พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 452
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลง บริเวณข้อเท้า ไม่มีสิ่งใดเลย แต่ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นยังคงอยู่อย่างแท้จริง
ความเย็นยะเยือกหนึ่งไหลผ่านหัวใจ กริชฟันปลาปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ แล้วฟันลงไปยังที่แห่งนั้นอย่างแรง
ไม่ว่าจะอสูรใด ต่อให้มองไม่เห็น ขอเพียงมันมีตัวตนย่อมสามารถรับมือได้
กริชฟันปลาก่อให้เกิดกระแสลมระลอกหนึ่ง มั่วชิงเฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือข้างนั้นที่บริเวณข้อเท้ารีบปล่อยออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกระแสน้ำลง หายลับไกลออกไป
นางตอบสนองอย่างเป็นประโยชน์โดยไม่รู้ตัว ครู่หนึ่งก็กระโดดขึ้นมา
เยี่ยเทียนหยวนและหู่โถวเองก็ประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ในเวลานั้นทั้งหมดต่างกระโดดขึ้นมาพร้อมกัน ของวิเศษเหาะเหินปรากฏขึ้นใต้เท้าทะยานพุ่งสูงสู่ท้องฟ้า
“แย่แล้ว ที่นี่กลายเป็นอาณาเขตที่พวกเรามองไม่เห็นไปแล้ว!” เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเคร่งเครียด ห่วงทองเหวี่ยงออกไปโดยพลัน แยกตัวออกเป็นเก้าวงกลางอากาศ พุ่งไปยังทุกมุมของท้องฟ้า ครั้นแล้วก็เห็นเป็นประกายไฟกระเซ็นไปทุกทิศ ห่วงทองราวกับปะทะเข้ากับกำแพงล่องหน สะท้อนกลับคืน
กลางอากาศที่ก่อตัวเป็นอาณาเขตขวางกั้น ราวกับถ้วยคว่ำ ลอยเคว้งกลางอากาศแต่กลับไม่รู้ว่าเป็นอะไร เช่นนี้สู้เหยียบเท้าลงบนพื้นดินจริงๆ ยังจะดีกว่า
แล้วทั้งสามคนก็ร่วงลงมา
อาศัยจิตสัมผัสอันเฉียบไว มั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงมืออันเย็นยะเยือกจำนวนมากขึ้นยื่นเข้ามา
กริชฟันปลาฟันออกไปไม่ขาด แม้ตาเปล่าจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกยามของคมมีดบาดลึกลงกล้ามเนื้อนั่น
อีกด้านหนึ่ง ห่วงทองในมือเยี่ยเทียนหยวนก็ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงสีแดงม่วง หมุนวนไปรอบตัวตามลำดับดูประหลาดตาแล้วพุ่งโจมตีออกไป พาเอาวังวนลมหมุนระลอกแล้วระลอกเล่าพุ่งไปด้วย
มั่วชิงเฉินค้นพบอย่างประหลาดใจ เพราะวังวนลมหมุนนั่น ทำให้เห็นเงาร่างสะท้อนออกมารางๆ
น่าเสียดายราวกับเส้นผมบดบัง อย่างไรก็ยังไม่อาจเห็นชัดๆ ว่าที่แท้คืออสูรอันใดกันแน่
เบื้องหน้าหู่โถวมีกระดองเต่าขนาดใหญ่อันหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาสะบัดขาสั้นของเขาตะกายปีนขึ้นไป แล้วขึ้นนั่งอยู่ตรงกลาง มือถือดอกบัวเอาไว้แล้วเริ่มท่องบทสวด
อักขระสีทองตัวแล้วตัวเล่าลอยออกจากปาก ลอยว่อนไปทั่วทุกทิศ เมื่อถึงกลางอากาศก็ปะทุ แตกออกเป็นดอกบัวสีทองขนาดกระจิริดดอกแล้วดอกเล่า
เสียงโหยหวนดั่งแว่วมา
มั่วชิงเฉินเห็นเยี่ยเทียนหยวนและหู่โถวกำลังต่อสู้ ดูท่าทางทรงพลังกว่านางมาก จึงเก็บกริชฟันปลาลง แล้วอัญเชิญธนูเขียวซ่อนเร้น ตั้งคันแล้วรั้งสายธนู ลูกศรแสงนับร้อยถูกยิงออกไป
จากนั้น นางก็เม้มมุมปากเบาๆ ยกคันธนูเขียวซ่อนเร้นเล็งไปยังบนท้องฟ้า เหนี่ยวสายธนูจนตึงเต็มที่ แล้วยิงออกไปอีกครั้ง ลูกศรแสงนับร้อยกระจายไปทั่วท้องฟ้าราวกับเทพธิดาโปรยกลีบดอกไม้ ลูกศรกระจายออกไปประหนึ่งห่าฝน
ไม่ผิดจากที่คาด การโจมตีเช่นนี้ คู่ต่อสู้แม้จะไม่เห็นตัวตน แต่กลับส่งเสียงร้องครวญออกมาไม่ขาด
ทั้งสามร่วมมือกัน โจมตีอีกครั้งอย่างคลุ้มคลั่ง
ครืน…
เสียงราวฟ้าคำรนคำรามทุ้มลึก แต่ก็คล้ายเสียงม้านับหมื่นวิ่งห้อตะบึง ครั้นแล้วพื้นด้านล่างฝ่าเท้าก็พลันขยับไหวอย่างรุนแรง
ร่างพวกมั่วชิงเฉินทั้งสามขยับไหว รีบทะยานไปยังกลางอากาศ แต่ก็พบว่าอากาศรอบข้างเองก็กระเพื่อมไหวเช่นกัน จนทำให้ของวิเศษเหาะเหินเสียการควบคุม
เยี่ยเทียนหยวนและหู่โถวงอตัว ปลายเท้าแตะลงบนของวิเศษเหาะเหินที่คืนร่างสู่สภาพเดิม ร่างกายสูงใหญ่กระโดดขึ้น พยายามรั้งไว้ไม่ให้ร่วงลงไป
มั่วชิงเฉินยกข้อมือขึ้น เถาวัลย์สองเส้นปรากฏออกมาแยกกันมัดแต่ละคนเอาไว้ ครั้นแล้วก็ดึงทั้งสองคนเข้ามาใกล้ ใช้มือข้างหนึ่งดึงอีกคนเอาไว้ แล้วยืนอยู่บนกลางอากาศ
ข้อดีที่สุดหลังจากกินผลไม้เซียนเข้าไปก็คือ ไม่ว่าเวลาใดนางก็สามารถยืนบนอากาศได้อย่างอิสระ
เมื่อตั้งหลักได้กลางอากาศ ทั้งสามก็มองไปยังเกาะที่กำลังเขย่าสั่นราวกับแผ่นดินไหวอย่างสงบนิ่ง และแล้วก็พบต้นตอเหตุการณ์ทั้งหมด
เกาะที่เขย่าไหวนั้นเริ่มลอยขึ้นมาช้าๆ จากนั้นตรงจุดที่ห่างจากพวกเขาไม่ไกล คลื่นสมุทรก็กระเพื่อมขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง
ไม่รู้ว่านานเท่าไร ท้องทะเลก็ค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ในตอนที่ทั้งสามคนทอดถอนใจออกมาอย่างก้องดังราวฟ้าถล่มนั้น พื้นดินที่น้ำทะเลซัดผ่านก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ และดำขึ้นเรื่อย จากนั้นเสียงน้ำก็ดังขึ้น โขดหินก้อนเขื่องก้อนหนึ่งผุดขึ้นมาจากตรงนั้น
“ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่โขดหิน!” มั่วชิงเฉินร้องขึ้นแผ่วเบาพลางจ้องนิ่งไปยังที่แห่งนั้นไม่ละสายตา
สิ่งที่เหมือนโขดหินนั้น ส่วนหน้าของมันค่อยๆ ยกตัวขึ้น สูงจนแทบเสมอกับพวกเขาทั้งสาม
ดวงตาสีดำทะมึน ขนาดราวกระบุงสานคู่หนึ่งหันมา
นั่นคือเต่ายักษ์!
มั่วชิงเฉินใจเต้นตุบ หรือว่าเกาะแห่งนี้ ที่จริงแล้วคือเต่ายักษ์ขนาดหาที่เปรียบไม่ได้ตัวนี้หรือ
แล้วสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งคอยโจมตีพวกเขาไม่หยุดเหล่านั้นคืออะไรกัน
ยังไม่ทันนึกอะไรออก ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำฟังดูคล้ายคนชราเสียงหนึ่งดังขึ้น “เป็นพวกเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวกระจ้อยร่อยสามคนนี้เองที่มารบกวนข้า”
เมื่อสบสายตากับเต่ายักษ์ มั่วชิงเฉินก็มองออกว่าเต่ายักษ์ตัวนี้คืออสูรระดับแปด ซึ่งเทียบได้กับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น
ด้วยกำลังของพวกเขาสามคน การจะรับมือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคงเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรระดับแปดก็ยังอาจจะมีทางให้สู้อยู่บ้าง แต่ว่าเต่ายักษ์ตัวนี้ช่างใหญ่โตเสียจริงๆ จนทำให้รู้สึกยากจะลงมือ
มั่วชิงเฉินยังไม่ทันจะเอ่ยปากพูดสิ่งใด เยี่ยเทียนหยวนกลับพูดขึ้นมา น้ำเสียงสงบนิ่งกังวานใส เจือด้วยความสุขุมนุ่มลึกอันยากจะอธิบายว่า “ผู้อาวุโส พวกเราทั้งสามคนเพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น”
“หือ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วไยพวกเจ้าต้องขว้างไฟและยิงธนู ทั้งยังสวดแช่งอะไรนั่นอีกด้วย” เสียงอันแหบพร่าของเต่ายักษ์ฟังราวกับคนชราปัจฉิมวัย ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกหดหู่ยากจะบรรยายขึ้น
สวดแช่งหรือ
หู่โถวตอนนี้รู้สึกเดือดดาลอย่างมาก ดวงตากลมโตถลึงจ้องไปยังเต่ายักษ์นั่นอย่างดุดันปราดหนึ่ง เพียงแต่เสียดายเมื่อเทียบกับดวงตาที่ใหญ่เท่ากระบุงสานนั่นแล้ว ช่างแตกต่างกันลิบลับ
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ เสียงนี้ราวกับมีอำนาจสลายปณิธานคนได้ ดูท่าคงต้องระวังให้มาก
เยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นยืนตรง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “เพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น ไม่รู้ว่าพวกภูตพรายเหล่านั้น ผู้อาวุโสเป็นผู้เลี้ยงเอาไว้หรือ”
เขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรระดับแปด ใช่ว่าจะไร้ซึ่งกำลังปกป้องตัวเอง แล้วไยต้องมัวอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดอะไรเพราะเต่ายักษ์ตัวนี้ด้วย
“ภูตพรายหรือ” เต่ายักษ์เลื่อนสายตาไป ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
เวลาผ่านไปชั่วจิบชาหนึ่งจอก ทันใดนั้นเต่ายักษ์ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะยังคงทุ้มต่ำยากจะเปรียบเปรย “นั่นหาใช่ภูตพรายไม่ เป็นเพียงเด็กๆ ที่ช่วยข้าเกาคันเท่านั้น ในเมื่อพวกมันล่วงเกินพวกเจ้าก่อน เช่นนั้นข้าก็จะไม่หาเรื่องพวกเจ้าตัวกระจ้อยร้อยทั้งสามแล้ว”
“ขอบคุณผู้อาวุโสอย่างยิ่ง” ทั้งสามคาดไม่ถึงว่าเต่ายักษ์จะพูดเช่นนี้
แต่ใครจะรู้ว่าเต่ายักษ์จู่ๆ ก็เปลี่ยนน้ำเสียง “เพียงแต่คำแช่งที่เจ้าตัวกระจ้อยร่อยนั่นสวดทำให้ข้าปวดหัวจริงๆ หากให้พวกเจ้าไปเฉยๆ คงเป็นไปไม่ได้”
ก้าวข้ามความว่างเปล่าไปหนึ่งก้าว เยี่ยเทียนหยวนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เช่นนั้นผู้อาวุโสต้องการเช่นไร”
เขารู้สถานะของหู่โถวในใจมั่วชิงเฉินดี สำหรับหู่โถวนั้นย่อมทอดทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว
มั่วชิงเฉินกุมธนูเขียวซ่อนเร้น มองไปยังเต่าเฒ่ามุมปากแฝงด้วยร้อยยิ้มเยาะเย้ย
เจ้าเต่าเฒ่าตัวนี้ หรือว่าคิดจะทำร้ายหู่โถว
หากเป็นเช่นนั้น ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจแล้วกัน หากทั้งสามพร้อมใจกัน เจ้าอสูรระดับแปดยังจะคิดว่าตนได้เปรียบกว่าอยู่อีกหรือ
บรรยากาศที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อนั้น เกรงว่าเจ้าเต่าเฒ่าตัวนี้คงแก่เกินไป จนสมองเชื่องช้าไม่อาจรู้สึกถึง
ในใจมันเจือด้วยความเกรี้ยวกราด แต่โดยแท้แล้วก็เป็นเพียงแค่เต่าที่แก่เฒ่าจนกลายเป็นอสูรเท่านั้น ย่อมรู้ว่าหากคิดจะปะทะ ก็มิได้มีประโยชน์อะไรต่อตน แต่หากจะปล่อยพวกเขาไป ก็ยอมไม่ได้ จึงพูดขึ้นว่า “ข้อคิดเช่นไรนะหรือ หากพวกเจ้าสามารถออกไปได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นข้าก็จะไม่ขัดขวาง”
ได้ยินเต่าเฒ่าเอ่ยเช่นนั้น มั่วชิงเฉินก็เยียดมุมปาก อะไรกันที่ว่าขัดขวาง หรือว่าอาณาเขตที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นนั้น คือเจ้าสิ่งที่เจ้าตัวช่วยเกาคันสร้างขึ้นหรือ
“ได้!” เยี่ยเทียนหยวนรับคำทันที
“หึๆๆ เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ” เต่าเฒ่าดำหัวลงใต้น้ำทะเลอย่างแรง เสียงน้ำสาดโครม คลื่นยักษ์กระเพื่อมขึ้น ฟองน้ำก่อตัวเป็นลูกศรน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนยิงพุ่งไปทางทั้งสาม
หู่โถวโพล่งอมิตาภพุธออกมาเสียงดัง ยกมือขึ้นหมุนเหวี่ยงกระดองเต่าอันหนึ่งออกไป
กระดองเต่าขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา วางขวางด้านหน้าทั้งสามสกัดกั้นธนูน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นเอาไว้
หู่โถวมองด้วยความพึงพอใจ เขาปรบมือพลางหยีตาพูดออกมาว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่ากระดองเต่าไหนเยี่ยมยอด”
มั่วชิงเฉินยิ้มอ่อน “กระดองไหนจะเยี่ยมยอดก็ไม่มีปัญหา หากกระดองของเจ้าเต่าเฒ่านั้นยอดเยี่ยม ข้าก็จะถลกมันมา แล้วค่อยให้ศิษย์พี่หลอมให้เป็นของวิเศษมอบให้เจ้า”
คำพูดของนางสามารถยั่วยุเต่าเฒ่าให้โกรธขึ้นมาได้สำเร็จ จึงเห็นได้ว่าพื้นดินและท้องฟ้ากระเพื่อมไหวอย่างรุนแรงหนักขึ้น
“ศิษย์น้อง ตรงนั้น” เยี่ยเทียนหยวนชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งฉับพลัน
มั่วชิงเฉินประสานตากับเยี่ยเทียนหยวน แล้วพุ่งไปยังทิศทางที่ชี้เมื่อครู่พร้อมกัน
พวกเขาจงใจยั่วให้เต่าเฒ่าให้โกรธ เพราะหากมันสูญเสียการควบคุมสติแล้ว จากนั้นก็หาจุดที่พลังวิญญาณอ่อนเบา จุดนั้นย่อมเป็นจุดอ่อนของอาณาเขตนี้
หากพูดว่าอาณาเขตนี้รูปร่างดั่งถ้วยคว่ำ จุดอ่อนนี้ก็คงอยู่ที่ก้นถ้วย
มั่วชิงเฉินพยุงมือทั้งสองพุ่งตรงไปยังที่แห่งนั้น แต่ก็พบว่าตนมือไม่ว่างหยิบจับอาวุธ
หู่โถวบำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณ ไม่ถนัดการโจมตี เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็เกิดความคิดขึ้นฉับพลัน มือน้อยๆ สะบัดออกจากมือมั่วชิงเฉิน คนทั้งคนร่วงไปเกาะอยู่ที่น่องเท้าของนาง
มั่วชิงเฉินยิ้มแหย มือข้างที่ว่างก็อัญเชิญกริชฟันปลาออกมา แล้วแทงไปยังตรงนั้นอย่างคลุ้มคลั่ง
“ศิษย์น้อง ใช้เถาวัลย์มัดพวกเราเอาไว้” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนแว่วข้างหู
เถาวัลย์สีเขียวพันรัดเอวทั้งสองคนเอาไว้ มั่วชิงเฉินสองมือจึงว่างในที่สุด กริชฟันปลาคู่หนึ่งตวัดแกว่งเริงระบำ ข่ายอาคมที่สลักบนนั้นถูกกระตุ้น อิทธิฤทธิ์ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
เยี่ยเทียนหยวนมือถือดาบเพลิงยาวสีม่วงแดง แม้ความเร็วในการจู่โจมจะไม่รวดเร็วเท่ามั่วชิงเฉิน แต่ถูกครั้งที่ฟัน พลังนั้นหนักหน่วงสะท้านพสุธา แรงคลื่นที่ตามมากลายเป็นมังกรเพลิงออกเวียนว่ายกลางอากาศ ท่วงท่าราวกับสายรุ้ง
อาณาเขตขวางกั้นจะเยี่ยมยอดเพียงใด หากถูกค้นพบจุดอ่อนเสียแล้ว ล้วนทานการโจมตีอย่างบ้าคลั่งราวพายุเช่นนี้ไม่ได้ ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ที่ตรงนั้นก็มีแสงวิญญาณกะพริบขึ้นมา
เต่าเฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ไม่ทนนิ่งเฉย สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที แล้วก็พ่นลมออกมา
สำหรับพวกมั่วชิงเฉินทั้งสาม ลมหายใจนี้ไม่ต่างอะไรกับพายุหมุน เถาวัลย์ที่พันนางและเยี่ยเทียนหยวนไว้ด้วยกันเริ่มปริแตกในทันที หู่โถวที่โอบขานางถูกลมพัดลอยไปในพริบตา
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี ร่างกายแม้จะถูกพัดจนแกว่งไปมาไม่หยุด แต่เพราะอำนาจของผลไม้เซียนจึงสามารถลอยอยู่กลางอากาศต่อได้
นางไม่มีเวลามาโจมตีจุดหมายที่ใกล้จะสำเร็จเบื้องหน้า มือทั้งคู่ยกขึ้นปล่อยเถาวัลย์สองเส้นออกไปพันรัดคนทั้งสองไว้
และท่ามกลางภาวะสุดแสนคับขัน นางเห็นดาบเพลิงยาวสีแดงม่วงที่ลุกโชนด้ามหนึ่งในมือเยี่ยเทียนหยวนลอยพุ่งออกไป นำพาอานุภาพเกินต้านทานประหนึ่งดาวตกเพลิงออกไปด้วย พุ่งตรงด้วยความเร็วและปักลงยังที่แห่งนั้น
เสียงโหยหวนกึกก้องแว่วดังออกมา แสงสว่างวาบไปทั่วทั้งฟ้า จากนั้นก็เห็นรูปร่างคล้ายถ้วยคว่ำครึ่งถ้วยส่องสว่างรำไร เริ่มแตกร้าวทีละน้อยๆ จากตรงกลางของก้นถ้วย ดูคล้ายกับลวดลายบนกระดองเต่า
“ศิษย์น้อง พวกเราไปกันเถอะ!”
เสี้ยววินาทีนั้น ของวิเศษเหาะเหินก็เริ่มขยับได้ เยี่ยเทียนหยวนดึงมั่วชิงเฉิน เถาวัลย์ในมือมั่วชิงเฉินมีหู่โถวเกาะอยู่ แล้วทั้งสามคนพุ่งทะลุออกไปจากรอยแยกนั้น
ด้านหลัง เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของเต่าเฒ่าแว่วมา แต่มั่วชิงเฉินกลับหัวเราะ