้เห็น
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกประหลาด เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าศพหาหะตัวนี้ถึงได้คล้ายกับบทบาทผีดูดเลือดที่เคยเห็นบ่อยๆ ในนิยายหรือภาพยนต์ในโลกก่อน
จู่ๆ ศพพาหะขยับตัว พุ่งเข้ามายังด้านมั่วชิงเฉินด้วยความคล่องแคล่วผิดปกติ แขนทั้งสองข้างจับลำแสงเอาไว้ ดึงออกข้างนอกอย่างแรง
ลำแสงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ธงที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มสั่นไปมา
เรื่องเหล่านี้จะพูดไปก็ยืดยาวแต่ในความเป็นจริงกลับเกิดในเสี้ยววินาที ลำแสงแตกกระจายอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าศีรษะสั่นคลอน ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ในเวลานี้เองลำแสงอีกสองสายก็เข้ามาสมทบล้อมร่างศพพาหะเอาไว้อีกครั้ง
ค่ายสามด่านจำต้องใช้ธงเก้าผืนรวมกันเป็นด้านนอก กลาง และในสามด่าน ล้อมวงคุมศพพาหะเอาไว้พร้อมกัน ถึงจะมั่นคงยากทำลาย วงแหวนด้านในแตกละเอียดศพพาหะย่อมรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการหลุดจากวงล้อม มันไม่ลังเลที่จะพุ่งตัวไปยังลำแสง
ในขณะที่เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินถอยหลัง วงแหวนส่วนกลางถูกทำลายลงแล้ว ร่างของศพพาหะพุ่งไปยังวงแหวนส่วนนอก
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าไร้ความรู้สึก เคล็ดวิญญาณสองกระแสถูกยิงออกมาพร้อมกัน ต่างหายเข้าไปในธงผืนหนึ่ง ลำแสงประกายจ้าที่สอดประสานพันกันทำให้ธงฝนที่มั่วชิงเฉินควบคุมสะท้อนแสงสีน้ำเงินผสานกับเข้าไปด้วย
ลำแสงสามสีครอบลงไปด้านนอกของวงแหวนส่วนนอกใหม่อีกครั้ง กลายเป็นวงแหวนส่วนกลาง
ส่วนกลาง และส่วนนอกทั้งสองวงแหวนถูกสร้างขึ้น วงแหวนในถูกทำลาย ไม่นานวงทั้งหวนส่วนกลางและนอกก็ถูกโจมตี
“อั่ก!” นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นผู้หนึ่งร่างกายโซเซ กระอักเลือดออกมา “ไม่ไหวแล้ว พวกเรารับมือไม่ไหวแล้ว”
ศพพาหะถูกกระตุ้นให้ดุร้ายมากขึ้น หากว่ามีคนเริ่มรับไม่ไหวถูกโจมตีจากหลากหลายฝ่าย เช่นนั้นจุดจบก็มีเพียงแต่ความตายเท่านั้น
บังเอิญว่ามั่วชิงเฉินอยู่ใกล้กับเขาพอดี ได้ยินเช่นนั้นก็ยิงไม่มุกลูกหนึ่งออกไป “รับไว้!”
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นรับไข่มุกเอาไว้ตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าพลังวิญญาณถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ในขณะที่แววตาแสดงความตื่นตระหนก ก็ยิงเคล็ดวิญญาณขับเคลื่อนธงไม่หยุด
ในตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงตะโกนดัง ในมือของหญิงบำเพ็ญที่เงียบสงบผิดปกติผู้นั้นมีเชือกสีรุ้งเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในทันใด เกี่ยวพันข้อเท้าของศพพาหะเอาไว้เหมือนงูวิญญาณ
หัวของศพพาหะก้มลงมอง ยกเท้าขวาที่เหมือนจะระเบิดออกขึ้นมาเหยียบลงไปบนเชือกสีรุ้งอย่างแรง
เสียงร้องคำรามต่ำ ร่างของหญิงบำเพ็ญถูกยกขึ้นทั้งร่าง ลอยไปตามเชือกสีรุ้งกลางอากาศพุ่งเข้าหาศพพาหะ
ในเวลานี้เองลำแสงสามวงส่วนใน กลาง และนอกในที่สุดก็สำเร็จ แสงจ้าพุ่งสู่ท้องฟ้าส่องแสงให้ท้องฟ้าสว่างไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา เสมือนกระบองทองที่กักขังล้อมรอบศพพาหะเอาไว้ตรงหลาง
มือหญิงบำเพ็ญผ่อนแรงมือลง ร่างกายที่อยู่กลางอากาศบิดตัวกลับลงมาที่เดิม เหลือเพียงเชือกสีรุ้งที่ถูกแสงจ้าอาบจนโปร่งแสง ด้วยการโจมตีของแสงวิญญาณลอยไปมาสองสามทีก็ตกลงมาบนพื้น
ศพพาหะเหมือนจะรู้สึกได้ถึงภัยอันตราย ดวงตาทั้งสองข้างกรอกมองเล็กน้อย ส่งแสงประกายหนาวเหน็บออกมา สายตาทอดมองไปยังทางเยี่ยเทียนหยวน
ธงเก้าผืน มีเพียงตำแหน่งตรงเขาที่อยู่กลางธงสองผืน ควบคุมธงสองผืนในเวลาเดียวกัน
“ศิษย์พี่ ระวัง!” มั่วชิงเฉินรับรู้ถึงความคิดของศพพาหะในทันใด รีบเอ่ยเสียงเตือน
คันธนูชิงอิ่นปรากฏขึ้นในมือ กิ่งไม้ท้ออายุหมื่นปีเสียดสีไปกับแหวนหยกเขียวอร่ามวงใหญ่ ก่อให้เกิดพลังที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของศพพาหะอย่างรวดเร็ว
ศพหาหะขยับตัวอย่างรวดเร็ว กำปั้นพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าทำให้เกิดลมจากกำปั้นที่ผสมไปด้วยกลิ่นศพพิเศษพุ่งเข้าเยี่ยเทียนหยวน
จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง หมุนบิดร่างกายอีกกำปั้นหนึ่งพุ่งออกไป
ไอดำที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าพุ่งเข้ารับศรไม้ท้อ ศรไม้ท้ออายุกว่าหมื่นปีพุ่งทะลุตรงเข้าไปในไอดำ หัวศรเสียวดสีเข้ากับไอดำ เพราะว่าเสียดสีรุนแรงเกินไป เสียงประกายไฟสีดำจัดจ้าดังขึ้น ไอดำข้างศรไม้ท้อทั้งสองด้านกลายเป็นสองแฉก พุ่งสวนไปพร้อมกับศรคลั่ง
ฝ่ามือของเยี่ยเทียนหยวนมีมีดเพลิงสีม่วงสดปรากฏขึ้น ผ่าลงไปกลางลมกำปั้นอย่างรุนแรง พูดเสียงเย็นว่า “สั่งลม!”
ค่ายสามด่าน ทุกด่านเกิดขึ้นจากธงลม ฝน และสายฟ้าสามผืนรวมตัวกัน และธงลมในส่วนใน กลาง และนอกก็มีเคล็ดวิญญาณในการขับเคลื่อนที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดพลังอำนาจใหม่
ได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยเทียนยหวน คนที่ถือธงลมอีกสองคนก็ได้สติในทันใด ขับเคลื่อนธงลมในมือพร้อมกัน
เสียงลมกรรโชกแรงดังให้ได้ยิน ลำแสงสีเขียวสามสายรวมตัวหลายเป็นพายุหมุนแรงกระแสหนึ่ง พุ่งพัดไปยังศพพาหะ
ในเวลานี้เองในที่สุดศรไม้ท้อก็ไม่อาจรับการทัดทานจากไอดำได้อีกต่อไป แสงสว่างจ้าอยกลับไปยังจุดตันเถียนของมั่วชิงเฉิน
ศพพาหะกลับใกล้ถูกพายุหมุนดูดกระชากเข้าไปแล้ว
โฮก! ศพพาหะคำรามก้อง ท่ามกลางพายุสีเขียวยังพอได้เห็นมือไม้ที่โบกไปมาอย่างบ้าคลั่งของมัน พายุหมุนลูกนั้นค่อยๆ มีท่าทีอ่อนลง
“ฝนตก!” อีกคนหึ่งตะโกนก้อง
ธงฝนเริ่มทำงาน ทั้งสามคนรวมเป็นหนึ่ง บนพายุหมุนเกิดมีเมฆดำรวมตัวกันในทันใด ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วตกลงมา
เม็ดฝนเหล่านี้ล้วนโปร่งแสง ประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมา เพราะแรงบีบรัดจากพายุหมุนทำให้กลายเป็นละเอียดมากขึ้น ตกลงบนศพพาหะอย่างมิอาจหลีกหนี
เสียเสียดสีดังขึ้นมาให้ได้ยิน บนบริเวณร่างศพพาะหะที่ถูกเม็ดฝนตกลงไปนั้นเกิดเป็นควันขาวลอยขึ้นมา จากนั้นก็เห็นว่าบริเวรนั้นกลายเป็นหลุมเล็กหลุมหนึ่ง
เสียงดังปัง ขาขวาของศพพาหะยกขึ้น เตะไปทางพายุหมุนอย่างแรง เห็นว่าพายุหมุนสั่นสะเทือนไปครู่หนึ่ง แลดูจะสลายหายไปไร้รูปร่าง
“ฟ้าร้อง!”
เมฆดำลอยขยับ บริเวณสุดขอบเหมือนมีแสงสีทองชุบอยู่ชั้นหนึ่ง จากนั้นเสียงดังสนั่นก็ดังให้ได้ยิน สายฟ้าสายหนึ่งกรีดผ่านเมฆดำลงมาประหนึ่งกระบี่คมที่แทงลงบนพายุหมุน
กระแสไฟหลายสายนับไม่ถ้วนวิ่งไปมาอยู่ท่ามกลางสายฝน เสมือนแหใหญ่ส่องแสงวิญญาณระยิบระยับปากหนึ่ง และก็เหมือนกับถ้วยใหญ่ฉลุลายที่คว่ำลงใบหนึ่ง กักขังศพพาหะเอาไว้ตรงกลาง
ศพพาหะส่งเสียงกรีดร้องเหมือนสัตว์อสูร จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ปรากกดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งให้ได้เห็น
หัวใจทุกคนเกิดครั่นคร้าม
ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของศพพาหะในทันใด รวมตัวกลายเป็นแหไฟที่ตัดผ่านลำสายหนึ่ง
ค่ายธงที่ถูกขับเคลื่อนกินพลังวิญญาณของทุกคนไปมาก มีคนเริ่มรู้สึกว่าพละกำลังไม่สู้แรงใจ
เสียงเสียดสีของแหไฟตัดผ่านดังขึ้นมา ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบ เสียงเช่นนี้เป็นเหมือนกับคว้านงอของเทพแห่งความตาย เหมือนว่าในเสี้ยววินาทีถัดไปจะสับขาดแหไฟ ตัดลงมาบนคอของใครบางคน
เปาะแปะ มีเหงื่อไคลของคนเริ่มตกลงบนพื้น เสียงกังวาลผิดปกติ
“ท่านเจ้าเมืองเว่ย…เหตุใดถึงยังไม่มา…” เสียงของคนผู้หนึ่งเห็นชัดว่าเริ่มไม่สงบ
ความไม่สงบเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นโรคติดต่อ มือของสองคนสั่นเทิ้มพร้อมกัน ธงที่พวกเขาควบคุมเริ่มสั่นไปมา เสียงเสียดสี แหๆฟถูกตัดขาดเป็นบริเวณใหญ่
“อย่าไปคิดมาก!” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นสงบดุจน้ำแข็ง แต่กลับทำให้ทุกคนมีสติที่แจ่มแจ้ง
“สหายทุกท่านลำบากแล้ว!” ลมกระแสหนึ่งพัดพามา ร่างสวมชุดสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางค่ายพลัง
เห็นว่าเจ้าเมืองเว่ยดีดนิ้ว แหใหญ่ที่เกิดจากธงลม ฝน และสายฟ้ารวมตัวกันลอยขึ้นในทันใด กลายเป็นแท่งไม้หลากหลายแท่งตกลงบนบริเวณรอบด้านเสมือนนางฟ้าโปรยดอกไม้ ล้อมรอบกลายเป็นรั้วกั้นหนึ่งวง
กลางรั้วกั้นเจ้าเมืองเว่ยและศพพาหะยืนอยู่ตรงข้ามกัน
ทุกคนพากันลอบถอนหายใจ
เจ้าเมืองเว่ยมองศพพาหะ ในใจเกิดความพึงพอใจขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวันนี้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหล่านั้นจะค้นพบศพพาหะ มันในช่วงเวลานี้มีความสามารถน้อยกว่าวันพระจันทร์เต็มดวงอยู่มากนัก
“เจ้ายังคิดหนี?” เจ้าเมืองเว่ยแค่นหัวเราะ
ดวงตาของศพพาหะแดงก่ำ จู่ๆ ก็ยื่นกำปั้นออกมาทุบลงบนหน้าอกของตนเองทีหนึ่ง เลือดขุ่นกระอักออกมา
ทุกคนที่อยู่นอกรั้วกั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นเยียบ ขาทั้งสองข้างเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่
หลังจากนั้นก็เป็นการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างเจ้าเมืองเว่ยและศพพาหะ
แต่เลือดขุ่นที่ศพพาหะกระอักออกมานั้นรวมตัวกลายเป็นไอดำ ต่อให้ทุกคนใช้สายตาการมองของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็ยังมองเห็นได้เพียงร่างเงาสองร่างกระแทกพุ่งเข้าหากันเป็นครั้งราว แยกออกจากกันเป็นครั้งคราว จนถึงสุดท้ายก็มองเห็นเพียงแสงสีมองหลายสายแฝงสะท้อนผ่านไอดำ และต่อจากนั้นก็มองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป มีเพียงไอดำกลุ่มนั้นที่ลอยพลิกไปมา ทำให้คนยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศกดดันมากยิ่งขึ้น
ทุกคนต่างรวบรวมสมาธิจดจ่อ ต่อให้จะมองไม่เห็นอะไร แต่ดวงตาก็ยังจ้องเขม็งไปที่ไอดำตรงหน้าไม่ขยับไปไหน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ ก็เห็นว่าไอดำเกิดสั่นสะท้านขึ้นมาพักหนึ่ง จากนั้นรั้วกั้นเหล่านั้นก็กลายมาเป็นแสงสว่างใหม่อีกครั้ง พุ่งทิ่มเข้าไปในไอดำ
เสียงทั้งหมดดูเหมือนจะถูกจองจำอยู่ในไอดำ ทุกคนไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่นานไอดำก็สลายหายไป ปรากฏร่างเงาสีดำให้ได้เห็น
ศพพาหะยังคงยืนตรงข้ามกับเจ้าเมืองเว่ย เพียงแต่บนร่างมีศรเล็กที่เกิดจากแสงจ้าหลายสายนับไม่ถ้วนทิ่มแทง
เจ้าเมืองเว่ยยื่นมือทั้งสองข้างออกไปช้าๆ ปรบมือสองสามที ลำแสงจ้าบนร่างศพพาหะหายไปในทันใด จากนั้นศรเลือดหลายดอกนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา
ร่างของเจ้าเมืองเว่ยลอยขึ้นไปด้านข้าง ชุดสีดำสะบัดพัดเป็นมุมสง่างาม จากนั้นก็ค่อยๆ ร่อนตัวลง มือสะบัดจัดการเก็บศพพาหะเจ้าไปในถุงเก็บวัตถุ และยกมือจัดการนำตัวนักบำเพ็ญเพียรที่บาดเจ็บในตอนแรกยกขึ้น กวาดตามองทุกคนพลางส่งยิ้มให้ “สหายทุกท่าน เชิญตามตัวข้าสกุลเว่ยกลับจวนเถิด”