พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 471 อยู่ต่อกันทั้งหมด
ไม่ทันที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานจะพูด มั่วชิงเฉินก็ย่นคิ้วขมวดอีกครั้ง มีคนอีกคนตามมา
“ฮ่าๆๆ ที่แท้ที่นี่ก็ยังมีป่าดอกสาลี่อยู่อีกแห่งด้วยหรือ นางตัวดี เก่งเหมือนที่คิด เสียดายที่ความสามารถในการฝ่าเข้าค่ายกลนั้นล้ำเลิศ แต่ความสามารถในการหลบหนีการติดตามกลับไม่ได้ความเสียเท่าไหร่”
คนทั้งสองค่อยๆ เดินเข้ามา ล้วนแต่แต่งตัวธรรมดา คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย
ผู้บำเพ็ญหญิงระดับสร้างรากฐานประคองพี่ชายเอาไว้มั่น ใบหน้าซีดเผือด “พวกเจ้าตามหลังข้ามาตลอดเลยหรือ”
คนที่ตัวสูงหัวเราะเย้ยหนึ่งที “ถ้าไม่เช่นนั้นเล่า หากตามพวกเจ้าไม่ได้ แล้วพวกเราจะกลับไปตอบอย่างไร”
มองไปยังพี่ชายที่สลบไสลหนึ่งครั้ง ผู้บำเพ็ญหญิงระดับสร้างรากฐานก็ขบฟัน “ได้ พวกเราจะกลับไปกับพวกเจ้า แต่พี่ชายข้าบาดเจ็บหนัก รอให้เขาดีขึ้นสักหน่อยค่อยไปได้หรือไม่”
“ย่อมได้ พวกเจ้าพี่น้องหากขาดใครคนใดคนหนึ่งไป ลูกพี่ต้องอาละวาดแน่” ผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูงพูดพลางข้าวเข้ามาสองสามก้าว สายตาทอดลงไปยังบึงเล็กแล้วลุกวาว
“พี่สาม น้ำพุวิญญาณชั้นดีนี่” ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยตามเข้ามา แววตาฉายประกายความละโมบ
ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูงก็หัวเราะขึ้น “น้องห้า ดูท่าพวกเราจะได้ผลงานใหญ่แล้ว ต้องขอบคุณสองพี่น้องแซ่พานนี่จริงๆ”
มองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างหน้าฐานที่สีหน้าซีดเขียวสลับขาว ทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นมา
เสียงอันกังวานใสเฉพาะตัวของเด็กหนุ่มดังขึ้น “คิดครอบครองสิ่งของผู้อื่นโดยพละการ คิดว่าแค่พูดก็เป็นอย่างที่พวกเจ้าพูดได้แล้วหรือ”
ทั้งสองคนจึงได้ขยับสายตามองมาที่ร่างกายคู่บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณตัวน้อย
“เจ้าลูกกระต่ายนี่ เจ้าช่างกล้าดีจริงนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยถลึงตามอง
ดวงตาเรียวงามเด็กหนุ่มขยิบเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ก็ไม่มากกว่าเจ้าลูกกระต่ายที่มาจากข้างนอกหรอก”
“เจ้า!” ทันทีที่ผู้บําเพ็ญเพียรตัวเตี้ยยกมือขึ้น ก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูงรั้งเอาไว้
“น้องชาย นี่คือที่อยู่ของเจ้าหรือ”
เด็กหนุ่มกอดอกอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้สนใจ
“หึๆ ข้าเข้าใจแล้ว ดูถ้าผู้อาวุโสของเจ้าจะออกไปข้างนอกสินะ” ผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูงพูดพลางประสานตากับผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ย
ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็ก้าวเข้ามา ขวางหน้าตู้รั่วไว้ “พวกเจ้าจะทำอะไรกัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยใช้นิ้วมืออันอวบอ้วนสีคาง แล้วพูดหยอก “ทำอะไรนะหรือ น้องพานเถา นี่คงไม่ต้องให้พี่ชายสอนเจ้าหรอกกระมัง” พูดพลางเฉียงเท้าก้าวเท้าเข้ามา เพื่อเดินอ้อมพานเถา
พานเถาขยับเท้าหนึ่งก้าวขวางทางเอาไว้ น้ำเสียงของนางเย็นชาแฝงด้วยความรังเกียจ “พวกเจ้าคิดจะทำร้ายแม้แต่ผู้บริสุทธิ์หรือ”
ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยหัวเราะร่วนขึ้นมา “น้องพานเถา เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง อะไรกันที่เรียกว่าผู้บริสุทธิ์ เจ้าเด็กนี่อยู่ที่นี่ มันย่อมไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ เจ้าคงไม่ได้คิดว่าหลังจากพวกข้าไป ผู้อาวุโสของมันได้รู้เรื่องนี้ก็จะไม่ตามสังหารพวกข้าหรอกนะ”
“เหลวไหล!” คิ้วงามของพานเถาชี้ตั้ง “หากพวกเราจากไปแล้ว ผู้อาวุโสของเขากลับมาต่อให้โกรธเพียงใด ก็ยากจะออกตามฆ่าพวกเรานับพันลี้ได้ แต่พวกเจ้าเพื่อความเป็นไปได้อันน้อยนิดนี้ ก็คิดจะฆ่าคนปิดปากเชียวหรือ”
ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยเหยียดปาก “ความเป็นไปได้น้อยนิดเพียงใดก็เป็นไปได้ น้องพานเถา หากเจ้าจะแค้น ก็แค้นตัวเจ้าเองที่บุกมาที่นี่ เจ้าปลาน้อยตัวนี้ มาพลอยเดือดร้อนเพราะเจ้านั้นแหละ”
พูดเสร็จก็ยกมือขึ้น แล้วโยนลูกเหล็กที่มีแสงวิญญาณล้อมรอบออกไป
พานเถายกมือขึ้นเหวี่ยงตาข่ายใหญ่หลังหนึ่งออกไป คลุมไปยังลูกเหล็ก ทั้งสองคนปะทะกันขึ้นทันที
มั่วชิงเฉินเม้มปาก หยิบก้อนอิฐออกมาแล้วปาออกไป
เรื่องวุ่นวายนี้ น่าจะพอได้แล้ว อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ
ผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูงที่คอยมองทุกอย่างมุมปากอมยิ้มในตอนแรก พลันสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลพุ่งเข้ามาอย่างแรง จากนั้นก็ได้ยินเสียงครวญเสียงหนึ่ง ร่างกายอ้วนท้วมถูกก้อนอิฐที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหนกระแทกกระเด็น
ผู้คนต่างงงงัน เห็นเพียงพลังวิญญาณขยับเคลื่อนอยู่ไม่ไกล เงาร่างในชุดสีครามร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏกาย
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ!
ผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูงหน้าถอดสีเป็นการใหญ่ แม้แต่พานเถาเอง ก็ยังลืมที่จะเก็บอาวุธกลับ ปล่อยให้อาวุธตกอยู่กับพื้น
“ท่านอาจารย์” ตู้รั่วกดคิ้วต่ำ แต่มุมปากกลับยิงฟันยิ้ม
มั่วชิงเฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินไปยังด้านหน้าผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยหยิบก้อนอิฐขึ้นมา
“ท่าน…ท่านผู้อาวุโส…” ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยพลิกตัวนั่งคุกเข่า ร่างกายสั่นเทิ้มราวกับเศษแกลบร่อน
มั่วชิงเฉินหรี่ตามองไม่พูดอะไร เพียงแต่หยิบก้อนอิฐขึ้นแล้วยิ้ม
สายตาผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยจ้องบนอิฐก้อนนั้น
มั่วชิงเฉินเห็นเช่นนั้นก็เหวี่ยงก้อนอิฐในมือไปมา กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรตัวเตี้ยผู้นั้นตาเหลือก แล้วเป็นลมสลบไป
“นี่เป็นลมไปแล้วหรือ ข้านึกว่าเจ้าจะถูกใจอิฐก้อนนี้นี้เสียอีก” มั่วชิงเฉินยิ้มพลางมองไปยังอีกคน
“ท่านผู้อาวุโสได้โปรดอภัยให้ด้วย!” ผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูงคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล เพราะด้วยพลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกว่า ทำให้เขาหน้าซีดขาว แต่ฝืนทำทีแบบสงบนิ่ง
รับมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน มั่วชิงเฉินรู้สึกไม่สนุก ทันทีที่ยกมือขึ้นแสงวิญญาณสายหนึ่งก็ยิงออกไปซึมแทรกลงในกายของผู้บำเพ็ญเพียรตัวสูง “ในเมื่อเจ้าคิดว่าที่แห่งนี้ดี ก็อยู่เสียที่นี่เถอะ ต้นสาลี่ต้นนั้นเป็นเส้นกั้นเขต ห้ามย่ำกรายเข้าไปอีกด้านหนึ่ง ส่วนค่าเช่าข้าไม่เก็บ ลูกศิษย์ข้ากำลังอยากได้คู่ซ้อมสองคนอยู่พอดี”
ตู้รั่วได้ยินคำพูดนั้นก็ชะงักนิ่ง เขามองไปยังมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินยิ้มบางหนึ่งที “ตู้รั่ว อาจารย์ได้จำกัดระดับการบำเพ็ญของเขาไว้ที่ระดับหลอมลมปราณสมบูรณ์ ช่วงนี้เจ้าก็ฝึกกับพวกเขาดีๆ แล้วกัน หากโดนเล่นงานจนอ่วม ก็ไม่ต้องมาหาข้านะ”
“ขอรับ” ตู้รั่วรับคำ สีหน้าตื่นเต้นอยากลอง
ตอนนี้เขาฝึกฝนลมปราณขั้นสิบ หากมีผู้บำเพ็ญระดับหลอมลมปราณสมบูรณ์เป็นคู่ฝึกฝน อีกทั้งวิสัยทัศน์และระดับชั้นพวกเขาสูงถึงระดับสร้างรากฐาน เช่นนั้นความสามารในการต่อสู้จริงๆ ก็คงเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว
จัดการเรื่องของศิษย์ตัวน้อยเสร็จ มั่วชิงเฉินก็ชำเลืองไปยังพานเถาปราดหนึ่ง “พาพี่ชายเจ้าลงไปในน้ำพุวิญญาณ แล้วเจ้าตามข้ามา”
“เจ้าค่ะ” พานเถาค่อยๆ พยุงพี่ชายลงแช่ครึ่งตัวในน้ำพุวิญญาณอย่างระวัง แล้วรีบตามไป
มั่วชิงเฉินหยุดลงหน้าต้นสาลี่ต้นหนึ่ง แล้วหันกายกลับไปมองยังพานเถา
หญิงสาวผู้นี้ดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบ หน้าตาธรรมดา ผิวพรรณออกจะดำอยู่เล็กน้อย อย่าว่าแต่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเลย แม้แต่โลกมนุษย์ธรรมดาอย่างมากก็พูดได้เพียงว่าน่ารัก
ทว่าดวงตาของนางนั้นดำเงาเป็นประกายอย่างยิ่ง ประหนึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงดาว ท่าทีจึงดูหลักแหลมมีปัญญา ทำให้นางมีลักษณะที่ดูโดดเด่นพิเศษขึ้นมา
ต่อหน้าในมั่วชิงเฉินตอนนี้ ถึงแม้จะกังวลจนอยู่ไม่นิ่ง แต่กลับไม่แสดงทีท่าอ่อนแอ
มั่วชิงเฉินมีความรู้สึกดีต่อความฉลาดของหญิงสาวมาโดยตลอด แต่หญิงสาวผู้นี้บุกรุกเข้ามาแล้วยังเอาเรื่องตามมาด้วย น้ำเสียงจึงยากจะเป็นมิตรได้ จึงได้แต่พูดออกไปเงียบๆ “เจ้าชื่อพานเถาหรือ”
“ตอบท่านผู้อาวุโส ใช่เจ้าค่ะ อีกคนหนึ่งคือพี่ชายของข้า ชื่อพานเหยียน”
ดูไปแล้วนางหนูนี่ คงกังวลว่ามั่วชิงเฉินจะไล่พวกนางออกไปสินะ
“ข้าไม่อยากถามว่าพวกเจ้าไยจึงถูกไล่ตามสังหาร หรือผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง แต่เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ เจ้ารู้จักน้ำพุวิญญาณแห่งนี้ได้อย่าง”
พานเถาก้มหน้า แล้วอธิบาย “ผู้น้อยเป็นปรมาจารย์ค่ายกล พี่ชายเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธ หลายปีก่อนเพราะพี่ชายออกตามหาวัตถุดิบปราณอย่างหนึ่ง จึงได้ผ่านมาถึงที่นี่พร้อมกับเขา ตอนนั้นมุสิกเสาะวิญญาณสัตว์อสูรของพี่ชายเกิดทีท่าผิดปกติขึ้นมา แล้วเข้าไปสำรวจในป่า เป็นเพราะผู้น้อยได้ศึกษาด้านค่ายกลมาอยู่บ้าง เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดถึงแม้จะไม่พบอะไร แต่ก็คะเนได้รางๆ ว่าที่แห่งนี้คงจะไม่ธรรมดา วันนี้พวกเราพี่น้องถูกตามสังหาร ระหว่างทางได้ยินว่าหมู่บ้านดอกสาลี่มีเหตุประหลาด จึงคิดว่าที่แห่งนี้บางทีอาจจะมีชีพจรวิญญาณน้ำพุวิญญาณ เพื่ออาการบาดเจ็บของพี่ชาย ผู้น้อยจึงบากหน้ามาถึงที่นี่ เพื่อรบกวนท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง
“พวกเจ้าพี่น้องช่างน่าสนใจนัก คนหนึ่งปรมาจารย์ค่ายกล อีกคนปรมาจารย์หลอมอาวุธ ตามหลักแล้วผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้น้อยนักจะมีคนหาเรื่องมิใช่หรือ” มั่วชิงเฉินคลายความสงสัยในใจ แล้วถามขึ้นไปเรื่อยเปื่อย
ปรมาจารย์ค่ายกล ปรมาจารย์หลอมยา ปรมาจารย์หลอมอาวุธ ปรมาจารย์ประดิษฐ์ยันต์ ในโลกแห่งการบำเพ็ญนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก คนเหล่านี้ระดับการบำเพ็ญไม่ค่อยโดดเด่น หนำซ้ำยังหมกมุ่นอยู่กับการศึกษา กับคนอื่นส่วนใหญ่ส่วนมากก็ความสำคัญเชิงค้าขาย ซ้ำไม่ได้มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์มากมายเท่าไร และด้วยคุณประโยชน์ของพวกเขา ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปต่างก็หมายจะผูกสัมพันธ์
พานเถาช้อนตาขึ้น แววตาโกรธแค้นชิงชัง “ผู้น้อยไม่รู้ พวกเราพี่น้องเดิมทีร่อนเร่บำเพ็ญ ชีวิตก็ไม่ได้ลำบาก แต่ในปีนั้นพี่ชายรับงานหนึ่งมา เมื่อเอาอาวุธเวทที่หลอมมอบให้ได้ไม่นาน ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่ปราณผู้หนึ่งมาบังคับเอาตัวเราสองคนไป หมายจะให้พวกเราเข้าร่วมตระกูลของเขา”
พูดถึงตรงนี้ก็นิ่งไปชั่วครู่ แล้วขบริมฝีปากพูดต่อว่า “เดิมทีพวกเรารู้สึกโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งมาตลอด การจะเข้าอาศัยตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรสักแห่งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าตะกูลนั้นกลับใช้พวกเราเป็นเครื่องมือในการเสาะแสวงหาศิลาวิญญาณ โยนภารกิจมากมายมาให้พวกเราไม่หยุดไม่หย่อน ถึงแม้ว่าเพื่อศิลาวิญญาณแล้วก็เลี้ยงดูเราไม่ได้บกพร่อง แต่ยังยกระดับความสามารถสำหรับการบำเพ็ญเพียรขึ้นมาก ชีวิตวนเวียนเช่นนี้วันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า พวกเราแม้แต่อิสระอันน้อยนิดก็ยังไม่มี ในที่สุดก็เกินจะทนจึงได้หาโอกาสหนีออกมา”
“อ้อ ระดับพลังสูงที่สุดของตระกูลนั้นอยู่ในระดับใด” มั่วชิงเฉินถามน้ำเสียงเรียบ
พานเถาใจเต้นตุบ ก้มหน้าตอบ “คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเจ้าค่ะ มีทั้งหมดสองคน คนหนึ่งคือประมุขตระกูล อีกคนหนึ่งคือผู้อาวุโสใหญ่”
คงให้พวกเขาอยู่ต่อไม่ได้ ต่อให้ระดับการบำเพ็ญเพียรเท่าเทียมกัน แต่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนไหนบ้างที่อยากจะมีปัญหากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันถึงสองคนเพื่อคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตน
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ เหมือนเจ้าสองคนนั้น อย่าได้ก้าวล้ำเส้นแบ่งเขต รออาการบาดเจ็บพี่ชายเจ้าดีขึ้น ก็ออกไปจากที่นี่เสีย”
“ท่านผู้อาวุโส!” พานเถาเงยหน้าขวับ
มั่วชิงเฉินส่ายมือ “ไปเถอะ อ้อ ก่อนไปอย่าลืม ทำค่ายกลขึ้นใหม่ให้ข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ” พานเถาขบริมฝีปากอยู่ตลอด ยอบกายคำนับหนึ่งทีแล้วหันกายเดินออกไป
ลึกลงไปในป่าดอกสาลี่ มั่วชิงเฉินคุ้นเคยกับการร่ายรำเพลงกระบี่ในช่วงโพล้เพล้ของทุกวัน
ที่หมู่บ้านประมงอันห่างไกลแห่งนี้ ศิษย์พี่ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นยามใด นอกจากฝึกบำเพ็ญเพียรและสั่งสอนศิษย์ตามขั้นตอนแล้ว นางต้องทำใจให้สงบลงให้ได้ และรอคอยอย่างอดทน
ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ ตู้รั่วจะยืนอยู่ด้านข้าง คอยมองอยู่เงียบๆ ไม่ขยับไหวแม้ต่อให้มีฟ้าผ่า
ดังนั้นเมื่อมีคู่ฝึกซ้อมแล้ว เขาก็ได้แต่เฝ้ามองด้วยขอบตาอันดำคล้ำจ้ำเขียวติดต่อกันมาหลายวัน
มั่วชิงเฉินเก็บกระบี่ มองไปยังตู้รั่วแล้วหัวเราะ “ตู่รั้ว รสชาติของการโดนต่อยเป็นเช่นใดบ้าง”
ตู้รั่วกลับสีหน้าสงบนิ่ง หลิ่วตามองไปยังอาจารย์ผู้ซึ่งจงใจยั่วอยู่เขา “ก็ไม่เลวขอรับ”
เอ๊ะ เจ้าเด็กนี่พอมีที่ให้ระบายอารมณ์ จิตใจจึงสงบขึ้นมาก นานแล้วที่ไม่เห็นเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว กำลังคิดแผลงๆ
“ท่านอาจารย์ ให้พวกเขาอยู่ จะไม่มีปัญหาหรือ” ตู้รั่วถาม
“มีแน่นอน” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสี่คน สำหรับตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว ถือเป็นสมบัติที่มีค่าไม่น้อยเชียวนะ
“เช่นนั้นท่านอาจารย์ไยจึงให้พวกเขาอยู่” ตู้รั่วถามน้ำเสียงสงบนิ่ง
มั่วชิงเฉินหยิบกระบี่ชิงมู่ขึ้นมาเขี่ยดอกสาลี่บนพื้นเล่นตามอารมณ์ “เสี่ยวรั่วเมื่อก่อนตอนที่เจ้ายื่นมือเข้าไปกำราบหวงป้าเทียน เจ้ารู้ว่าคงมีอันตรายต่อชีวิต แต่ไม่เคยคิดจะหาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่ปราณมาเป็นอาจารย์ใช่หรือไม่”
“ไม่เคยขอรับ” ตู้รั่วตอบอย่างสัตย์ซื่อ ‘เสี่ยวรั่ว’ สองคำนี้ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากเขาเต้นตุบ
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หากตอนนั้นเสี่ยวรั่วไม่ได้ทำเช่นนี้ ข้าอาจจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่คงไม่ใช่ศิษย์ที่ชุบเลี้ยงหรอกนะ”
เห็นตู้รั่วครุ่นคิด มั่วชิงเฉินจึงกล่าวต่อ “ผู้บำเพ็ญเพียรทำดีแต่เพียงตนไม่ใช่เรื่องผิด แต่การสร้างกรรมดีเมื่อความสามารถพร้อมนั้น คือการยกระดับจิตใจตนอย่างหนึ่ง พวกเราได้รับความสามารถเหนือธรรมดา ย่อมไม่ใช่เพื่อเป็นตัวสร้างความเดือดร้อนให้ใคร”
นางไม่เป็นฝ่ายเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น แต่เวรกรรมนำพาสองพี่น้องคู่นั้นฝ่าเข้ามาถึงที่แห่งนี้ได้อย่างประจวบเหมาะบังเอิญ บางทีนี่อาจจะเป็นลิขิตสวรรค์ให้มาพบกันในครั้งนี่
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” ตู้รั่วปล่อยมือลงแล้วขานตอบ
อาจารย์ต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นที่เขาเคยพบมาก่อนมาก แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกชอบนางอยู่ในใจ
มั่วชิงเฉินเก็บกระบี่ นางบีบหมัด ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “แม่นอนยังมีเรื่องสำคัญอีกหนึ่งอย่าง”
“อะไรหรือขอรับ”
“อยู่ที่นี่ช่างน่าเบื่อเสียจริง ไม่ได้ทะเลาะกับใครมานานแล้ว” มั่วชิงเฉินพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ
ตู้รั่วพูดไม่ออก…
วันหนึ่งในสามเดือนให้หลัง ผู้ซึ่งจะทำลายทุกอย่างในที่สุดก็มาถึง