พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 479-1 ค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์
ผู้มาเยือนมีทั้งหมดสามคน หนึ่งในนั้นคือประมุขตระกูลอู๋ ตามด้วยหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งสองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ที่พิเศษกว่านั้นคือหญิงสาวกำลังอุ้มเด็กน้อยวัยราวๆ สามขวบไว้ในอ้อมกอด เด็กน้อยยิ้มไร้เดียงสาให้แก่มั่วชิงเฉิน
“สหายอู๋ นี่คือ…” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว คนที่นี่นิยมพาคนในครอบครัวมาเป็นแขกหรือ
ประมุขตระกูลอู๋ยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาชี้ไปทางหญิงสาว “สหาย นี่คือบุตรสาวของข้า ส่วนนั่นบุตรเขยของข้า”
“คารวะผู้อาวุโส” สามีภรรยาคู่นั้นแสดงความเคารพ
มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างขอไปทีคราหนึ่ง ทั้งสองคนจึงต้องลุกขึ้น
“สหายอู๋ ท่านพาคนในครอบครัวของท่านมาที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินถามอย่างใจเย็น
ประมุขตระกูลอู๋กอบหมัดคารวะ “ที่ผู้แซ่อู๋มาในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องจะขอร้องท่าน”
มั่วชิงเฉินหัวเราะเบาๆ คนผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก ครั้งแรกที่รีบมาก็เพราะอยากจะมาท้าดวล สองครั้งหลังนั้นพูดประโยคเดิมๆ ล้วนแล้วแต่มีเรื่องมาขอร้อง เพียงแต่เกรงว่าครั้งนี้ คงจะเกี่ยวกับเรื่องยาลูกกลอน
ได้ยินเสียงหัวเราะของมั่วชิงเฉิน ประมุขตระกูลอู๋เองก็ยิ้ม ใบหน้าของประมุขตระกูลอู๋ยังคงยิ้มอย่างไม่เปลี่ยนแปลง เขาว่า “ผู้แซ่อู๋ขอเสียมารยาทถามสักคำถาม สหายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถใช่หรือไม่”
มุมปากของมั่วชิงเฉินยกขึ้น นางกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ใช่ หลอมโอสถเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น”
“สหายถ่อมตัวไปแล้ว การหลอมโอสถปราณหยางนั้นมีเพียงปรมาจารย์หลอมโอสถเท่านั้นที่กล้าลอง ระดับการหลอมโอสถของสหาย มีแต่จะเทียบเท่าหรือไม่ก็สูงกว่า” ประมุขตระกูลอู๋กล่าว
มั่วชิงเฉินหัวเราะเสียงใส “สหายอู๋กล่าวเกินไปแล้ว”
ประมุขตระกูลอู๋เงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็พูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “สหาย วันนี้ที่ผู้แซ่อู๋พาบุตรสาวและบุตรเขยมา เพราะว่าอยากจะขอให้ท่านช่วยหลอมยาลูกกลอนชนิดหนึ่ง”
“หืม หัวน้าตระกูลอู๋ลองพูดมา” มั่วชิงเฉินว่า
“โอสถวิญญาณสวรรค์” ประมุขตระกูลอู๋กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“โอสถวิญญาณสวรรค์?” มั่วชิงเฉินพูดพึมพำ นางอดไม่ได้ที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับยาลูกกลอนชนิดนี้จากในหัว ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นบนม้วนคัมภีร์หยกบางม้วน
‘โอสถวิญญาณสวรรค์’ เพียงแค่ได้เห็นชื่อก็ทราบได้ว่ามันเป็นยาลูกกลอนเสริมปัญญา
คนบางคนเกิดมาโง่เขลา ไม่ก็วันหลังจากนั้นเกิดเจ็บป่วยจนสมองถูกทำลาย ถ้าหากว่าใช้โอสถวิญญาณสวรรค์แล้วจะทำให้พวกเขามีปัญญาดีขึ้น แน่นอนว่าความโง่เขลาที่มาจากมหายุทธ์เสาะวิญญาณนั้นไม่สามารถช่วยได้
ยาลูกกลอนเช่นนี้มักมีผลข้างเคียง ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่มักครองคู่กับผู้บำเพ็ญเพียรด้วยกัน แม้บุตรหลานที่เกิดมาจะไม่มีรากวิญญาณ ทว่าร่างกายและสติปัญญาจะดีกว่าคนธรรมดาอยู่สักหน่อย อัตราการให้กำเนิดคนโง่เขลาแทบจะเป็นศูนย์
แต่ถ้าหากคนธรรมดาให้กำเนิดบุตรที่โง่เขลา อีกทั้งยังไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของโอสถวิญญาณสวรรค์ หรือว่าหากรู้แล้วก็ไม่รู้จะไปหาได้จากที่ไหน
ม้วนคัมภีร์หยกม้วนนั้นที่มั่วชิงเฉินได้ดู พูดถึงโอสถวิญญาณสวรรค์เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้พูดถึงวิธีหลอม
“สหายอู๋ต้องการโอสถวิญญาณสวรรค์หรือ” มั่วชิงเฉินถาม หางตาแอบเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมกอดของหญิงสาว
เด็กน้อยคนนั้นยิ้มอย่างไร้เดียงสา แต่แววตากลับว่างเปล่า ไร้แวว
ประมุขตระกูลอู๋จ้องมั่วชิงเฉินไม่วางตา “สหายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถดังคาด รู้จักแม้กระทั่งโอสถวิญญาณสวรรค์ที่ไม่โด่งดังนัก”
“ข้าเคยเห็นเพียงผ่านตา แต่ถ้าหากอยากให้หลอมให้ เห็นทีจะมิได้ ข้าไม่ทราบวิธีหลอม” มั่วชิงเฉินตอบไปตามจริง
ประมุขตระกูลอู๋ขยับมือเพียงเล็กน้อย กระดาษธรรมดาม้วนหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในมือของเขา “สหาย นี่คือวิธีหลอมโอสถวิญญาณสวรรค์”
มั่วชิงเฉินยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีใดๆ
ประมุขตระกูลอู๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเอ่ย “บุตรสาวและบุตรเขยของข้าแต่งงานกันมาแล้วสามสิบปี มีบุตรทั้งหมดสามคน โง่เขลาตั้งแต่กำเนิดทุกคน หลายปีมานี้ผู้แซ่อู๋ตามหาปรมาจารย์หลอมโอสถบนเกาะเสี้ยวจันทร์ อ่านตำราหลอมโอสถมาก็มาก คาดไม่ถึงว่าจะได้ซื้อวิธีหลอมโอสถจากผู้บำเพ็ญเพียรตกยากผู้หนึ่ง ถึงได้รู้ว่ามียาลูกกลอนที่ช่วยเสริมปัญญา น่าเสียดายที่ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับธรรมดาผู้นั้นต้องเอาสิ่งของของบรรพบุรุษออกมาขาย เพียงเพราะไม่มีจะกิน ที่นี่ของพวกเราหาวัตถุดิบได้ยาก ระดับการหลอมโอสถเองธรรมดาก็ไม่สูงส่ง ปรมาจารย์หลอมโอสถที่รู้จักคนแรก ผู้แซ่อู๋ไม่สนิทนัก จึงไม่ยอมรับคำร้องขอของข้า ส่วนคนอื่นๆ ก็ปฏิเสธเพราะวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถวิญญาณสวรรค์หายาก ผู้แซ่อู๋เลยไม่กล้าไหว้วานใคร โชคดีที่มาเจอกับสหาย หวังว่าสหายจะตอบรับคำขอ แน่นอนว่าผู้แซ่อู๋ย่อมต้องมีของตอบแทบให้”
“โอสถวิญญาณสวรรค์เป็นยาลูกกลอนที่มีผลข้างเคียง ข้าน้อยเองก็มิอาจรับประกันได้ว่าจะหลอมสำเร็จ” มั่วชิงเฉินเอ่ย
ประมุขตระกูลอู๋เอ่ยโดยไม่ลังเล “ถ้าหากว่าสหายหลอมไม่สำเร็จ เช่นนั้นผู้แซ่อู๋และบุตรสาวคงต้องยอมจำนนกับชะตาแล้ว”
มั่วชิงเฉินไม่ได้ตอบอะไร นางมองหญิงสาวคนนั้นปราดหนึ่ง
จู่ๆ สามีภรรยาคู่นั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น หญิงสาวพูดไปร้องไป “ผู้อาวุโสโปรดตอบรับด้วยเถิด เด็กที่กำเนิดมาก็รับรู้ถึงจิตใจบิดามารดา ข้าน้อยให้กำเนิดบุตรมาแล้วสามคน ทุกคนล้วนโง่เขลา คนโตอายุยี่สิบกว่าแล้ว แม้แต่คำว่าแม่เขายังพูดไม่เป็น คนสุดท้องเองก็สามขวบแล้ว ทำได้แต่ยิ้ม ทุกวันที่ข้ามองพวกเขา เหมือนกับข้ากำลังควักหัวใจตัวเองออกมา สามีของข้าเองก็ถูกตระกูลประณาม ทั้งยังถูกบังคับให้รับนางบำเรอ แต่เขาแน่วแน่ไม่ยอมทำตาม หลายปีมานี้เขาแข็งกร้าวกับตระกูลมาก เป็นเพราะพวกเราไม่กตัญญู บิดาของข้าถึงได้ยังคงต้องวิ่งขอความช่วยเหลือไปทั่ว ผู้อาวุโส เห็นแก่ที่พวกเราเป็นสตรีเช่นเดียวกัน วันหนึ่งท่านก็ต้องเป็นมารดา ได้โปรดตอบตกลงเถิดเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของหญิงสาวนุ่มนวลแต่ช่างโศกเศร้า บ่งบอกถึงความท้อแท้และขมขื่นของมารดาคนหนึ่ง อีกทั้งเด็กน้อยในอ้อมแขนที่เอาแต่ยิ้มไร้เดียงสาแต่แววตาว่างเปล่า มั่วชิงเฉินรู้สึกสงสาร นางมองไปที่ประมุขตระกูลอู๋ “สหาย ให้ข้าดูสูตรยาสักหน่อย”
ประมุขตระกูลอู๋มีสีหน้ายินดี เขารีบส่งสูตรยาให้แก่นาง
มั่วชิงเฉินรับมาและใช้จิตสัมผัสตรวจสอบดู
“อืม ข้าจะลองดู แต่บอกเอาไว้ก่อนว่า หากหลอมไม่สำเร็จ ข้าก็ไม่มีวัตถุดิบคืนท่าน”
ประมุขตระกูลอู๋ผ่อนลมหายใจ รีบกล่าว “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
เยี่ยเทียนหยวนกำลังบำเพ็ญตบะ นางจากไปไหนไม่ได้ นางจึงเอ่ย “ไม่ต้องรีรอเลือกวัน ข้าจะเริ่มลงมือหลอมโอสถเสียวันนี้ ทว่าตั้งแต่ขั้นตอนละลายสมุนไพรจนถึงหลอมยาสำเร็จ อย่างน้อยก็ใช้เวลาหนึ่งเดือน ที่ของข้าเล็ก สหายอู๋ ให้บุตรสาวและบุตรเขยของท่านกลับไปก่อนเถิด”
มองเห็นใบหน้าจริงจังของมั่วชิงเฉิน ประมุขตระกูลอู๋พลันหน้าแดง อันที่จริงที่เขาให้บุตรสาวพาเด็กน้อยมาก็เพื่อให้มั่วชิงเฉินใจอ่อน นางเป็นคนบริสุทธิ์จิตใจดี แม้ว่าจะมองออก แต่ก็ยังตอบตกลง
หนุ่มสาวทั้งคู่ขอบคุณนางครั้งแล้วครั้งเล่า ในตอนที่กำลังจะจากไป จู่ๆ เด็กน้อยก็เหมือนรู้สึกอะไรบางอย่าง คาดไม่ถึงว่าจะหันไปทางมั่วชิงเฉินและหัวเราะคิกคัก
มั่วชิงเฉินแย้มยิ้มและโบกมือให้เด็กน้อยผู้นั้น