พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 469 กระแสลมหมู่บ้านดอกสาลี่
“ท่าน…ท่านอาจารย์ ท่านแน่ใจหรือว่าที่แห่งนี้จะขุดน้ำออกมาได้” เด็กหนุ่มดวงตาหงส์เรียวยาวที่ดำคล้ำไปแล้ว ยิ่งดูเป็นประกายมากสดใสขึ้น มองไปยังอาจารย์ผู้งดงามดั่งดอกไม้ กำลังยิ้มหวาน ในแววตาปรากฏคำว่า ‘สงสัย’
มั่วชิงเฉินหรี่ตารูปดอกท้อคู่นั้นมองมา “ตู้รั่ว นี่เจ้าสงสัยสายตาอาจารย์หรือ”
ข้าไม่ได้สงสัยสายตาท่าน แต่สงสัยนิสัยใจคอท่านต่างหาก!
เด็กหนุ่มก้มหน้า ประสานมือขึ้น แล้วทำหน้านอบน้อม “ศิษย์มิบังอาจ”
มั่วชิงเฉินส่ายมือ “เช่นนั้นก็ทำงานต่อเถอะ”
เห็นเด็กหนุ่มแผนหลังเหยียดตรง เดินทอดอาลัยไปยังหลุมลึก มั่วชิงเฉินก็โค้งมุมปากยิ้ม สายตาทอดไปยังที่แห่งนั้น
นางนึกไม่ถึงจริง ว่าป่าดอกสาลี่แห่งนี้จะเกิดขึ้นบนชีพจรวิญญาณ และสถานที่ซึ่งเหล่าเด็กหนุ่มกำลังขุดบ่อ น่าจะมีน้ำพุวิญญาณผุดออกมา
อาจเป็นเพราะว่าชีพจรวิญญาณฝังอยู่ลึก ซ้ำยังถูกทับด้วยสิ่งต่างๆ ป่าดอกสาลี่แห่งนี้จึงได้ดูเหมือนป่าทั่วไป
ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กเหล่านี้ จะขุดน้ำพุวิญญาณออกมาได้ตอนไหน
มั่วชิงเฉินลุกขึ้น เดินลึกเข้าไปในป่าดอกสาลี่เพื่อฝึกกระบี่
กระบี่ชิงมู่กวัดแกว่ง พัดพากระแสวิญญาณออกมาเป็นระลอก กลีบดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะปลิวหมุน ลอยไปตามกระแสวิญญาณกลายเป็นแถบสีขาวหลายแถบ หมุนวนรอบกายมั่วชิงเฉิน นางค่อยเข้าสู่ภาวะอนัตตา
คลื่นพลังวิญญาณอันแรงกล้าลูกหนึ่งซัดเข้ามา มั่วชิงเฉินได้สติตื่นฉับพลัน ขยับร่างกายเบาๆ กลายร่างเป็นแสงสีครามสายหนึ่งพุ่งออกไปยังที่มา
กลุ่มเด็กหนุ่มถูกพลังวิญญาณดูด หกล้มระเนระนาด ดวงตาทั้งคู่เงยมองมาปากหลุมลึก สีหน้าตกตะลึง
สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายปลาดุกตัวหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ปากบ่อที่อยู่ใต้ตัวมันพ่นน้ำพุวิญญาณออกมา พุ่งชนลำตัวเป็นฝอยน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ส่องประกายแสงวิญญาณหลากสีภายใต้แสงแดด
อสูรปีศาจนั้นสะบัดหนวดทั้งสองเส้นของมันรัดตู้รั่วเอาไว้ แล้วยื่นไปในปาก
“เดรัจฉาน เจ้าช่างกล้านัก!” แววเยือกเย็นปรากฏบนดวงตามั่วชิงเฉิน ทันทีที่ขยับกายก็ย้ายเข้าไปด้านหน้าใกล้ตัวมัน มือข้างหนึ่งคว้าหนวดปลา อีกข้างยกขึ้นสูง กริชฟันปลาส่องแสงวิญญาณฟันฉับลงอย่างแรง
“โฮก” เสียงโหยหวนดังขึ้น หนวดปลาขาดไปหนึ่งเส้น ตู้รั่วตกลงไปด้านล่าง
มั่วชิงเฉินยกมือเปล่าขึ้นเถาวัลย์เครือหนึ่งพุ่งออกไปม้วนเอวตู้รั่วเอาไว้ แล้วค่อยๆ วางเขาลงบนพื้น จากนั้นก็หันหน้ากลับ จ้องไปยังอสูรปีศาจปลาดุกด้วยแววตาอันเยือกเย็น
อสูรปีศาจปลาดุกก็เพียงขั้นห้า เพิ่งจะเริ่มพูดภาษามนุษย์ได้ ตอนนี้ด้วยสายตาเยือกเย็นของมั่วชิงเฉินกลับทำให้มันเสียความสามารถในการพูด หดตัวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ เตรียมจะพุ่งลงไปยังบ่อที่เพิ่งขุด
“คิดจะหนี ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!” มั่วชิงเฉินออกแรงมือตะปบหนวดปลาดึงถอยหลังอย่างแรง ปีศาจปลายาวสามจั้งเต็มถูกนางดึงกลับ จากนั้นใช้มือทั้งคู่ดึงหนวดปลาออกแรงหมุนตัวปีศาจปลา พยายามเหวี่ยงลงกระแทกกับพื้น
เป็นเพราะว่ากำลังขุดบ่อ บนพื้นจึงมีดินใหม่กองอยู่เป็นชั้นหนาๆ ทั้งร่วนทั้งนุ่ม หัวปีศาจปลากระแทกลงกับพื้น ส่งเสียงครางออกมา หางปลาดิ้นพล่านอย่างรุนแรง จนฟองน้ำที่กระเด็นโดนตัวมั่วชิงเฉิน
นางขมวดคิ้ว แล้วหมุนตัวปีศาจปลากระแทกอีกครั้ง
เสียงหนักอึ้งดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งที่ดัง เหล่าเด็กหนุ่มต่างหน้าซีดขึ้นตามทุกครั้ง
เมื่อเห็นปีศาจปลาแน่นิ่งไม่ขยับ มั่วชิงเฉินจึงได้ปล่อยมือ ปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนชายกระโปรงแล้วเดินเข้ามายังเหล่าเด็กหนุ่มด้วยจังหวะเท้าอันเบานิ่ง
เหล่าเด็กหนุ่มบ้างยืนบ้างนั่ง แต่กลับถอยหลังหนีพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย ใบหน้าปั้นยิ้ม “ท่านเซียน ท่านช่างรุนแรง…เอ่อ…เก่งกาจยิ่งนัก”
มั่วชิงเฉินยิ้มคิ้วโก่ง “พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญให้ดี ต่อไปก็จะเป็นเช่นนี้เอง”
เหล่าเด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง ครั้นแล้วสีหน้าก็คึกขึ้นมา
ต่อให้ความกลัวมากไปกว่านี้ ก็สะกดดวงใจเยาว์วัยที่ปรารถนาพลังความสามารถเหล่านั้นไว้ไม่อยู่
“ตู้รั่ว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” มั่วชิงเฉินเดินไปด้านหน้าตู้รั่ว
ตู้รั่วหน้าซีดขาว แต่มุมปากกับโค้งขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้าไม่เป็นไร”
พูดแล้วก็เตรียมตัวลุกขึ้น เขาตัวโคลง แล้วกระอักเลือดออกมาหนึ่งที
“อ๊ะ!” เหล้าเด็กหนุ่มร้องขึ้นด้วยความตกใจ
มั่วชิงเฉินยืนผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดรอยเลือดบนมุมปากเขาอย่างสงบนิ่ง แล้วยื่นนิ้วมือไปทาบลงบนข้อมือของเขา
ตู้รั่วหดกลับโดยไม่รู้ตัว มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วมอง ทันใดนั้นก็ตัวเกร็งนิ่งทื่อไป
“อืม ไม่ได้เป็นอะไรตามคาด กระอักเลือดขับพิษไฟ ไม่ต้องตื่นตระหนกอะไรใหญ่โต” มั่วชิงดึงมือกลับ แล้วมองเราเด็กหนุ่มปราดหนึ่ง
เหล่าเด็กหนุ่มพยักหน้าพร้อมกัน แทนน้ำตาแสดงความเห็นใจต่อตู้รั่ว
น้องชาย นี่เจ้าไม่ได้หาอาจารย์ แต่หามารดาคนที่สองต่างหากใช่ไหม
ตู้รั่วกับลุกขึ้นยืนตัวตรง เด็กหนุ่มที่หมดสภาพ วางท่ายืนสง่าราวกับต้นสน อมยิ้มมุมปาก “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตา”
มั่วชิงเฉินหันกายเดินไปยังบ่อน้ำ มองไปยังน้ำพุที่ผุดพุ่งขึ้นมาแล้วนิ่งไปชั่วครู่ ทันใดนั้นก็กระโดดทิ้งตัวลงไป
เหล่าเด็กหนุ่มหายใจเข้าดังเฮือกทันที
เอ้อร์โก่วจื่อร้องขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ตู้รั่ว ท่านเซียนนางกระโดดบ่อฆ่าตัวตายแล้ว!”
เด็กหนุ่มคนอื่นหันไปมองเอ้อร์โก่วจื่อประหนึ่งมองคนปัญญาอ่อน ต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
มั่วชิงเฉินดำลงไปถึงก้นบ่ออย่างรวดเร็ว แล้วสำรวจสภาพก้นบ่อ
ตรงกลางนั้น มีรอยแยกใหญ่อยู่รอยหนึ่ง ดูจากลักษณะ น่าจะเป็นเพราะตอนที่อสูรปีศาจพยายามพุ่งออกมานั้นชนกระทบเข้า น้ำพุนั้น จึงพุ่งออกมาจากรอยแยกนั้นพอดี เพียงแต่พลังวิญญาณในน้ำนั้นน้อยนิดจนน่าเวทนา
มั่วชิงเฉินยื่นมือไปด้านข้างรอยแยก กระจายจิตสัมผัสออกไปสำรวจอย่างละเอียด ในที่สุดก็เจอที่มา
ชีพจรวิญญาณที่ฝังอยู่ลึกใต้พื้นดินนี้ พันคดวนเป็นรูปหอยทาก เหนือจุดศูนย์กลาง เกิดผนึกธรรมชาติขึ้นไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด
ผนึกนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีรอยแตกแยก หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสของนางแม่นยำฉับไว ความคิดละเอียดถี่ถ้วน เกรงว่ายากจะค้นพบได้
ปลาปีศาจได้กลิ่นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตจึงพุ่งออกมาจากก้นบ่อ ทำให้ผนึกนั้นคลายออก มั่วชิงเฉินเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณไปยังฝ่ามือ แล้วตกลงไปเบาๆ บนตรากลางผนึก ผนึกนั้นก็หายวับไปทันที
ไอวิญญาณอันเข้มข้นทะลักพุ่งออกมา ไหลซึมเข้าปนกับน้ำพุแล้วพุ่งออกไป
“พวกเจ้าดูสิ!” เด็กหนุ่มผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ
สายตาเด็กหนุ่มตวัดมองไปยังปากบ่อเป็นตาเดียว
น้ำพุที่พวยพุ่งออกจากปากบ่อเดิมทีเป็นสีขาวเกือบจะใส เหมือนน้ำในลำธารที่เห็นได้ทั่วไป แต่ในวินาทีนี้ จู่ๆ ก็ส่องประกายสีฟ้าอ่อนของแสงวิญญาณจากล่างสู่บน ตามด้วยแสงวิญญาณต้องพุ่งตรงสู่มวลเมฆ จนทำให้เมฆบนท้องฟ้าสะท้อนออกมาเป็นสีน้ำเงิน ละอองเมฆที่ส่องประกายแสงวิญญาณโปรยปรายไปทั่วราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้
หยดน้ำบางๆ เจือด้วยฝุ่นละออง ปลิวพลิ้วภายใต้แสงอาทิตย์ กลายเป็นสายรุ้งแถบเล็กๆ หลายแถบ
“สวยจัง เสี่ยวยาได้เห็นก็ต้องชอบแน่” จางหยางเงยหน้า พูดพึมพำ
เหล่าเด็กหนุ่มกลั้นหายใจ เหม่อมองทัศนียภาพอันงดงามบนท้องฟ้า มีเพียงตู้รั่วที่ละสายตากลับอย่างรวดเร็ว แล้วจดต่อไปยังปากบ่อ
เสียงน้ำดัง ซ่า เงาร่างในชุดสีครามร่างหนึ่งก็กระโดดออกมาจากปากบ่อ เงาสะท้อนอันน่าประหลาดกลางอากาศที่มาพร้อมกับการเคลื่อนไหวของนางนั้นหายไปในพริบตา แม้กระทั่งน้ำพุที่พวยพุ่งจากบ่อก็ไหลร่วงกลับลงไป
เหล่าเด็กหนุ่มได้สติกลับมา ก็มองไปยังสายตามั่วชิงเฉิน ทั้งประหลาดใจ ทั้งยกย่อง และยังยำเกรง
มั่วชิงเฉินไม่เคยแสดงอำนาจ แต่เด็กหนุ่มเหล่านี้ ในวันนี้เอง ในที่สุดก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง
นางดีดหยดน้ำด้วยนิ้วกระทบปลุกเหล่าเด็กหนุ่มให้ได้สติ มั่วชิงเฉินหยิบผลไม้วิญญาณออกมา แล้วใช้น้ำพุวิญญาณทำอาหาร ดูแลรับรองเด็กหนุ่มเหล่านั้นไปอีกมื้อ
เห็นท่าทีการกินอย่างพึงพอใจของพวกเขา นางจึงยิ้มแล้วพูด “เอาล่ะ บ้านก็สร้างเสร็จแล้ว บ่อน้ำก็ขุดแล้ว จากนี้ไป พวกเจ้าก็พักผ่อนให้ดีแล้วกัน”
เหล่าเด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง นี่หมายความว่า จากนี้ไปไม่ต้องมาอีกแล้วหรือ
ตอนแรกคิดว่าตนจะได้โดดร้องลิงโลดดีใจ แต่วินาทีนี้ จู่ๆ กับรู้สึกเศร้าขึ้นมา
เสียงดังขึ้นโครม จางหยางคุกเข่าลง “ท่านเซียน ท่านได้โปรด…ได้โปรดรับข้าเป็นลูกศิษย์ด้วย ได้ไหมขอรับ”
เขาแม้นิสัยจะโผงผาง แต่ไม่ได้โง่เขลา เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปี ร่างกายของเขาทุกด้านล้วนแต่เติบโตพัฒนาขึ้น ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเพียรเร็วขึ้นไม่น้อย นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถฝึกฝนได้จากเพียงการทำงานทั้งวันอย่างแน่นอน
มั่วชิงเฉินมองไปยังเด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าสีหน้าเรียบ เด็กหนุ่มพวกนี้นิสัยเรียบง่ายไร้เดียงสา คุณสมบัติก็ไม่เลว มองจากด้านนี้จะรับเขาเป็นลูกศิษย์ก็ไม่ได้เสียหาย
แต่ในอนาคตนางยังต้องเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่เทียนหยวน บนการเดินทางคอยปกป้องตู้รั่วก็พอแล้ว จะให้ขนเด็กๆ ไปเป็นฝูงได้อย่างไร
อีกอย่าง การอบรมสั่งสอนลูกศิษย์นั้นต้องทำอย่างไร นางไม่เคยมีประสบการณ์เลยแม้เพียงนิดเดียว หากสั่งสอนลูกชาวบ้านเขาผิดๆ แค่กๆ เช่นนั้นมีตู้รั่วคนเดียวก็พอแล้ว หากผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างมากก็แค่ให้เขาตามติดตัวแล้วจับตาดูตลอด หากลูกศิษย์ทั้งกลุ่มถูกสอนจนผิดลู่ผิดทาง…เช่นนั้นนางคงได้ถูกเตะออกจากสำนัก ข้อหาสร้างความเสื่อมเสียให้กับลูกหลานพรรคเหยากวง
ใต้สายตาผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ เหงื่อกาฬของจางหยางผุดพรายซึมไหลออกจากหน้าผาก แต่ร่างกายกลับยืดตรงแน่ว
เสียงโครมดังขึ้นอีกสองสามเสียง ราวกับเกี๊ยวลงหม้อ เด็กหนุ่มที่เหลืออีกสองสามคนเองก็คุกเข่าลง
ตู้รั่วที่ยืนอยู่หลังมั่วชิงเฉิน มือทั้งคู่กอดอกยกมุมปากยิ้ม หากพูดถึงจางหยางอาจพอมีโอกาสอยู่บ้าง แต่พวกเขาที่นั่งอยู่คุกเข่านี้ ดูทีท่าแล้วแต่ละคนน่าจะไปไม่รอด
เสียงมั่วชิงเฉินดังขึ้น “พวกเจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้เลย ข้าอยู่ที่นี่เพียงแค่พักเท้าชั่วคราว อนาคตยังต้องไปยังที่อันห่างไกล หนทางเต็มไปด้วยอุปสรรคอันตราย พาพวกเจ้าไปด้วยคงไม่เหมาะสมนัก”
เหล่าเด็กหนุ่มไม่ตอบ เพียงแต่คุกเข่าอยู่เช่นนั้นต่อไป
มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อ พลังอันไร้รูปร่างหอบตัวพวกเขาบังคับให้ลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าแม้จะยังอายุน้อย แต่ก็ได้ย่ำผ่านสู่ประตูแห่งการฝึกบำเพ็ญ ควรต้องรู้ บนโลกนี้มีวาสนามากน้อยไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับขอได้ วันนี้ผนึกชีพจรวิญญาณสลายไป สภาพการฝึกบำเพ็ญพรตในหมู่บ้านของพวกเจ้าคงไม่อาจบอกว่าเหมือนวันวานที่ผ่านมาได้อีกแล้ว ข้าจะดึงน้ำพุวิญญาณออกมาสายหนึ่งให้ไหลสู่ธารน้ำต้นหมู่บ้าน ประโยชน์นับแต่นี้ไป พวกเจ้าย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง ไปกันเสียเถอะ จำคำพูดนี้ไว้ให้ดี ทุกคนต่างมีวาสนาไม่ต้องอิจฉาผู้ใด”
เสียงของนางสงบนิ่งและอบอุ่นแต่แฝงด้วยพลังอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าเด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าห่อเ**่ยวลง
“ตู้รั่ว ไปส่งสหายของเจ้า”
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตู้รั่วเดินไป ตบไหล่เหล่าเด็กหนุ่ม แล้วเดินออกไปยังป่าดอกสาลี่
มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจ นางไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นอาจารย์จริงๆ ด้วย ให้นางวางท่าเช่นนี้ดูพิลึกเสียจริง
ตู้รั่วแต่นี้ไปก็มาอาศัยกลางป่าดอกสาลี่ร่วมกับมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินแม้จะไม่ใช่รากวิญญาณสายธาตุลม แต่หลายปีที่ผ่านมานางอ่านบรรดาหนังสือมามากมาย อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนจากกู้หลี ความรู้พื้นฐานนับว่าแน่น นางเลือกวิชาชั้นดีที่เหมาะสมกับรากวิญญาณไม่ว่าชนิดใดเพื่อปูพื้นฐานให้กับตู้รั่ว แต่ไม่ได้สอนเคล็ดวิชาวิชาพิเศษ เพียงแต่สั่งให้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาห้าธาตุที่แสนจะธรรมดาซ้ำไปซ้ำมาในเวลาที่ว่างจากการฝึกบำเพ็ญ
ส่วนตัวนาง ก็เริ่มฝึกเคล็ดวิชาเพลงยุทธ์คลื่นมรกตเทใจที่ได้รู้มาจากมั่วถง
ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปสองปี
หมู่บ้านประมงเล็กๆ แห่งนี้ เพราะด้วยป่าดอกสาลี่นี้ จึงได้ชื่อว่าหมู่บ้านดอกสาลี่ นับแต่มั่วชิงเฉินดึงน้ำพุวิญญาณเข้าสู่ลำธารให้ชาวบ้านได้ดื่มกิน ความเปลี่ยนแปลงของผู้คนในหมู่บ้านก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
ไม่ต้องพูดถึงความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเหล่าเด็กหนุ่มที่มีรากวิญญาณสองสามคนนั้นเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก แม้แต่กำลังวังชาของชาวบ้านธรรมดาเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงในหมู่บ้าน ผิวพรรณค่อยๆ เนียนผ่อง ดูราวกับดอกท้อ หมู่บ้านดอกสาลี่กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นบ้านเกิดหญิงงาม
นอกจากนี้ยังมีข่าวลืออันหนึ่งค่อยๆ แพร่ออกไป ว่ากันว่าที่หมู่บ้านดอกสาลี่มีเซียนท่านหนึ่งมาประทับ นำพาปราณเซียนมาสู่หมู่บ้านดอกสาลี่ จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น
ผู้คนจากหลายตำบลหมู่บ้านแห่กันมาเพื่อรอดู แต่กลับพบว่าอย่าว่าแต่เซียนเลย แม้แต่ป่าดอกสาลี่เมื่อก่อนก็หายไปแล้ว และแล้วจึงได้แยกย้ายกันกลับ
แต่ความผิดปกตินี้ อย่างไรก็ยังดึงดูดความสนใจของหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงนำมาซึ่งความวุ่นวายที่กำลังจะถาโถมเข้ามา