พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 491 สายตาที่อ่อนโยนคู่นั้น
“เอ๊ะ…” สายตาของเสวียนหั่วเจินจวิน มองไปรอบๆ ตัวของเยี่ยเทียนหยวน เพราะความตื่นเต้นเกินเหตุทำให้ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก ทันทีหลังจากนั้นก็นำพัดกกเหน็บไว้ที่เอวและดิ่งตรงมาที่เยี่ยเทียนหยวนด้วยท่าทางพยัคฆ์ขย้ำเหยื่อ
เยี่ยเทียนหยวนมุมปากกระตุก ไม่เอ่ยคำใดออกมาทั้งสิ้น เพียงผลักเสวี่ยนหั่วเจินจวินให้ขยับออกไป แล้วย่อตัวคารวะ “ลั่วหยางคำนับท่านเทียด”
“เอ่อ…” เสวี่ยนหัวเจินจวินเปิดปากพูด ก็เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ออกมาได้คำเดียวเท่านั้น “ลั่วหยาง เอ่อ…”
มั่วชิงเฉินกัดปากมองต่ำ ทรมานอย่างหนักที่จะไม่หลุดขำออกมา
มั่วหนิงโหรวป้องปากด้วยความตกใจ มองมั่วชิงเฉิน
ตู้รั่วมุมปากโค้งขึ้น ท่านอาจารย์ ศิษย์เข้าใจท่านผิดไปแล้ว เทียบกับคนในสำนักเดียวกัน ท่านคือผู้ที่ปกติที่สุดแล้ว!
ผู้บำเพ็ญเพียรต่างหยุดมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูภูเขาอย่างสนอกสนใจ ราวกับถูกดึงดูดเข้าไปด้วยเสียอย่างนั้น
เหล่าลูกศิษย์ทั้งสิบคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเสวียนหั่วเจินจวินยืนก้มหัวอย่างละอายใจ ค่อยๆ เดินกระจายตัวออกไปสองข้างทาง มองแขกที่มุงอยู่ด้วยสีหน้าที่จริงใจ โปรดเชื่อใจ พวกข้าเป็นเพียงศิษย์ต้อนรับหน้างานเท่านั้น ไม่ได้มากับอาจารย์อาเสวียนหั่วเพื่อสร้างศัตรูอย่างแน่นอน
นักพรตฝูหมิงเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบนหน้าผาก พูดเตือนสติเสียงเบาว่า “เจินจวิน โคจรพลังปราณของท่านสักหน่อย!”
เสวียนหั่วเจินจวินเพิ่งได้สติ จึงโคจรพลังปราณอย่างเหนื่อยหอบ แล้วใช้พัดตีหัวของนักพรตฝูหมิงไปหนึ่งที “ฝูหมิง เด็กของเจ้านับวันยิ่งโง่งม ลั่วหยางกลับมา เจ้าจะส่งยันต์ฉุกเฉินมาทำอะไร มารดามันเถอะ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะไม่อ้ำอึ้งเช่นนี้ได้อย่างไร”
ผู้คนกว่าครึ่งมุมปากมีอาการกระตุก ไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา หมดแล้วซึ่งภาพลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอันน่าเกรงขาม
“ศิษย์พี่ พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ หากยังอยู่ตรงนี้ ข้าเกรงว่าจะมิอาจกลั้นขำได้แล้ว” ไม่รู้ว่าด้านข้างเป็นเสียงของศิษย์จากสำนักใดกำลังพูดกับผู้นำผู้บำเพ็ญเพียรของตน
“ดี” ผู้นำผู้บำเพ็ญเพียรพยักหน้า อยากจะยกเท้าย่างกรายเข้าไป แต่กลับมิอาจตัดใจชมบรรยากาศคึกคักนี้ต่อได้ จึงนิ่งไปสักพัก แล้วพูดออกมาว่า “มิเช่นนั้นก็รอดูอีกสักพักดีหรือไม่”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่หันหลังไปก่อนหน้านี้ ยกท้าวกลับอย่างสงบ พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยิ่ง “ได้!”
นักพรตฝูหมิงลูบหน้าผากถอนหายใจอย่างอาดูร วันนี้เป็นวันที่สุดแสนจะพิเศษ เหตุใดกลับรู้สึกเสียหน้าเช่นนี้เล่า ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบโน้มน้าวความสนใจจากเสวียนหั่วเจินจวิน มิเช่นนั้นไม่รู้เลยว่าบรรพบุรุษท่านนี้จะพูดเรื่องเสียหน้าอะไรออกมาอีก
“เจินจวิน ท่านเห็นอาจาารย์อาเยี่ยเทียนหยวนกับศิษย์น้องชิงเฉินกลับมาแล้ว ควรจะให้พวกเขารีบเข้าไปดีหรือไม่”
เสวียนหั่วเจินจวินที่อยู่ในอาการตกใจอย่างสุดขีดพลันเรียกสติตัวเองคืนกลับมาได้ เมื่อลืมตามองมั่วชิงเฉินก็ประหลาดใจอย่างเหลือเชื่อ พัดกกที่อยู่ในมือตกลงพื้นโดนเท้าของตน
พัดที่ดูเหมือนทำมาจากไม้ไผ่สานธรรมดาชิ้นนี้ ความจริงแล้วกลับมีน้ำหนักถึงพันชั่ง เสวียนหั่วเจินจวินในตอนนี้ที่ถูกสมบัติวิเศษประจำกายตกใส่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เยี่ยเทียนหยวนมุมปากกระตุกยิ้มอีกครั้ง เก็บพัดส่งคืนเสวียนหั่วเจินจวินอย่างรวดเร็ว “ท่านเทียด ท่านถือเอาไว้ให้ดี พวกเรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”
เสวียนหั่วเจินจวินยังไม่เลิกจ้องมองมั่วชิงเฉิน เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียนหยวนพูดจึงคืนสติในที่สุด หมุนตัวกลับพูดด้วยความยินดีปรีดาทันที “เจ้าเด็กคนนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะรู้วิธีประหารก่อนค่อยรายงานทีหลังเสียด้วย ฮ่าๆๆ ทำได้ดี สกุลเยี่ยของเราจะมีทายาทสืบสกุลแล้ว!”
เลือดอันร้อนระอุที่อยู่ในปากของมั่วชิงเฉินเกือบจะพุ่งออกมา สวรรค์ ท่านให้ข้าตายเถอะ เขาตัดสินใจตะโกนออกไปหน้าปากทางประตูพรรคเหยากวง ให้แขกทุกคนได้รับรู้ว่านางกับเยี่ยเทียนหยวนที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับทำเรื่องที่สามีภรรยาเขาทำกันแล้วอย่างนั้นหรือ
อีกทั้งท่าทางที่ยินดีปรีดาและภาคภูมิใจเช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่!
นางก้าวไปข้างหน้าย่อตัวลงเล็กน้อย “ศิษย์คาราวะเสวียนหั่วเจินจวิน เจินจวิน ศิษย์กับอาจารย์อาลั่วหยางไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้ว อยากจะเข้าไปคารวะเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านใน ท่านว่า พวกข้าควรเข้าไปได้แล้วกระมัง”
พูดจบถึงตรงนี้ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เสวียนหั่วเจินจวินกะพริบตา อาจารย์อาลั่วหยาง? เจ้าเด็กนี่กำลังขู่เขาอย่างนั้นหรือ ไม่สำเร็จหรอก เขาต้องรีบไปหาศิษย์พี่หัวหน้าพรรค หารือเรื่องจัดพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ให้พวกเขาทั้งสองทันที!
คิดถึงตรงนี้ ก็กลับมาเป็นเหมือนปกติ โบกพัดกกไปมา “ไป พวกเรารีบเข้าไปข้างใน วันนี้พวกเจ้ามาได้จังหวะ ทันฤกษ์ดื่มสุรมงคลพอดี”
พูดจบก็กวาดสายตามองมั่วหนิงโหรวและตู้รั่ว ในที่สุดก็สบตากับมั่วชิงเฉินและมองหน้าตู้รั่วที่อยู่ด้านหลัง ยามที่จะเอ่ยปากก็ได้ยินมั่วชิงเฉินกัดฟันตอบขึ้นมาเสียก่อน “ลูกศิษย์ของข้า!”
“อ้อ…” เสวียนหั่วเจินจวินเลิกคิ้วยาว
มั่วชิงเฉินน้ำตาไหลพราก เจินจวิน สีหน้าผิดหวังของท่าน อย่างน้อยช่วยเก็บเอาไว้บ้างได้หน่อยหรือไม่
“ท่านเทียด ไม่ทราบว่าเป็นงานแต่งของผู้ใด” เยี่ยเทียนหยวนถาม
มั่วชิงเฉินที่กำลังกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเสวียนหั่วเจินจวินอยู่ ยอดเขาชิงมู่ หรือว่าจะเป็นท่านอาจารย์
เสวียนหั่วเจินจวินที่เดินอยู่ตรงนั้นยิ้มตอบออกมา “ตอนนี้ในพรรคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก พวกเจ้าคงไม่รู้ ตอนนี้หัวหน้าพรรคเหยากวงหาใช่ผู้เฒ่าไท่ซางแต่เป็นหลิวซางเจินจวินแล้ว”
“โส่วเต๋อเจินจวินเขา…” มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้น ปีนั้นโส่วเต๋อเจินจวินกินโอสถอายุวัฒนะ หากพูดตามเหตุผลแล้ว นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง
เสวียนหั่วเจินจวินพูดต่อด้วยเสียงอันเบา “โส่วเต๋อเจินจวินเอาตำแหน่งหัวหน้าพรรคที่ผู้เฒ่าไท่ซางมอบให้ส่งต่อให้หลิวซางเจินจวิน ส่วนตัวเขาตัดสินใจออกเดินทางท่องยุทธภพแล้ว กลับมารึเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ บอกให้พวกข้าไม่ต้องเป็นกังวล” พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนในใจต่างรู้ดี โส่วเต๋อเจินจวินอายุยังไม่มาก มีหลิวซางเจินจวินที่มีระดับก่อกำเนิดขั้นสูงคอยดูแล เท่านี้ก็ทำให้มีเวลาได้เพลิดเพลินใจได้ตามสบายมากขึ้นแล้ว
“หลิวซางเจินจวินได้เข้าไปอยู่ที่เขาโฮ่วเต๋อแล้ว ตอนนี้ผู้พักอาศัยที่เขามู่ชิงก็มีเพียงเหอกวงเจินจวิน” เสวียนหั่วเจินจวินพูดต่อ
“หรือว่างานแต่งวันนี้ คือศิษย์พี่เหอกวงหรือ” เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินอย่างไม่ทันตั้งตัว
เสวียนหั่วเจินจวินทำปากยื่น “เขามีความคิดแบบนั้นที่ไหนกันเล่า!” พูดจบก็มองไปยังมั่วชิงเฉิน ถอนหายใจตอบว่า “นางหนูชิงเฉิน เจ้ากลับมาครั้งนี้ ต้องหัดแสดงความกตัญญูต่ออาจารย์ของเจ้าสักหน่อยแล้ว อาจารย์เจ้ากลายเป็นเช่นนั้น ยากจะพบเห็นอย่างยิ่ง”
“อาจารย์เขา…เป็นอย่างไรหรือ” มั่วชิงเฉินโพล่งถามออกมา
เสวียนหั่วเจินวินโบกพัดในมือตอบว่า “ปีนั้นเหตุการณ์ความโกลาหลวิกฤตอสูร ร่างวิญญาณบาดเจ็บสาหัส สำนักใหญ่แต่ละสำนักมิอาจยับยั้งวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แม้ว่ารากฐานหน้าประตูสำหนักจะป้องกันได้ แต่พวกศิษย์ที่ออกไปเผชิญกับวิกฤตอสูรน้อยมากจะกลับมา ส่วนใหญ่ล้วนร่วงโรยลงไปเบื้องล่างหมด ตอนนั้นเหอกวงกักตนบำเพ็ญเพียรเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิด เมื่อบรรลุระดับก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่นก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้น รู้ทั้งรู้ว่ารากฐานนั้นป้องกันได้แต่กลับไม่สนใจ ฝ่าออกไปเปิดค่ายกลพิทักษ์ภูผาตามหาเจ้า”
มั่วชิงเฉินจะเปิดปากพูด แต่กลับไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา กลับรู้สึกกระดากอยู่ในใจ
“สามสิบกว่าปีก่อน โคมไฟดวงจิตเจ้าชะตาของเจ้ากับลั่วหยางอยู่ๆ กลับมืดสลัวไร้แสงสว่าง ตอนนั้นค่ายกลพิทักษ์ภูผาบังเอิญเปิดออก ช่วงเวลาที่อลม่านก่อนหน้าทำให้พรต มาร และปีศาจหยุดรบและทำข้อตกลงร่วมกัน พวกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่อยู่ในสำนักต่างกังวลเป็นอย่างมาก เหอกวงเพื่อตามหาเจ้าแทบพลิกแผ่นดินเทียนหยวน ต่อมาแดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออก แม้แต่เขาก็ยังไม่เข้าไป พอเห็นว่าโคมไฟดวงจิตเจ้าชะตาของพวกเจ้ากลับมาเป็นปกติถึงเข้าไปอย่างเงียบๆ หึๆ ตอนนั้นพวกเราคงคาดเดาได้ ว่าพวกเจ้าทั้งสองคนอาจจะอยู่ด้วยกัน ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถข่มอารมณ์อยู่ได้ ข้าบอกเขาหลายครั้งแล้ว มีเจ้าลั่วหยางอยู่ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ทำให้สะใภ้ตัวน้อยลำบากหรอก แต่เขาก็เป็นคนดื้อรั้น ไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย”
มั่วชิงเฉินหลับตาแน่น เดินตามเสวียนหั่วเจินจวินไปด้านในอย่างเงียบๆ บรรยากาศเอิกเกริกท่ามกลางฝูงชน โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่นั้นดูเหมือนอยู่ไกลออกไปจนไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ มีเพียงตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างชัดเจนเท่านั้นที่ตกสู่ในใจของนาง
“ท่านเทียด ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่างานแต่งวันนี้เป็นของผู้ใดกันแน่” เยี่ยเทียนหยวนถามกลับ
เสวียนหั่วเจินจวินเคาะศีรษะโล้นๆ ของตนเบาๆ ยิ้มตอบว่า “ข้าตื่นเต้นเล็กน้อย พูดนอกประเด็นเสียแล้ว งานแต่งงานวันนี้เป็นของจื่อซีและหมิงจ้าว หึๆ สู้รบปรบมือมานาน พรรคเหยากวงของเรานานแล้วที่ไม่ได้จัดงานมงคล จื่อซีก็เป็นศิษย์เอกของศิษย์พี่ผู้เป็นหัวหน้าพรรค พวกเขาแต่งงานกันอาจจะเป็นเพราะมีหลิวซางเจินจวินเป็นเจ้าภาพจัดงานเอง หากเป็นคนอื่น บรรยากาศคงไม่คึกคักเช่นนี้”
“เป็นจื่อซีกับหมิงจ้าว อาจารย์ลุงอาจารย์ป้าทั้งสองหรือ” มั่วชิงเฉินประหลาดใจอย่างไม่น่าเชื่อ นางจำได้ตลอดว่ายามนักพรตจื่อซีอยู่ต่อหน้านักพรตหมิงจ้าวจะทะเลาะกันทุกครั้งไป ไม่คิดเลยว่าสิบกว่าปีมานี้ สองคนนั้นจะกลายเป็นสามีภรรยากัน แต่เมื่อคิดดูอีกที นักพรตจื่อซีเป็นพวกกระตือรือร้นโมโหง่าย ส่วนนักพรตหมิงจ้าวนั้นซื่อสัตย์อ่อนโยน ดูแล้วช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ
เสวียนหั่วเจินจวินยิ้ม “นางหนูชิงเฉิน ตอนนี้เจ้าต้องเรียกจื่อซีและหมิงจ้าวว่าศิษย์พี่ถึงจะถูกต้อง”
“รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง” มู่ชิงเฉินตอบเบาๆ
“พวกเราในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นเช่นนี้ นอกจากศิษย์อาจารย์ เรื่องการเคารพล้วนต้องให้ความสำคัญยิ่ง เข้าไปเถอะ พิธีบำเพ็ญเพียรคู่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว” เสวียนหั่วเจินจวินพูดอย่างไม่สนใจอะไร
ขณะที่พวกเขาเข้าสู่ลานขนาดใหญ่ของเขาโฮ่วเต๋อ ก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะดังออกมา ผู้คนล้วนเกือบลืมหายใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าประตู นักพรตหมิงจ้าวที่ใส่ชุดคลุมสีแดงขนาดใหญ่มองลงมาจากที่สูง หงส์หลวนเหนี่ยวคู่หนึ่งกำลังแบกเกี้ยวที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามบินลงมาไกล รอบๆ มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั้งสี่สวมชุดหลากหลายสีสันถือกระเช้าดอกไม้ยืนอยู่
“เชิญเจ้าสาวลงเกี้ยว…”
นักพรตจื่อซียื่นมือออกไป เดินออกมาจากประตูเกี้ยวม่านลูกปัด
ชุดสีแดงที่นางสวมใส่สง่างามราวกับเปลวไฟ อีกทั้งไม่ได้ใส่ผ้าคลุมหน้าสีแดงเหมือนกับหญิงสาวทั่วไปแต่สวมมงกุฎหงส์แทน ลูกปัดสีแดงแถวหนึ่งห้อยระย้าลงมาจากมงกุฎหงส์ยาวปิดลงมาถึงแค่ตาเท่านั้น ทุกครั้งที่มันแกว่งสามารถเห็นหางตาที่ทาชาดสีทองได้เล็กน้อย สวยงามไร้ผู้ใดเปรียบ
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสี่ที่สวมอาภรณ์สีสดใสเริ่มเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ แล้วโยนกลีบดอกไม้ขึ้นไป ดอกไม้เหล่านั้นมีความพิเศษอย่างยิ่ง กลีบของมันไม่ตกลงมา กลับกลายเป็นวงขนาดน้อยใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ หลังจากนั้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็เดินลงมาจากสะพานดอกไม้
นักพรตจื่อซีเดินตามสะพานดอกไม้ลงไป แต่ละก้าวเดินอย่างมั่นคงจนพบกับนักพรตหมิงจ้าวที่รออยู่หัวสะพานแล้ว
นักพรตหมิงจ้าวประคองมือของนางขึ้นอย่างมั่นคงและหนักแน่น เดินไปหาหลิวซางเจินจวินที่อยู่ด้านหน้า
หลิวซางเจินจวินสวมชุดเต้าผาวเต็มยศสำหรับพิธีการขั้นสูงเพื่องานแต่งงานของทั้งสอง กระบวนการทั้งหมดนั้นเรียบง่าย แต่ยิ่งใหญ่
สุดท้าย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณสวมอาภรณ์สีเหลืองยกถาดรองขึ้นมา ด้านบนมีกาสุราที่งดงามประณีตและจอกหยกขาวสองใบวางอยู่
มั่วชิงเฉินจำได้ว่าผู้นั้นคือนักพรตรั่วซีที่พบบนเขารั่วสุย
ต่อมาก็เห็นนักพรตรั่วซีเปิดฝากาสุราออก นักพรตหมิงจ้าวและนักพรตจื่อซีบีบเลือดหยดลงไป หลังจากนั้นนักพรตรั่วซีปิดฝากาสุรา เพียงใช้ปลายนิ้วดีดเล็กน้อยพลังวิญญาณที่ลอยอยู่ด้านนอกกาสุราก็ปรากฏขึ้นอย่างสง่างาม
ชั่วพริบตามีลำแสงเจ็ดสีออกมาจากกาสุรา ใช้เวลาไม่นานจึงกลับมาสงบดังเดิม นักพรตรั่วซีถือจอกหยกขาวที่เติมสุราจนเต็มแล้วส่งให้ทั้งสอง เมื่อคู่บ่าวสาวรับจอกสุราก็ยกดื่มหมดภายในอึกเดียว ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีการ
หลังจากนั้นหลิวซางเจินจวินประกาศ “จบพิธี” บรรยากาศเสียงครื้นเครงขึ้นมาทันใด สำรับสุราอาหารและผลไม้สดต่างๆ ที่ถูกยกขึ้นมาราวกระแสน้ำไหล
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่นั่งชมพิธีการอยู่ด้านบนต่างเดินลงมา เหลือเพียงผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งในชุดสีเทากำลังนั่งอยู่อย่างเฉื่อยชา ดั่งภาพวาดพู่กันโบราณที่เรียบง่าย ไร้สีสันใดๆ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกถึงพลังปราณชั้นสูงบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนราวกับพลังของพวกเทพเซียนชั้นสูง แล้วคำตอบนั้นก็ปรากฏขึ้น เมื่อเขาลืมตาก็พบว่ามั่วชิงเฉินมองขึ้นมาทางนี้