พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 496 พบฮวาเชียนซู่อีกแล้ว
เรื่องที่ทำลายศักดิ์ศรีของบุรุษเช่นนี้ แต่หลัวอวี้เฉิงยิ้มออกมาแบบไม่คิดอะไร พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ มั่วชิงเฉินทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งคราพลางพูด “ผู้ที่ละทิ้งสหายหลัว มีตาแต่หาได้มีแววไม่”
นัยน์ตาของหลัวอวี้เฉิงปรากฏรอยยิ้มอ่านไม่ออกอยู่แวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็โน้มกายมาข้างหน้า ถามอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “จริงหรือ”
เห็นท่าทางไม่เหมือนคนเศร้าของเขา มั่วชิงเฉินจึงพูดออกมาตามตรง “ที่จริงแล้วข้าแค่ปลอบใจเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น เรื่องของความรู้สึกนั้นไม่แน่นอนที่สุด มิใช่ว่าผู้ใดดีผู้นั้นก็ได้ครอบครอง”
หลัวอวี้เฉิงเริ่มโกรธ “มีใครปลอบใจผู้อื่นเช่นเจ้ากัน”
มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคักพลางตอบ “เจ้าโมโหอะไรกันเล่า ข้าไม่เห็นเจ้าจะเสียใจเลยสักนิด”
หลัวอวี้เฉิงส่งเสียงฮึดฮัด “ข้าจะเสียใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้า เจ้ามิควรโรยเกลือบนบาดแผลของผู้อื่นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าคิดว่าที่ข้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ สหายมั่วก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ”
“นี่ ยี่เกี่ยวอันใดกับข้า” มั่วชิงเฉินประหลาดใจมาก
หลัวอวี้เฉิงปรายตามองมั่วชิงเฉินพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หรือว่าสหายมั่วลืมเสียแล้ว เมื่อปีก่อนข้าพาท่านหนีจากงานแต่งงานกับฮวาเชียนซู่ เวรกรรมมีจริง”
มั่วชิงเฉินรู้แค่เพียงลมที่พัดมาหนาวจนเข้ากระดูก ริมฝีปากขยับพูดว่า “สหายหลัว วันนี้ที่ท่านลากข้ามาร่ำสุรา คงมิใช่เพื่อเอาคืนใช่หรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ “เรื่องเอาคืนไม่พูดถึงไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วสหายมั่วต้องชดเชยให้อวี้เฉิงสักหน่อยมิใช่หรือ”
เห็นท่าทีตะลึงงันของมั่วชิงเฉิน หลัวอวี้เฉิงก็แอบยิ้มในใจ เขาลืมไม่ลงหรอกว่าเมื่อปีก่อนแม่นางน้อยผู้นี้เรียกร้องขูดรีดจากเขาเสียจนเขาแทบจะขายชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเป็นทาสรับใช้นาง
“สหายหลัวอยากให้ข้าชดใช้อันใดหรือ” มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากตามด้วยถาม รู้ดีว่ามีโอกาสสูงที่เขาจะแค่พูดเล่น ทว่านางไม่อยากติดค้างใครมาตั้งแต่แต่ไหนแต่ไรแล้ว
“มิทราบว่าสหายมั่วจะรับปากข้าได้หรือไม่” หลัวอวี้เฉิงถามยิ้มๆ
คนผู้นี้มิยอมตกเป็นรองใครสินะ มั่วชิงเฉินแอบกลอกตาก่อนจะตอบ “ข้าจำได้ว่าสหายหลัวยังติดค้างข้าอยู่หนึ่งเรื่อง เช่นนั้นก็ถือว่าเสมอกัน”
หลัวอวี้เฉิงก้มหน้าลง พลางแคะเนื้อหอยที่ถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทองอย่างใจเย็น พูดอย่างช้าๆ “คนละเรื่องกัน เรื่องที่เจ้าขอก็คือส่วนของเจ้า เรื่องที่ข้าขอก็คือส่วนของข้า”
มุมปากของมั่วชิงเฉินกระตุก “สหายหลัว หากเจ้าฉลาดเฉียบแหลมเช่นนี้อีก สตรีแบบไหนก็ต้องหนีเจ้า”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่ใช้ท่าทางสง่างามทานอาหารอยู่ครู่ใหญ่ถึงเอื้อนเอ่ย “สตรีที่กลัวจนหนีไป มิใช่ผู้ที่อวี้เฉิงต้องการ”
ความเห็นอกเห็นใจที่หลัวอวี้เฉิงถูกเจ้าสาวทอดทิ้งเพียงหนึ่งเดียว มลายหายไปโดยพลัน บุรุษเช่นเขา แท้จริงแล้วมิต้องการความเห็นใจจากคนรอบข้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจคาดการณ์ไว้แล้วว่าสตรีผู้นั้นจะหนีไป ถึงกระทั่งช่วยด้วยซ้ำ
ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดมน มั่วชิงเฉินเลิกคิดฟุ้งซ่าน และมองไปที่หลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงมองตามั่วชิงเฉินอย่างจำใจ คล้ายกับต้องการมองไปยังส่วนลึกของจิตใจนาง “สหายมั่ว อวี้เฉิงมิได้ไม่อดทนแบบที่ท่านคิด ข้าเพียงแค่เคารพทางเลือกของนางเพียงเท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มจางๆ จากนั้นพูดเสริม “แน่นอนว่า ผลลัพธ์เช่นนี้ก็เป็นไปตามที่ข้าคาดไว้”
“พวกเจ้าเมินเฉยต่อกันและกันเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินถอนหายใจ
หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปากบาง ไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธ หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป “สหายมั่ว เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องไปจงหลาง”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิดและตอบ “หลังจากเข้าร่วมการประลองเฟิงอวิ๋น และไปเปิดหูเปิดตาที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูแล้ว จากนั้นจัดการเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าวางแผนจะไปจงหลางสักหน่อย สหายหลัวคิดเห็นอย่างไรหรือ”
“เช่นนั้นก็ดี สิ่งนี้คือยันต์ส่งสารหมื่นลี้ สามารถเรียกอวี้เฉิงได้ทันทีที่สหายมั่วอยากไป” หลัวอวี้เฉิงมอบยันต์แผ่นหนึ่งให้นาง
มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับตามด้วยพยักหน้า
หลังทานอาหารเสร็จ หลัวอวี้เฉิงก็ดื่มสุราชั้นดีอีกหลายน้ำเต้า จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากเมืองด้วยกันและแยกจากกัน
มั่วชิงเฉินเหยียบลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งและเหาะไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วปานดาวตก หลัวอวี้เฉิงส่ายหน้า มองไปรอบๆ เล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็คิดว่าไปเที่ยวเล่นทางทิศตะวันตกก็ไม่เลว จึงได้เหาะขึ้นช้าๆ และมุ่งตรงไปทางตะวันตกอย่างไม่เร็วไม่ช้า
มั่วชิงเฉินเหาะไปหลายหมื่นลี้ เมื่อเห็นเทือกเขาสูงทอดตัวยาวอยู่ตรงหน้า เทือกเขาหมิงสยาในความทรงจำของนาง เพียงแค่ข้าวเทือกเขาสูงลูกนี้ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ รีบเร่งฝีเท้าเพียงวันสองวันก็ถึงแล้ว
เทือกเขาเป็นระลอกคลื่นยาวเหยียดนับหมื่นลี้ เมื่อมั่วชิงเฉินเห็นว่ากำลังจะถึงประตูของลั่วสยา นางกลับชะลอฝีเท้าลง เหาะไปคิดไปว่าเมื่อพบมั่วเฟยเยียนจะเป็นเช่นไร นางจะมีข่าวคราวของมั่วหร่านอีหรือไม่
ในขณะที่กำลังเหาะอยู่ ทันใดนั้นนางก็เห็นแสงวิญญาณข้างหน้ากำลังแปรปรวนอย่างรุนแรง จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดเท้าลง นางพึมพำ “การประลองอันรุนแรงเช่นนี้ คงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ!”
เรื่องยุ่งยากเช่นนี้ มั่วชิงเฉินไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว นอกเสียจากจะใช้จิตสัมผัสตรวจดูเสียหน่อยตามความเคยชิน
เนื่องจากการฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา ทำให้การใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์กลายเป็นจุดแข็งของนาง นางมั่นใจว่าจะไม่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกับจับได้
บังเอิญเพราะการตรวจสอบอันเป็นนิสัยของนาง ทำให้นางหยุดฝีเท้าลง
ผู้ที่ประลองอยู่ทั้งสองล้วนเป็นมารบำเพ็ญเพียร ปราณมารม้วนไปมา หนึ่งในนั้นคือใบหน้าที่นางไม่มีวันลืม
ผิวของคนผู้นั้นขาวราวหยก แม้จะอยู่ท่ามกลางการประลองอันดุเดือดทว่ายังคงโดดเด่น บุคลิกและความสามารถล้ำเลิศ ทำเอามั่วชิงเฉินแทบอยากจะแทงสักหลายแผล…ฮวาเชียนซู่
หลังจากความตกตะลึงในคราแรกผ่านไป มั่วชิงเฉินก็ทำจิตใจให้สงบ รวบรวมลมหายใจและเข้าไปใกล้สนามประลองอย่างช้าๆ
ก็ได้ยินเสียงสตรีกล่าว “ฮวาเชียนซู่ หัวใจของเจ้าทำด้วยเหล็กหรือไร เหตุใดถึงทำกับข้าเยี่ยงนี้”
ฮวาเชียนซู่อมยิ้ม สายตาอ่อนโยนประหนึ่งมองคนรัก แต่คำพูดที่เปล่งออกมาทำเอาผู้คนอกสั่นขวัญแขวน “อันที่จริงบุปผานั้นไร้หัวใจ หากเจ้ายืนกรานจะให้ข้าควักหัวใจออกมาให้เจ้าดู เช่นนั้นคงต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”
พูดจบพลันยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง จากนั้นก็โผทะยานไปทางสตรีด้วยท่าเหยี่ยวแก่จับเหยื่อ
มั่วชิงเฉินมองด้วยสายตาเย็นชา พลันธนูเขียวซ่อนเร้นก็ปรากฏลงบนมือ
ฮวาเชียนซู่เองก็เป็นระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย ดีมาก ในเมื่อวันนี้เธอได้พบ ก็คงจะเป็นโอกาสล้างแค้นที่สวรรค์มอบให้
เห็นฮวาเชียนซู่ยื่นมือไปทางมารบำเพ็ญเพียร ในใจของมั่วชิงเฉินไม่มีคลื่นแม้แต่น้อย เรื่องสุนัขกัดกันเช่นนี้ หากนางรู้สึกเห็นใจก็คงจะแปลก!
แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายเช่นเดียวกัน แต่ฮวาเชียนซู่กลับมีพละกำลังมากกว่าแม่นางมารบำเพ็ญเพียรมิน้อย จู่ๆ เขาก็ด่าทอขึ้นมา แม่นางมารบำเพ็ญเพียรมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เกิดเป็นเสียงดังฉับ มือของฮวาเชียนซู่ก็วางอยู่บนหน้าผากของนาง
มั่วชิงเฉินดึงสายธนูเขียนซ่อนเร้นจนตึง รวบรวมสมาธิ รอคอยจังหวะไม่ไหวติง แต่การกระทำต่อจากนั้นของฮวาเชียนซู่ก็ทำให้นางต้องประหลาดใจ
เพียงแค่เห็นฮวาเชียนซู่ร่อนลงมาจากกลางอากาศ แต่มือกลับไม่ห่างจากหน้าผากของสตรี แสงวิญญาณน่ามองสายหนึ่งก็พรั่งพรูเข้าไปในมือของของฮวาเชียนซู่อย่าไม่ขาดสาย หลังจากนั้นกายของเขาก็เปล่งแสงออกมา
ทุกคนต่างทราบดีว่า มารบำเพ็ญเพียรมักมีอาคมที่ไม่ชอบธรรมนัก มั่วชิงเฉินเองก็เข้าใจสิ่งนี้มิมาก แต่ได้เห็นฉากแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วยตาตนเอง ทันใดนั้นนางก็คิดได้ว่าฮวาเชียนซู่กำลังทำอะไร
ที่แท้เขาก็กำลังดูดกลืนพลังจากสตรีนางนั้น
กายของสตรีนางนั้นกำลังสั่นไหว ตอนที่แสงวิญญาณเปล่งประกาย ผิวที่โผล่พ้นเสื้อค่อยๆ ยับย่นลง ทว่าใบหน้าปานเทพสวรรค์ของฮวาเชียนซู่กลับยิ่งเปล่งประกายราวกับหยก เสื้อคลุมถูกปราณวิญญาณซัดสาดจนปลิวไสว
ไม่ดีแน่ ถ้าหากรอให้เขาดูดกลืนพลังของแม่นางผู้บำเพ็ญเพียรในชุดมารจนสิ้น การบำเพ็ญเพียรของเขาเองก็จะคืบหน้าขึ้นอีกก้าวมิใช่หรือ
คิดได้ถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินก็ไม่ลังเลใจอีกต่อไป นางปล่อยปลายนิ้ว ศรเหมันต์ก็กระโดดข้ามเปลวน้ำแข็งเหมันต์ราวกับถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ พุ่งตรงไปยังหัวใจของฮวาเชียนซู่
ทันใดนั้นฮวาเชียนซู่ที่กำลังดูดกลืนพลังของสตรีนางนั้นก็หมุนตัว นำสตรีนางนั้นมาบังข้างหน้า ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะ ศรดอกนั้นก็ปักลงข้างหลังสตรีนางนั้น ตามด้วยโจมตีเขาต่อด้วยพลังที่เหลืออยู่
ฮวาเชียนซู่ปล่อยมือให้แม่นางผู้นั้นล้มลงกับพื้น เขย่งปลายเท้าเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของศรเหมันต์อย่างคล่องแคล่ว
มั่วชิงเฉินกวักมือหนึ่งครา เพื่อเรียกศรเหมันต์กลับมา สีหน้าราวน้ำค้างแข็ง
เสียงหัวเราะอบอุ่นของฮวาเชียนซู่ดังขึ้น “ชิงเฉินน้อย เจ้าใจดำกับสามีของตนเองได้เพียงนี้เชียวหรือ”
กล่าวได้อ่อนโยนดุจสายน้ำ ทว่าแววตาดุจน้ำแข็ง เพียงพอจะทำให้คนหนาวจนตัวแข็ง
มั่วชิงเฉินมองคนผู้นี้ ชัดเจนว่ามิมีผู้ใดมาเทียบได้ นอกจากฝูเฟิงเจินจวินที่กลายเป็นจิตสัมผัสแล้ว บุรุษที่นางพบมาทั้งชีวิตผู้อื่นก็มิอาจะเทียบเทียมได้ อีกทั้งยังทำให้คนคลื่นไส้อย่างไม่มีเหตุผล
“เจ้ารู้ว่าเป็นข้ามานานแล้วหรือ” มั่วชิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาที่ดีขึ้นทุกวัน นางมั่นใจว่าสามารถอำพรางลมปราณของนางได้มากกว่าผู้อื่นในระดับเดียวกัน เช่นนั้นแล้วเขาทราบได้อย่างไรกัน
ฮวาเชียนซู่ยิ้มอย่างสบายๆ “ชิงเฉินน้อย หรือข้าลืมบอกเจ้าไปว่า เมื่อเจ้าปรากฏตัว เพลิงลี้ลับจันทราในกายข้าก็เต้นเร่าปรารถนาอยากลิ้มลอง หึๆ มิใช่ความผิดของข้านะ”
“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงเย็น
ฮวาเชียนซู่ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น สายตาจ้องมั่วชิงเฉินราวกับงูพิษ ทั้งกวนใจและเยียบเย็น “ชิงเฉินน้อย เป็นถึงภรรยาแต่กลับพูดกับสามีเช่นนี้ได้เยี่ยงไร หรือว่าหลายปีมานี้เจ้ามีความสุขกับชายชู้เสียจนลืมฐานะภรรยา”
พูดถึงตรงนี้รอยยิ้มมุมปากก็เหือดหายไป
มั่วชิงเฉินหัวเราะเยาะออกมา “ฮวาเชียนซู่ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นบุรุษก็ควรจะพูดเรื่องไร้สาระให้น้อยลงเสียหน่อย พวกเรามาสู้กันสักรอบให้รู้ดำรู้แดง มัวมาแสดงความรักปานจะกลืนกินเช่นนี้นับเป็นอะไร หรือว่าเป็นหลวงจีนสามปียังมิพอ”
ฮวาเชียนซู่ทำเสียงฮึดฮัด ขลุ่ยหยกปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ เขายกมันขึ้นไว้ที่มุมปากจากนั้นก็เป่าออกมา
เสียงของขลุ่ยกลายเป็นยันต์วิญญาณหนึ่งผืน เชื่อมต่อกันกลางอากาศกลายเป็นบทประพันธ์ดนตรีตามด้วยสั่นไหวไปมา ทันใดนั้นยันต์วิญญาณเหล่านั้นก็ระเบิดออก
กระแสพลังเหล่านั้นพุ่งเข้าจู่โจมมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก นิ้วมือบรรเลงลงบนสายธนู แสงธนูทั่วท้องฟ้าพุ่งเข้าหายันต์ดนตรีเหล่านั้น สุดท้ายก็กลายเป็นศรคมสายหนึ่ง นำพาศรอันแหลมคมพุ่งตรงไปยังฮวาเชียนซู่จนเกิดเสียงหวีด
ฮวาเชียนซู่กระโดดขึ้นไปกลางอากาศจากนั้นหมุนวนหนึ่งรอบ ปลายนิ้วดีดสิ่งของรูปทรงคล้ายดอกบ๊วยออกมา มันมุ่งตรงเข้าปะทะกับศรคม
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น เมื่อศรคมและดอกบ๊วยซ่อนอาวุธปะทะกัน ก็กลายเป็นแสงวิญญาณกระจายออกไปในอากาศ
เสียงขลุ่ยต่ำลงและรัวเร็วขึ้น อากาศพลุ่งพล่านรอบกายของทั้งสอง ลมและเมฆพลันเปลี่ยนสี ต้นไม้บนผืนดินถูกถอนรากถอนโคนขึ้นมา ดอกไม้ใบหญ้าลอยขึ้นบน ทั้งหมดพุ่งเข้าหามั่วชิงเฉิน
ไหมเกล็ดน้ำแข็งถูกส่งออกมา มันกลายเป็นกำแพงเกล็ดปลาป้องกันการโจมตี มั่วชิงเฉินเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย มือถือกริชฟันปลาข้างละเล่ม จากนั้นพุ่งตรงไปยังฮวาเชียนซู่
ฮวาเชียนซู่มองร่างที่กำลังพุ่งเข้ามา พลันริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มประหลาดออกมา