พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 465 ลูกปากว้าเทพมาร
“เสี่ยวรั่ว เจ้าไปผ่าฟืนหรือ” หญิงผู้หนึ่งถาม
ตู้รั่วพยักหน้านิ่ง แบกสิ่งที่ผู้อื่นเห็นว่าเป็นซากไม้วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ช่วยไม่ได้ นี่คือคนที่แปดแล้วที่ถามเช่นนี้
เมื่อถึงบ้าน ตู้รั่วก็วางของลง ใช้มือลูบคลำ ความคิดปรากฏขึ้นกลางแววตา ครั้นแล้วจึงไปยังริมบ่อหลังบ้าน หยิบแปรงด้ามหนึ่งขึ้นมาขัดล้าง
มองไปยังน้ำสีดำเขียวไหลไปตามแผ่นหินสีคราม ตู้รั่วปาดเหงื่อ แล้วบ่นอู้อี้ “นี่มันคืออะไรกันแน่นะ ตะไคร่ขึ้นเขลอะเชียว”
เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ของสิ่งนั้นก็เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา มันคือดักแด้สีน้ำเงินม่วงตัวหนึ่ง
ตู้รั่วแววตาประหลาดใจ ลูบคางเดินวนรอบดักแด้ใหญ่นั้น
ในดักแด้ใหญ่นี้คืออะไรกัน หรือว่า จะเป็นตัวบุ้ง หรือว่าอสูรปีศาจสักอย่าง
ตู้รั่วเข้าใกล้ดักแด้ เงี่ยหูฟัง
เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แม้จะเป็นเพียงระดับหลอมลมปราณ แต่ความสามารถในการรับรู้สิ่งมีชีวิตนั้นแก่กล้า สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากดักแด้ใหญ่ได้อย่างชัดเจน
ตู้รั่วสีหน้ายินดี มีกลิ่นอายแห่งชีวิต ในนี้ต้องเป็นอสูรปีศาจที่ยังไม่ฟักออกมาตัวหนึ่งแน่นอน
เด็กหนุ่มแต่ละคนต่างเฝ้าฝันว่าจะมีของขวัญหล่นจากฟ้า ตู้รั่วเองก็เช่นกัน เขารีบกัดนิ้วจนเป็นแผล แล้วหยดเลือดลงบนดักแด้ใหญ่
เสือดแดงสดซึมหายไปกับตา ดักแด้ใหญ่ไม่มีการเคลื่อนไหว
หรือว่า นี่คือไข่อสูรระดับสูงนะ เลือดแค่นี้คงไม่พอสินะ
เขาตัดใจกรีดเลือดครึ่งถ้วย แล้วเทคว่ำลงไปทันที
เห็นดักแด้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตู้รั่วก็หน้าซีด ล้มตัวลงหลับไป
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าตนได้หลับเห็นฝันอันยาวนานฉากหนึ่ง ฝันนั้นช่างงดงาม เหมือนว่าอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นได้ แต่จู่ๆ ก็มีฝนตกลงมา และยังเป็นสีแดงด้วย สาดเทจนนางชุ่มโชก แล้วนางก็สะดุ้งตื่นขึ้น
ทันทีที่ลืมตา ก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของเยี่ยเทียนหยวน ก้มมองอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งสองกำลังกอดกันแน่น ไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน
มั่วชิงเฉินคลึงหน้าผาก ปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมา
ตอนที่นางรักษาศิษย์พี่ ทั้งสองดูเหมือนจะเข้าสู่สภาพอันลึกล้ำมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ในสภาพนั้น นางจำได้ว่าจิตดั้งเดิมของทั้งสองปะทะกัน แล้วอาบแสงวิญญาณสีขาว รสสัมผัสอันวิเศษนั้นทำให้วิญญาณขยับไหว รู้สึกอยากหลับยาวๆ ไม่ยอมตื่น
อ้อ แล้วตื่นขึ้นมาได้อย่างไร
มั่วชิงเฉินสำรวจสภาพรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก็พบว่าทั้งสองคนอยู่ในพื้นที่ปิดสนิทอันคับแคบแห่งหนึ่ง
ในอากาศ มีไอหมอกสีแดงอ่อนๆ ไหลผ่าน
ยืนนิ้วมืออันขาวผ่องออกไปแทงผ่านหมอกสีแดงจางๆ นั้น แล้วยื่นมายังจมูกเพื่อดมกลิ่น
กลิ่นของเลือด
มั่วชิงเฉินเข้าใจทันที นางและศิษย์พี่เข้าสู่สภาวะอันมหัศจรรย์ หลับไหลมาไม่รู้กี่ปีแล้ว สภาพรอบตัวล้วนกลับสู่สภาวะสมดุลแล้วแน่นอน แต่หมอกเลือดที่มาจากข้างนอกนี้ ทำลายสมดุลลง นางจึงได้ตื่นขึ้นมา
แล้วไยศิษย์พี่จึงไม่ตื่น
มั่วชิงเฉินมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน ก็ตกใจขึ้นมาทันที
ตาทั้งคู่ของเขาหลับลงเบาๆ สีหน้าผ่อนคลาย ผิวกายส่องประกายดั่งหยก ยังมีแสงสีทองส่องระยิบระยับอยู่บางๆ
เห็นได้ชัดว่านี่คือ…ลางบอกล่วงหน้าของการปะทะระดับก่อกำเนิด!
มั่วชิงเฉินใจสั่นสะท้าน รู้สึกไม่อยากเชื่อตัวเอง
ก่อนที่จะหลับไหล เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งจะตั้งหลักในระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายได้ พวกนางนอนหลับไปกี่ปีกันแน่ ไยเมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็สามารถก้าวข้ามระดับก่อแก่นปราณสมบูรณ์ได้ เข้าสู่สภาวะปะทะกับระดับก่อกำเนิด
มั่วชิงเฉินนึกขึ้นได้ฉับพลัน นางสำรวจตัวเอง
ระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย ห่างจากระดับก่อแก่นปราณสมบูรณ์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น!
“ของดีหล่นจากฟ้า มีจริงๆ ด้วย” มั่วชิงเฉินพึมพำ
นางเป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ หลังจากความตื่นตระหนกในตอนแรก ในที่สุดก็สงบลงอีกครั้ง คิดเหตุผลที่ตนตื่นขึ้นมา แต่เทียนหยวนกลับยังไม่ตื่นออกมาได้
เป็นเพราะเหตุผลที่ไม่รู้บางอย่าง การบำเพ็ญเพียรของพวกเขาทั้งสองเพิ่มระดับขึ้นอย่างมาก เยี่ยเทียนหยวนเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณสมบูรณ์จากนั้นก็เริ่มปะทะระดับก่อกำเนิดพอดี
ตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ในระดับก่อกำเนิด ย่อมยังไม่อาจตื่น
แต่เมื่อนางเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย พลังลึกลับที่กระตุ้นความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรของนางหายไป ระดับการบำเพ็ญเพียรจึงไม่ได้เพิ่มขึ้น เพียงแต่สมดุลแห่งสภาวะมหัศจรรย์นั้นไม่อาจทำลายได้ จึงไม่ได้ตื่นขึ้นมา
แล้วเช่นนี้ นางต้องขอบคุณไอหมอกนั่นหรือเปล่า
มั่วชิงเฉินยื่นมือผนังที่ปิดขังพวกนางเอาไว้ สัมผัสอันแข็งและลื่น เกรงว่าคงจะทำลายลงได้ไม่ง่าย
แต่สภาพเยี่ยเทียนหยวนในตอนนี้ นางไม่กล้าใช้พลังวิญญาณตามอำเภอใจ
คิดอยู่ชั่วครู่ มั่วชิงเฉินก็ยกเลิกแผนจะออกไป หลับตาทั้งคู่ลง ตัดสินใจที่จะฝึกบำเพ็ญเพียรต่อไป
แต่เมื่อพลังวิญญาณเคลื่อนสู่จุดศูนย์กลางแห่งพลังงาน ก็หยุดลง จิตลอยค้างนิ่งอยู่บนรูปปากว้าเล็กๆ เหนือจุดศูนย์กลางแห่งพลังงาน
รูปปากว้าคู่สีขาวดำนั้น ทรงกลมเกลี้ยงขนาดเท่าเล็บมือ เคลื่อนไหวไปมาช้าๆ เหนือจุดศูนย์กลางพลังงาน
นี่คือ…
ทันทีที่นึกได้ มั่วชิงเฉินก็ใช้จิตสัมผัสเข้าไปสัมผัสลูกปากว้านั้นหนึ่งที
พลังอันยากจะต้านทานอย่างหนึ่งแผ่เข้ามา มั่วชิงเฉินสะท้านไปทั้งตัว ลูกปากว้าอันนี้ มีพลังเทพมารแฝงอยู่
สำรวจไปทั่วทั้งตัวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ระดับสร้างรากฐานจนถึงไอแห่งวิญญาณเทพและไอแห่งวิญญาณมารที่แอบซ่อนอยู่ในกายหายไปตามคาด
พินิจลูกปากว้าสีขาวตัดกับดำอย่างละเอียด มั่วชิงเฉินก็คาดเดา หรือว่าช่วงเวลาที่หลับไหลอยู่ ไอแห่งวิญญาณเทพและไอแห่งวิญญาณมารได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ครั้นแล้วก็กลายเป็นลูกปากว้าเล็กไป
พลังวิญญาณขับเคลื่อน ลูกปากว้าปรากฏแล้วเลือนหายอยู่ซ้ำๆ บนฝ่ามือ
มุมปากมั่วชิงเฉินโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไอแห่งมารเทพหลอมรวมเป็นลูกปากว้าทำให้นางรู้สึกจนปัญญาในตอนแรก ในที่สุดนางก็สามารถขับเคลื่อนมันได้แล้ว!
หรือว่านี่…จากนี้ไปนางจะมีอาวุธสังหารเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง
แต่ต้องเข้าใจว่าไอแห่งวิญญาณเทพและไอแห่งวิญญาณมาร เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่กล้าจะลูบคมมัน
มั่วชิงเฉินเกิดแรงผลักดันอันแรงกล้าที่จะออกไปสู่ภายนอก อยากลองอานุภาพของลูกปากว้าอันนี้ แต่เมื่อมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน ความคิดทุกอย่างก็ต้องเก็บมันเอาไว้ แล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรแต่โดยดี
วันเวลาแต่ละวันผ่านไป มั่วชิงเฉินอยู่ในพื้นที่ปิดสนิทอันคับแคบ ผลการบำเพ็ญไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ซ้ำยังมีความรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
นางรู้ดีว่าถูกขังไว้นานแล้ว จิตใจรุ่มร้อน แต่ก็สามารถปรับอารมณ์กับคืนได้โดยเร็ว แล้วเริ่มทบทวนม้วนหยกที่ได้ดูมาจากมั่วถง
สภาพเช่นนี้ ย่อมเหมาะที่สุดที่จะทำความเข้าใจบันทึกปกิณกะในชีวิตของมั่วถงเล่มนั้น มั่วชิงเฉินค่อยๆ หวนรำลึก นางถอนหายใจออกมายาว
ชีวิตของมั่วถงนี้ ล้วนแต่ประสบพบเจอเพียงผู้ชายไม่ได้ความ
แรกสุดเป็นเพราะเพลิงแก้วใจกระจ่าง ถูกชายผู้หนึ่งชิงเอาตัวไป กักขังนางไว้เต็มๆ สี่สิบปีจึงหาทางหนีกลับคืนตระกูลได้ แม้เป็นเช่นนั้น นางก็หาได้พบกับความสงบสุขไม่ ชายผู้นั้นเกิดความรู้สึกต่อนาง ตามมาพบถึงบ้านตระกูลมั่ว นางได้แต่หนีไปอีกครั้ง ในระหว่างที่หลบหนีก็ถูกชายผู้หนึ่งช่วยเหลือเอาไว้ ทั้งสองคนเดินทางจนถึงดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออก
บุญคุณในการช่วยชีวิตและการดูแลอย่างดีของชายผู้นั้น ทำให้ใจของมั่วถงรู้สึกอบอุ่น ทั้งสองจึงร่วมทางกัน
นางคิดไปว่านี่คือชายแสนดีที่จะจูงมือนางเดินไปด้วยกันชั่วชีวิต ความลำบากยากเข็ญก่อนหน้านี้คือสิ่งที่ทำให้นางเห็นค่าความงดงามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่ใจคนนั้นเปลี่ยนอย่างง่ายดาย
นางไม่รู้ว่าความลับของเพลิงแก้วใจกระจ่างถูกหญิงผู้ซึ่งเทใจให้กับชายผู้นั้นรู้เข้าได้อย่างไร ความลับถูกแพร่งพรายกระจายออกไป
ตอนนั้น ชายผู้มากหน้าหลายตาดาหน้ากันเข้าหา มีบางคนบำเพ็ญเพียรในระดับที่สูงกว่าชายคนนั้น
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องคอยปกป้อง ในที่สุดเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยและเหนื่อยล้าก็ค่อยๆ ฝังรากลง จนกระทั่งวันหนึ่ง ในที่สุดเขาก็จูงมือหญิงผู้นั้น แล้วบอกกับนางว่า ‘ข้าเหนื่อยแล้ว อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พวกเรา จบกันเพียงนี้เถอะ’
แต่นั้นมา มั่วถงใช้ชีวิตผ่านกาลเวลาที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด นางย้ายไปยังถ้ำสดับอารมณ์แห่งราชันย์พำนัก ชายผู้ใดที่มาเกี่ยวพันไม่เลิกล้วนแต่ถูกสังหารสิ้น
จนกระทั่งวันหนึ่งมีหญิงผู้หนึ่งอุ้มเด็กมาปรากฏกายต่อหน้านาง รำพันถึงความโหดร้ายของนาง ทำให้ลูกของนางสูญเสียผู้เป็นพ่อตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก
นางเห็นตาสว่างโดยทันที ชายเหล่านั้นที่นางสังหาร เป็นชายในฝันของหญิงสาวไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เป็นพ่อของเด็กอีกตั้งมากมาย
ฟ้าดินอาจจะกลั่นแกล้งนาง แต่นางก็ไม่ควรใช้เหตุผลนี้ไปทำร้ายคนบนโลก
ชะตากำหนดให้นางได้ครอบครองเพลิงแก้วใจกระจ่างแล้ว ย่อมไม่ใช่เพื่อก่อกรรมเช่นนี้
แต่นั้นมานางก็ปรับเปลี่ยนนิสัยความคิด ทุ่มเทจิตใจศึกษาจนได้เคล็ดวิชาปรุงยาฉบับใหม่ออกมาเผยแพร่ นั่นก็คือ ‘ตำราศักดิ์สิทธิ์ลั่วตาน’ อันเลื่องลือ
สำหรับสำนักซู่ซิน นางก่อตั้งขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ นางเดิมทีเพียงคิดจะเก็บเด็กสาวที่เกิดมากำพร้ามาชุบเลี้ยง สอนการบำเพ็ญเพียรให้กับพวกนาง สอนให้พวกนางมีพลังที่จะปกป้องตัวเอง ไม่ต้องพบกับความยากลำบาก
เมื่อเด็กสาวที่ถูกชุบเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น พวกนางก็ประกาศตนเป็นสำนัก นับถือนางเป็นปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก ตั้งแต่นั้นมาก็ปรากฏชื่อสำนักซู่ซิน
มั่วชิงเฉินถอนหายใจอย่างหดหู่ เรื่องราวร้ายๆ ของมั่วถงแม้นางจะไม่เคยประสบ แต่เป็นเพราะเพลิงแก้วใจกระจ่าง จึงรับรู้ได้อย่างลึกซึ้ง
หลายปีมานี้ หากนางประมาทเพียงนิด เกรงว่าจุดจบก็คงไม่ต่างจากมั่วถง
ในบันทึกปกิณกะ มั่วถงไม่ได้บอกว่าหลังจากนั้นเป็นเช่นใด นางได้เลื่อนระดับหรือไม่ แล้วไปยังที่ใดต่อ แต่การได้พบกันกลางค่ายกล ความสงบนิ่งอบอุ่นของนาง รอยยิ้มอันอ่อนหวาน มันเห็นได้ชัดว่านางได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะนางได้สิ่งที่เป็นความสุขของตัวเองแล้วในที่สุด
ในใจรู้สึกฮึกเหิม มั่วชิงเฉินพบว่าสีของหมอกเลือดในพื้นที่แห่งนี้เริ่มเข้มขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากยิ้ม
ไม่กี่วันมานี้ นางสามารถได้ยินเสียงแว่วมาจากข้างนอก ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะมีเด็กหนุ่มเทเลือดสดลงบนพื้นที่ซึ่งนางอยู่ จากนั้นก็มีเสียงแว่วเข้ามา
ที่ทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คือสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนั้นพูด นั่นคือคำพูดสัญญานายทาส
เขาคงไม่ได้คิดว่าในนี้คืออสูรวิญญาณหรอกนะ
เมื่อคิดถึงตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นเห็นหน้าตน มั่วชิงเฉินก็อดเห็นใจขึ้นมาไม่ได้ทันที
“พี่ตู้รั่ว พี่ตู้รั่ว…” เสียงร้องไห้ของหญิงสาวแว่วเข้ามาในหูมั่วชิงเฉิน
เงียบงันอยู่นาน นางก็เกิดความสนใจขึ้นมา แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟัง
“เสี่ยวยา เจ้าเป็นอะไรหรือ” เสียงเอื่อยเฉื่อยของเด็กหนุ่มแว่วเข้ามา
“พี่ตู้รั่ว เจ้าคนไม่ดีนั่นมาอีกแล้ว เขาลากมารดาของข้าไป” เสียงของเด็กสาวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และแฝงด้วยความเชื่อมั่นในตัวของเด็กหนุ่มคนนั้น
จากนั้นสิ่งที่ได้ยิน ก็คือเสียงปิดประตูดังปัง
ดูเหมือนผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงแว่วเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดูจอแจ ดูเหมือนมีคนหลายคนกำลังคุยกัน
“ตู้รั่ว เจ้าก่อเรื่องแล้ว ฆ่าหวงป้าเทียน ตระกูลหวงไม่ปล่อยเจ้าแน่”
“ใช่ ได้ยินว่าพี่ชายของหวงป้าเทียนเป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานด้วยนะ”
“ตู้รั่ว เจ้ารีบหนีเถอะ กว่าพี่ชายหวงป้าเทียนจะรู้ข่าวคราวที่นี่ อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองสามวัน เจ้าหนีไปตอนนี้ยังทัน”
“ตู้รั่ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรกันแน่ เจ้าพูดมาสิ!”
น้ำเสียงฟังดูเยือกเย็นแว่วเข้ามา “ถ้าข้าหนี แล้วเสี่ยวยาจะทำอย่างไร พี่ชายหวงป้าเทียนหาตัวข้าไม่พบ แล้วสังหารหมู่คนในหมู่บ้านจะทำอย่างไร”
“ฮือๆ พี่ตู้รั่ว เป็นความผิดของข้าเอง ไยท่านต้องสังหารเขาด้วย แค่ต่อยตีให้เขาหนีกลับไปเหมือนครั้งก่อนๆ ไม่ได้หรือ”
ตู้รั่วหัวเราะเยาะ “แล้วจากนั้นเล่า มันเข้ามาก่อกวนคนในหมู่บ้านครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือ ข้าเคยถามมาแล้ว ว่าพี่ชายของมันเพิ่งจะเป็นระดับสร้างรากฐานขั้นต้นเท่านั้น หากมันมา ข้าจะทำให้มันไม่มีวันได้กลับไปอีกเลย”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เราล้วนแต่แค่ระดับหลอมลมปราณเท่านั้น” เหล่าเด็กหนุ่มร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ
“พวกเจ้าลืมสิ่งที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้แล้วหรือ ไปกัน พวกเราไปตั้งมันกัน”
เสียงฝีเท้าค่อยไกลออกไป มั่วชิงเฉินใคร่รู้ ว่าเด็กหนุ่มเหล่านี้ จะใช้วิธีใดเพื่อสังหารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน