พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 483 เดินทางสู่ทะเลขนาบใจ
มั่วชิงเฉินคิดว่าการแยกกับถังมู่เฉินและหู่โถวที่เกาะราชันย์พำนักจะทำให้นางมองรอบด้านได้เป็นแน่
ทว่าดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ยันต์ส่งสารหมื่นลี้ไร้การตอบสนอง ซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นได้จากสองกรณี หนึ่งคือผู้บำเพ็ญเพียรผู้ส่งสารดับสูญ หรืออย่างที่สองคือขอบเขตของยันต์ส่งสารกว้างเกินกว่าที่ผู้บำเพ็ญเพียรจะรับรู้ได้
นางพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่เป็นไปได้ที่สุดที่ถังมู่เฉินและหู่โถวจะทำคือการกลับไปยังเทียนหยวน เพื่อยืนยันกับพรรคเหยากวางว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ พรรคเหยากวางมีไฟดวงจิตแห่งโชคชะตาของพวกเขา ขอเพียงไฟดวงจิตไม่ดับสูญ ทั้งสองก็สามารถใช้ชีวิตได้โดยไร้กังวล ดั่งคำที่ผู้บำเพ็ญเพียรเคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือการตายจาก การแยกจากเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ
นางหวังว่าถังมู่เฉินผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ใช้ใจคิดเรื่องต่างๆ เหมือนคนปกติทั่วไปบ้าง เพราะไม่ว่าอย่างไรนางและเยี่ยเทียนหยวนจะไม่กลับไปหลิวโจวอีกแล้ว
ทั้งสามลงจากเขา ด้านหลังของเชิงเขาคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล
ใบไม้ที่แกว่งอยู่ในมือเยี่ยเทียนหยวนคือของวิเศษเหินเวหา เมื่อตกลงสู่ท้องทะเลมันจะเปลี่ยนรูปกลายเป็นเรือขนาดเล็กลำหนึ่ง
ทั้งสามขึ้นไปบนเรือแล้วค่อยๆ นั่งลง มั่วชิงเฉินยิ้มพลางเอ่ยถาม “เทียนหยวน ของวิเศษเหินเวหาของเจ้าสามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่”
หากพูดโดยทั่วไปแล้ว ของวิเศษเหินเวหาจะถูกหลอมรวมเป็นลักษณะแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของการเติมเต็มพลังจิตวิญญาณ แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกได้ ไหมเกล็ดน้ำแข็งของนาง คือแสงสว่างจากของวิเศษณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันจึงสามารถเปลี่ยนเป็น ม่านหมอกแห่งเมฆาทั้งยังกลายเป็นหางปลาได้อีกด้วย
“ตลอดปีมานี้ข้าเดินทางทั่วสิบทวีปบูรพา เพียงแค่นำของวิเศษณ์มาหลอมรวมกันก็ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองว่ายน้ำได้ดีขึ้น” เยี่ยเทียนหยวนอธิบาย
เรือที่แปลงมาจากใบไม้ลำนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อนั่งลงไปกลับไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกของคลื่นแม้แต่น้อย เสมือนว่าแรงปะทะของน้ำทะเลจะไม่อาจทำให้เรือลำนี้โคลงเคลงได้ รู้สึกสบายไม่ต่างกับนั่งบนเก้าอี้โยก
มั่วชิงเฉินหรี่ตามองตู้รั่วพลางลอบถอนหายใจ “ตู้รั่ว ในอนาคตเจ้าอยากศึกษาวิชาหลอมโอสถหรืออยากฝึกอาวุธกับพวกเจินจวินมากกว่ากัน”
ดูเหมือนเยี่ยเทียนหยวนจะให้ความสนใจกับคำถามนี้อยู่ไม่น้อย สายตาที่มองไปยังตู้รั่วจึงแฝงไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
ตู้รั่วหลุบตาลงต่ำ ไม่เอ่ยสิ่งใด
ดูเหมือนเป็นคำถามที่ไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้วนี่คือการตัดสินเส้นทางชีวิตของเขาหลังจากนี้ มั่วชิงเฉินรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังคิดอย่างรอบคอบ จึงไม่ได้เร่งรัดอะไรมากนัก
แต่ในใจจริงนางก็อยากให้ตู้รั่วฝึกฝนอาวุธเสียมากกว่า
บางทีเพราะรากวิญญาณทำให้ตู้รั่วรู้สึกราวกับสายลมพัดผ่านเมฆหมอก
อายุของเขาในตอนนี้ประกอบกับนิสัยที่สุขุมและฉลาดหลักแหลมก็นับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่เกินตัวแล้ว อีกทั้งคนรอบข้างที่คบค้าสมาคมด้วยนั้น ก็ทำให้ชีวิตของเขามีชีวิตชีวามิใช่น้อย
เมื่อนางมองเขาก็พาลนึกไปถึงหลิวยวู่ขึ้นมา
ปีศาจที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ เพราะเขาไตร่ตรองสิ่งต่างๆ อยู่เสมอทั้งยังผ่านการฝึกฝนนานนับพันปี เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโดเดี่ยวอันหนาวเหน็บของโลกใบนี้แล้ว
อย่างไรก็ตามนางไม่ได้เสนอความเห็นอะไรอีก การเลือกระหว่างฝึกหลอมโอสถหรือฝึกอาวุธนั้น เดิมเป็นสิ่งที่ต้องใช้สมองตัดสินใจอย่างหนักอยู่แล้ว ส่วนจะเลือกเส้นทางหนก็สุดแท้แต่เขาเป็นผู้เลือก
ไม่ว่าระดับความแข่งแกร่งจะมากน้อยเพียงใดเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร มีเส้นทางเป็นของตัวเอง ไม่ว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไรก็มิอาจตัดสินใจแทนเขาได้
หลังจากที่เงียบมานานตู้รั่วลืมตาขึ้นมองเยี่ยเทียนหยวนแล้วหันกลับไปมองมั่วชิงเฉิน ทั้งคู่อยู่ในชุดอาภรณ์เขียว พวกเขาคือเทพเซียนที่ไร้ข้อผูกมัด เป็นคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์สรรสร้าง
เขาละสายตามองต่ำตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ท่านอาจารย์ ทั้งสองอย่างนี้ศิษย์ไม่ขอเลือก”
“หืม เพราะเหตุใด” มู่ซินเฉินเลิกคิ้วถามด้วยความประหลาดใจ
ศิษย์ของนางจะขี้โกงเกินไปแล้ว เห็นๆ อยู่ว่าเขาเป็นคนใจเย็นคิดการณ์สิ่งใดล้วนรอบคอบ แต่ก็มักทำอะไรให้คาดไม่ถึงอยู่เสมอ
“ศิษย์อยากฝึกควบคุมจิตก่อนจะถึงระดับก่อแก่นปราณ จึงไม่อยากคิดเรื่องอื่น” ตู้รั่วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ที่แท้เพราะเหตุนี้นี่เอง!
มั่วชิงเฉินรู้สึกโมโหตัวเองเล็กน้อย นี่นางไม่ควรรับคนบ้าบำเพ็ญเพียรมาเป็นศิษย์ใช่หรือไม่
นางลุกขึ้นจ้องมองตู้รั่วอยู่ชั่วครู่แล้วยิ้มกลับด้วยความเต็มใจว่า “เป็นเช่นนี้เอง ดี ดีมาก!”
พูดจบก็เตะตู้รั่วลอยละลิ่วตกลงไปในทะเล
ขณะเดียวกันเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น อสูรกายแห่งท้องทะเลโผล่ขึ้นมาจากน่านน้ำ ปากอ่างโลหิตขนาดใหญ่ของมันเปิดออกจู่โจมเข้ากัดตู้รั่ว ตู้รั่วเสียการควบคุมแต่ก็ยังคงท่าทีสงบนิ่งไว้ เขาลอยไปมากลางอากาศชักกริชเสือดาวที่มีลวดลายสวยงามออกมา แทงเข้าไปปะทะกับอสูรกายแห่งท้องทะเลตัวนั้น เพียงไม่นานร่างสีดำทมิฬของเจ้าอสูรกายก็หงายท้องไปพร้อมกับโลหิตที่พุ่งออกจากปากทะยานขึ้นฟ้าเป็นเสาเลือด
ตู้รั่วบินกลับมาที่เรือคาระวะอาจารย์ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไร้ความสามารถ”
ขณะที่เขาคาระวะ อาวุธที่เขาถืออยู่ในมืออย่างกริชซ่อนวิญญาณที่มั่วชิงเฉินเคยใช้มาก่อน ก็มีเลือดย้อยหยดลงมาตรงปลายมีดเป็นสายโลหิตสีแดงเส้นหนึ่ง
อสูรปีศาจขั้นสาม แต่เจ้าเด็กนี่กลับจัดการมันได้อย่างราบคาบ อาจเป็นเพราะสายลมแห่งรากวิญญาณที่บรรดาลให้สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการต่อสู้
มู่ซิงเฉินรู้สึกอิจฉาแต่ก็เอ่ยอย่างใจเย็น “ยิ้มอันใด แค่ฆ่าปีศาจอสูรขั้นสามตัวเล็กๆ ได้ก็วางท่าอวดเก่งแล้วรึ”
เยี่ยเทียนหยวนโน้มตัวไปข้างหน้า ใบหน้าที่คาดเดาไม่ได้ของเขายังคงปรากฏให้เห็นถึงความหล่อเหล่าและอ่อนเยาว์ อย่าว่าแต่อวดเก่งเลย แม้แต่รอยยิ้มจางๆ เขายังไม่มี เพียงแค่จ้องมองมั่วชิงเฉินโดยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปเท่านั้น
ตู้รั่วสัมผัสได้ถึงสายตานั้นก่อนที่เจ้าตัวจะรับรู้ จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ศิษย์ทราบแล้วขอรับ”
วิญญาณอสูรทั้งสามที่อยู่ในกระเป๋าได้ฟังเรื่องราวน่าขบขันก็หัวเราะออกมาโดยพร้อมเพียงกัน ใครปล่อยให้เด็กหน้าตาหน้าเกลียดนี่ไปเป็นวิญญาณอสูรของนางเล่า ไม่กล้าร้องขอปาฏิหาริย์ หากไม่ตั้งใจฝึกฝนมีหรือจะได้รับความเห็นใจจากนาง
ร้องขอความเห็นใจ หากท่านไม่มีความเห็นใจมิสู้กลายเป็นหนึ่งในวิญญาณอสูรเสียเลยเล่า
ใบหน้าของวิญญาณอสูรเต็มไปด้วยคำสบประมาท พวกมันยกนิ้วขึ้นโบกไปมาโดยพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินหน้าเปลี่ยนสีตอกกลับไปว่า “ท่าทางน่าสมเพชเช่นนั้น ใครสั่งสอนพวกเจ้ากัน”
เสี่ยวเจี่ยวและเสี่ยวหลาง หมุนคอเข้าหาเจ้าอีกาไฟ
อีกาไฟตอบกลับอย่างไม่ใคร่สนใจนัก “นี่เรียกว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดมาสั่งสอน!”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ตะโกนออกไป “อู่เยว่กับเสี่ยวเจี่ยวให้เจ้าเป็นพี่สาว เสี่ยวหลางให้เจ้าเป็นแม่ ตอนนี้เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าสิ่งใดควรมิควรทำ!”
ได้ยินคำต่อว่าเพียงคำเดียวเจ้าอีกาไฟก็น้ำตาไหลทันที “นายท่าน ตีคนไม่ตีหน้า ด่าข้าอย่าใช้ความผิดของผู้อื่นมาแก้ตัวสิ หากนักพรตเหอกวางรู้เข้าว่าศิษย์ที่เขาสอนมาเองกับมือจาก เปลี่ยนจากผู้ที่แสนบริสุทธิ์และอ่อนโยนกลายมาเป็นคนเช่นนี้ คงได้เจ็บปวดใจแน่แท้”
มั่วชิงเฉินนั่งอยู่บนเรืออย่างไม่ไหวติง ตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่เป็นไร หลังจากที่ฆ่าคนแซ่เถียนนั่นถึงแก่ความตาย อาจารย์ก็รู้ตั้งนานแล้ว”
อีกาไฟไร้คำตอบโต้
ตลอดเส้นทางกลางทะเลมีปีศาจอสูรที่ถูกทิ้งร้างไว้มากมาย มู่ซิงเฉินและเยว่เทียนหยวนมีความคิดที่จะรวบรวมพลังมหาศาล เพราะปกติจะมีอสูรทะเลหลายระดับโผล่มาอยู่เสมอ
อสูรกายแห่งท้องทะเลพวกนี้อยู่ในระดับทั่วไปไม่สูงมากนัก เพราะอสูรกายระดับสูงจะรับรู้ได้ถึงอันตรายที่เข้ามาเยือนจึงว่ายน้ำออกห่างไปนานแล้ว ที่เหลือจะเป็นพวกหน้าโง่ที่พุ่งขึ้นมาเท่านั้น ทว่าสะดวกต่อการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตู้รั่วนัก
หลังจากนั้นเสี่ยวหลางก็ถูกล้วงออกมาจากในกระเป๋า อันดับการฆ่าที่เคยเข้าร่วม ระดับพลังของเจ้าหมาน้อยนี่และอู่เยว่กับเสี่ยวเจี่ยวนับว่าแตกต่างกัน ดูเหมือนว่าการต่อสู้สำหรับมันจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก มู่ชิงเฉิงรู้สึกน้ำตาจะไหลอาบแก้ม ในที่สุดนางก็มีวิญญาณอสูรระดับทั่วไปแล้ว!
วิญญาณอสูรที่ผู้อื่นเลี้ยงกัน ไม่เพียงช่วยต่อสู้ในสนามรบได้ แต่จะมีกี่ตัวที่เหมือนนาง ตัวหนึ่งเป็นวิญญาณอสูรที่คอยสังเกตุการณ์ ส่วนอีกตัวเป็นวิญญาณอสูรที่ต่อสู้ด้วยเสียงกรีดร้องอันแหลมคม
เรือลำเล็กที่ทำจากใบไม้ลำนี้แล่นไปอย่างรวดเร็ว หลายเดือนต่อมาก็เข้าสู่พื้นที่ของทะเลขนาบใจแห่งความอ้างว้าง
เมื่อมั่วชิงเฉินสัมผัสได้ถึงลมหายใจของนักบำเพ็ญเพียร สายตามองไปยังเยี่ยเทียนหยวนโดยไม่ตั้งใจ
“ชิงเฉิน เรามาถึงทะเลขนาบใจแล้วใช่หรือไม่?” เยี่ยเทียนหยวนถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม นับว่าถึงแล้ว ผ่านตรงนี้แล้วเดินไปอีกประมาณหมื่นลี้ก็จะถึงเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ จวนหลางต้าแห่งตระกูลหวังตั้งอยู่บนเกาะทะเลขนาบใจ พี่สิบสี่ของข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งยังมีหลานสาวของข้าเหยียนเยียนอีกด้วย”
ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมามั่วชิงเฉินไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวในอดีตเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้นางกลับพูดถึงพี่สิบสี่ของนาง เยี่ยเทียนหยวนจึงฟังอย่างตั้งใจ
มั่วชิงเฉินยิ้มพูดขึ้น “เจ้าประหม่าอันใดกัน ข้ามิใช่ลูกสะใภ้ขี้เหร่กลับไปหาพ่อแม่สามีเสียหน่อยข้ายังมีพี่เก้า พี่สิบอีก กลับไปก็ต้องได้เจอกันทั้งสิ้น”
“ใช่ กลับไปเจอเสวี่ยนหั่วเจินจวินด้วย” เยี่ยเทียนหยวนยิ้มเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินจ้องเขม็งไปที่เขาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
นางเป็นคนใจเย็นสุขุมพอตัว แต่หากจะกล่าวให้ชัดก็คือหนังหน้า ทว่าใครจะไปอดกลั้นกับเรื่องราวแปลกประหลาดของโลกพันธ์นี้ได้ เพียงเสียตัวให้คราเดียว โลกทั้งใบก็อยู่สูงกว่าความสามารถของเจ้าในตอนแรกเลยหรือ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้เเล้ว!
“อาจารย์ มีคนกำลังมาขอรับ” ตู้รั่วรีบก้มตัวลงต่ำ
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเพียงแค่พยักหน้าให้กันเท่านั้น
“พี่ชายท่านรีบไปดูว่านั่นคืออสูรปีศาจประเภทใด” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งออกคำสั่ง
“น่าจะเป็นอสูรประเภทหมาป่า แต่มีปีกอยู่ด้านหลัง ปีศาจหมาป่าเช่นนั้นข้าก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน” น้ำเสียงของชายหนุ่มอีกผู้ฟังดูแล้วสุภาพนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความอดกลั้น
“เช่นนั้นพวกเราก็จับมันซะ!” หญิงสาวพูดด้วยความตื่นเต้น
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ครั้นได้ยินเสียงและเงาของชายหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกคุ้นเคย เมื่อหญิงสาวพูดจบส่วนลึกในใจของนางก็นึกถึงพี่น้องคู่หนึ่งขึ้นมา
ปีนั้นที่ภูเขาอู่ฉยง พี่น้องคู่นั้นมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะจับอสูรเขาเดียวของนาง หลายปีผ่านม นึกไม่ถึงว่าพวกเขายังต้องการจับเสี่ยวหลางอีก นี่สินะที่เรียกว่าสันดรขุดง่าย สันดานขุดยาก
“นายท่าน พวกเขาต้องการจับข้าหรือ?” เสี่ยวหลางถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“น่าจะใช่”
“จับเสี่ยวหลางไปทำอะไร” เสี่ยวหลางถามซ้ำ
“เอ่อ พวกเขาคงไม่คิดว่าเจ้าจะน่ารักขนาดนี้ เลยจับกลับไปเฝ้าประตูบ้านละมั้ง” มั่วชิงเฉินตอบปัด
นายท่าน นับวันท่านยิ่งไร้ยางอาย เจ้าอีกาไฟบ่นปากยื่น
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนาวเฉียบพลัน เสี่ยวหลางลุกขึ้นอย่างช้าๆ ถอยหลังเพียงไม่กี่ก้าวก็กระโจนพุ่งไปด้านหน้า ปีกคู่ของมันแผ่ขยายกระพือใส่ชายหนุ่มคนนั้น แสงอาทิตย์ตกกระทบสะท้อนกรงเล็บแหลมคมขนาดสามชุ่น ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจหลบหนี พลังของชายหนุ่มผู้นั้นคือระดับก่อแก่นปราณตอนต้น เสี่ยวหลางคือปีศาจอสูรระดับห้า การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าหนักหนาสาหัสอยู่บ้างแต่ฝีมือก็ค่อนข้างไล่เลี่ยกัน
เสี่ยวหลางเป็นหมาป่าพันธุ์หายาก กรงเล็บของมันเป็นอาวุธวิเศษที่โจมตีได้อย่างเฉียบคม ไม่ต้องถึงกับสัมผัส เพียงตวัดแค่ผ่านปลายเล็บก็สามารถทำให้ผิวของมนุษย์ขาดออกจากกันได้ ทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่ง ร่างของชายหนุ่มก็ตกลงสู่เบี้ยล่าง
มั่วชิงเฉินยืนขึ้น ที่แท้วิญญาณอสูรอันแข็งแกร่งและน่ากลัวนี้ คือวิญญาณอสูรของนางเอง!
“พี่ชาย ระวัง!” กรงเล็บของเสี่ยวหลางตวัดผ่านไหล่ของชายหนุ่ม เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาทำให้หญิงสาวกรีดร้องในทันใด
สถานการณ์ตกอยู่ในสภาวะคับขัน นางเห็นกลุ่มของมู่ชิงเฉิงและตู้รั่วผู้นั้นยังไม่ข้ามผ่านระดับสร้างรากฐานตอนต้น อีกทั้งสองคนที่เหลือดูเหมือนจะไม่มีพลังยุทธ จึงพุ่งเข้าหาตู้รั่ว
“พวกเจ้าเป็นศิษย์จากสำนักไหน อาศัยว่ามีวิญญาณอสูรระดับห้าก็ทำท่าหยิ่งผยอง หากไม่มีอสูรวิญญาณข้าคงจับพวกเจ้าเป็นตัวประกันไปแล้ว!”
ตู้รั่วมองหญิงสาวที่มีพลังเพียงระดับสร้างรากฐานตอนกลางก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ พลางเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “บทเรียนของผู้รู้แจ้งแต่ไม่รู้ภัย”