พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 488-2 ใครมันจะแย่ไปกว่ากัน
เสี่ยวเจี่ยวที่อยู่ในกระเป๋าวิญญาณอสูรใช้ขาทั้งสองข้างของมันปิดหน้า พูดอย่างละอายใจว่า “ข้าไม่เห็นอะไรท้้งนั้น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นายท่านที่ดีไม่ควรมีความคิดเช่นนี้”
เสี่ยวหลางที่นั่งอยู่ยกเท้าหน้าทั้งสองตีกัน ใบหน้าแห่งความชั่วร้ายเอ่ยขึ้นว่า “แบบนี้แล้วจะทำไมเล่า ขอแค่ชกหน้าศัตรูได้ วิธีไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น!”
มั่วชิงเฉินเคร่งขรึม แท้จริงแล้ววิญญาณอสูรทั้งสามล้วนมีพลังที่รุนแรงทั้งสิ้น ตัวหนึ่งสับปลับ ตัวหนึ่งไร้เดียงสา ส่วนอีกตัวก็โหดเ**้ยม
“แม่นางมั่ว คำสาปนี้ต้องใช้เวลานานเท่าใด” ประมุขหวังขมวดคิ้วถาม
หวังสี่ทำผิด เขาไม่สามารถปกป้องได้ พูดออกไปผู้อื่นคงกล่าวได้แค่ว่าประมุขหวังเป็นคนยุติธรรมและใจกว้าง แต่หากเป็นศิษย์ของตัวเองโดนสาปกลายเป็นไข่เต่า เขาจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อีกหรือ เช่นนั้นคงถูกผู้อื่นด่าจนกลายเป็นเต่าหัวหดไปจริงๆ
มู่ชิงเฉินมีสติปัญญาระดับไหน มองท่าทางของประมุขหวังก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้เกินกว่าที่เขาจะรับได้แล้ว
นางมักจะถือคติว่า ใครปฏิบัติต่อนางเช่นไร นางก็จะปฏิบัติตอบเช่นนั้น เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ประมุขหวังได้ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมแล้ว ตอนนี้นางเองก็ไม่อยากทำเกินไป จึงตอบว่า “คำสาปของวิญญาณอสูรไม่สามารถคาดการณ์เวลาได้ อย่างไรก็ลองถามมันก่อนเถอะ”
อู๋เยว่รู้สึกเสียดาย “นายท่าน เรื่องนี้ข้าก็พูดยากเหมือนกัน”
“พูดให้ตรงประเด็นหน่อย!” มั่วชิงเฉินตะโกนปากยื่น
“การที่พลังชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างอื่น ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปี แบบนี้ต้องดูที่ตัวเขาแล้ว ก็ไม่แน่ หากบังเอิญก็กลับเป็นเหมือนเดิมได้ทันที”
มั่วชิงเฉินมองประมุขหวัง สีหน้าของประมุขหวังเหมือนผีไม่มีผิด ท้ายที่สุดก็ได้แต่กวักมือ “เอาคุณชายสิบเจ็ดกลับจวน กักตัวไว้สามปี จากวันนี้เป็นต้นไป ใครคิดย่างกรายเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว ก็อย่าคิดว่าจะรอดจากการลงโทษของข้าได้”
“ขอรับ!” เด็กรับใช้จำนวนมากก้มหัวรับคำสั่ง รีบนำไข่เต่าออกไป
บรรยากาศอึดอัดขึ้นเล็กน้อย
ประมุขหวังกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง “สหายลั่วหยาง แม่นางมั่ว เมื่อครู่เด็กรับใช้รายงานว่า มีพันธมิตรนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักมาเยือน พวกเขาบอกว่าท่านสองสองคือสหายที่รู้จักกันมานาน เช่นนั้นพวกเราเข้าไปด้วยกันเถอะ”
เรื่องของมั่วหนิงโหรว่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไป มั่วชิงเฉินเข้าใจกฎเกณฑ์ มองเยี่ยเทียนหยวนในทันที
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าให้ประมุขจางเล็กน้อย “เชิญท่านประมุข”
“เชิญ”
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าห้องรับรองแขก ก็พบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งสามที่นั่งดื่มชาอยู่
มั่วชิงเฉินเดินหน้ามาหนึ่งก้าว ทั้งสามผู้นี้ล้วนรู้จักกันทั้งหมด
ผู้ที่มีลักษณะกิริยามารยาทที่สง่างามนั้นคือนักพรตโยวหย่วน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสูง สิบกว่าปีมานี้ไม่ได้พบหน้า ยังดูสง่ามีภูมิฐานเช่นเดิม แต่ระหว่างคิ้วกลับมีร่องรอยแห่งความหนักแน่นอยู่
ด้านข้างของเขามีผู้หญิงในอาภรณ์สีม่วงนั่งอยู่ เป็นเพื่อนเก่าเช่นเดียวกัน บังเอิญปีนั้นในถ้ำได้พบกับนักพรตจื่อซวิน
จากนั้นได้รับรู้การเคลื่อนไหวของสายตาคู่หนึ่งที่กวาดมองมาด้วยคลื่นแสงก่อนจะยิ้มให้มั่วชิงเฉินหนึ่งครา และหยุดลงด้านหน้าของเยี่ยเทียนหยวน ป้องปากพูดด้วยความตกใจ “ย๊า นี่ไม่ใช่สหายลั่วหยางหรอกรึ ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีท่านก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดเสียแล้ว!”
พูดถึงตรงนี้พึ่งคิดได้ว่าตนพลั้งปากไป จึงรีบลุกขึ้นมาขอโทษโดยไว “ไอหยา ข้าพลั้งปากไปชั่วครู่ ตอนนี้เรียกสหายลั่วหยางไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าลั่วหยางเจินจวินจึงจะถูก”
เยี่ยเทียนหยวนหยักหน้าให้นักพรตจื่อซวินตามมารยาท จากนั้นมองไปที่นักพรตโยวหย่วน นักพรตโยวหย่วนยืนขึ้นแล้วยิ้มตอบอย่างสดใส “ลั่วหยางเจินจวิน ไม่ได้พบกันเสียนาน” พูดจบก็หันไปทักทายกับประมุขหวัง
ชายทั้งสามเดินเข้าไปนั่งพูดคุยในห้องเดียวกัน มีนักพรตโยวหย่วนและประมุขหวังอยู่ทำให้พูดคุยกันสนุกยิ่งขึ้น
อีกด้านหนึ่ง หลัวเตี๋ยจวินมองมั่วชิงเฉินอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก แล้วจึงยิ้มออกมา “ยินดีด้วยแม่นางมั่ว”
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป หน้าแดงเล็กน้อยตอบเสียงเบาว่า “พวกเรากลับเหยากวงครั้งนี้เพื่อจัดพิธีชวงซิว หากตอนนั้นสหายหลัวมีเวลาว่าง ก็เชิญท่านมาร่วมพิธีเถอะ”
พวกนางทั้งสองผ่านความลำบากมาด้วยกัน ทั้งยังเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณพร้อมกัน แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องแต่ก็นับว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ว่ามีธุระหรือพิธีรีตองต่างๆ ล้วนควรได้รับเชิญ
แต่เดิมผู้บำเพ็ญเพียรมักเป็นพวกไร้น้ำใจ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตมีเพื่อนร่วมใจเป็นพยาน นับเป็นเรื่องที่นางดีใจเป็นอย่างยิ่ง
หลัวเตี๋ยจวินตกใจ ใบหน้างามแสดงความประหลาดใจออกมาอย่างชัดเจน “สหายมั่ว ท่าน…ท่านมีคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรแล้วหรือ”
มั่วชิงเฉินก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน “หลัวเตี๋ยจวินไม่ใช่ว่าท่านรู้ตั้งนาน….”
พูดถึงตรงนี้จุบจบก็มาเยือนทันที เหตุใดนางถึงไม่ประหลาดใจว่าคนรอบตัวเจอหน้ากันคราหนึ่ง จะรู้ได้อย่างไรว่านางกับเยี่ยเทียนหยวนจะแต่งงานกัน หลัวเตี๋ยจวินพึ่งเข้าสู่ก่อแก่นปราณชั้นกลาง นางดูออกก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว
คิดถึงตรงนี้ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ตอบอย่างจำนนว่า “สหายหลัว อยู่ดีๆ ท่านก็มาดีใจกับข้าเรื่องอันใด?”
ถึงแม้ว่าพวกนางจะไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร มั่วชิงเฉินที่เก็บซ่อนความโกรธเคืองเอาไว้ ก็ใช้ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันถามออกมาอย่างหมดเปลือก
หลัวเตี๋ยจวินเข้าใจว่ามั่วชิงเฉินเข้าใจผิดเรื่องอะไร มุมปากก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “เริ่มแรกพวกเราอยู่ระดับก่อแก่นปราณเช่นเดียวกัน สิบกว่าปีผ่านไป ข้าเพิ่งเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง สหายมั่วกลับเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นสูงไปเสียแล้ว หรือไม่ควรเป็นเรื่องน่ายินดีหรอกหรือ”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก นี่นางถูกหลอกอีกแล้วใช่หรือไม่ สหายหลัวที่สง่างามและเยือกเย็นแต่ก่อนนั้นหายไปไหนเสียแล้วหรือ
เห็นเพื่อนสนิทที่พูดคุยอย่างเป็นกันเองของมั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวิน ทำให้พวกนางไม่ได้สังเกตว่าอีกด้านมีนักพรตจื่อซวินที่สีหน้ามีความอ่อนไหวอยู่เล็กน้อย รวบรวมความกล้าพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็เป็นเรื่องน่ายินดีของสหายมั่วแล้ว”
หลัวเตี๋ยจวินตอบอย่างช้าๆ “สหายมั่วนักพรตจื่อซวินอาจจะดูขี้อายแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับมีพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นักพรตโยวหย่วนก็มิอาจเอาชนะได้ ที่พันธมิตรนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักนางคืออันดับสอง”
ถึงแม่ว่ามั่วชิงเฉินไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับนักพรตจื่อซวิน แต่ก็ไม่ถึงกับรังเกียจ พูดทักทายกับนางก็ชวนกันคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยต่อ ในใจกลับรู้สึกว่าหลัวเตี๋ยจวินมีเรื่องที่ไม่ได้พูดออกมา
“สหายหลัว ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของท่านจะดังกว่านักพรตจื่อซวิน”
“อาจะเป็นเพราะน้ำเสียงอันทรงพลังของข้า ที่มีวิธีการโจมตีทำให้ผู้คนต่างประทับใจอย่างลึกซึ้งกระมัง” ลั่วเตี๋ยจวินตอบอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วเหตุใดปีนั้นพวกท่านถึงมาที่ทะเลขนาบใจเล่า” มั่วชิงเฉินถาม
“ผิดแล้ว ตอนนั้นข้ามาถึงที่นี่ก่อน ส่วนพวกเขาสองคนนั้นตามมาทีหลัง นักพรตโยวหย่วนเป็นผู้เสนอความคิดก่อตั้งพันธมิตรนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักขึ้น แล้วสหายมั่วล่ะ เหตุใดถึงมาที่ทะเลขนาบใจ หรือว่าเทียนหยวนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น” หลัวเตี๋ยจวินถามกลับ
มั่วชิงเฉินตอบ “เริ่มจากที่ข้าและคนของข้าเดินทางไปยังสิบทวีปบูรพาโดยบังเอิญจนมาถึงที่นี่ อีกไม่กี่วันก็กลับเทียนหยวนแล้ว สหายหลัวท่านอยากกลับไปกับพวกข้าหรือไม่”
หลัวเตี๋ยจวินเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับว่า “คงไม่ ข้าจะใช้ชีวิตอยู่ที่ทะเลขนาบใจแห่งนี้ แต่สหายมั่ววางใจ พิธีชวงซิวของท่าน ข้าจะต้องไปอย่างแน่นอน”
ประมุขหวังเรียกคนให้ยกสำรับและผลไม้วิญญาณเข้ามา ทุกคนพูดคุยกันไปกินข้าวกันไป เวลาก็ผ่านไปในชั่วพริบตา เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกจากกันนักพรตโยวหย่วนเชิญให้พวกของมั่วชิงเฉินทั้งสามคนเข้าร่วมกับพันธมิตรนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก แต่ก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนใช้เหตุผลบอกปัดไป
ส่งถึงประตูด้านนอกโยวหย่วนเจินเหรินและนักพรตจื่อซวินก็ใช้ของวิเศษเหินเวหาบินออกไป แต่หลัวเตี๋ยจวินกลับนั่งอยู่บนห่านฟ้าสีขาวอย่างสง่างาม
มองดูพวกเขาที่บินออกไปช้าๆ เสี่ยวหลางที่อยู่ในกระเป๋าวิญญาณอสูรก็พูดออกมาทันใดว่า “นายท่านคราวหน้าให้เสี่ยวหลางแบกท่านไปเถอะ ปีกของเสี่ยวหลางใหญ่กว่าเจ้าห่านนั่นตั้งเยอะ”
มั่วชิงเฉินมิได้เอ่ยวาจาอันใด เพียงตบกระเป๋าวิญญาณอสูรเบาๆ หลังจากนั้นกล่าวอำลากับประมุขหวัง จากนั้นเยี่ยเทียนหยวนเองก็เดินไปที่จวนของมั่วหนิงโหรว
ก่อนจากไปครั้งนี้ ข้อแรกนางอยากแนะนำทั้งสองคนนี้ให้รู้จักกัน ข้อสองนางอยากถามมั่วหนิงโหรวว่าจะยอมไปจากที่นี่กับพร้อมพวกนางหรือไม่
ทั้งดินแดนเทียนหยวนและพรรคเหยากวง นางอดใจรอที่จะกลับไปไม่ไหวแล้ว