พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1641 แพะรับบาป
“จะถลึงตาโตขนาดนั้นทำไม อยากจะกินคนเหรอ? ต่อให้ข้าจะหน้าตาดี แต่เจ้าก็ไม่ต้องถลึงตาจ้องข้าอย่างนี้หรอกมั้ง? น่าตกใจนะ” อวิ๋นจือชิวพยายามทำให้กลายเป็นเรื่องขบขัน “ข้าพูดแล้วเจ้าจะร้อนใจน่ะสิ แค่ลองก็รู้แล้ว ยังจะมาปากแข็งอีก สงสัยในใจของเจ้า ฮูหยินอย่างข้าคงไม่สำคัญเท่าพี่น้องของเจ้าหรอกมั้ง!”
เหมียวอี้จ้องนางไม่ละสายตา “ข้าไม่ได้ร้อนใจ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเกี่ยวข้องกับเจ้ารอง?”
“อย่ามองลงต่ำ เจ้าอยู่เหนือหัวข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ตกหลุมพรางเจ้าหรอก นั่งลง นั่งลงคุยกัน” อวิ๋นจือชิวชี้ลงข้างล่าง “ข้าบอกว่าข้าแค่สงสัย เจ้าจะร้อนใจทำไม?”
“ข้าไม่ได้ร้อนใจ” พอเหมียวอี้หย่อนก้นนั่งลงแล้ว ก็ยังไม่ยอมทิ้งประเด็นสนทนานี้ “รีบบอกมา เรื่องเป็นยังไงกันแน่ แผนที่ที่มีมานานขนาดนั้น จะไปเกี่ยวข้องกับเจ้ารองได้ยังไง?”
อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาร้อนใจ ถ้าจะพูดหยอกต่อไปทั้งสองก็จะทะเลาะกัน นางจึงไม่พูดหยอกเขาแล้ว “ข้าเจอจุดเริ่มต้นของแผนที่แล้ว จุดหมายปลายทางยังคงเป็นอาณาเขตดาวนิรนาม ยังคงต้องทำตามขั้นตอนเพื่อหาจุดหมายปลายทางสุดท้าย ถึงจะยืนยันการคาดเดาของข้าได้”
เหมียวอี้ทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน “น้องชิว เจ้าล้อข้าเล่นรึเปล่า เจ้าอิงจากอะไรถึงเดาว่าเกี่ยวข้องกับเจ้ารอง?”
“จุดเริ่มต้นอยู่ใกล้กับทางเข้าแดนสุขาวดี อยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง!” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างเฉียบขาด
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ไม่เข้าใจ! เจ้าอิงจากอะไรถึงโยงเจ้ารองไปเกี่ยวข้องน่านฟ้าเถาะติง…” คำพูดเขาหยุดชะงัก แล้วตัวเองก็เริ่มขมวดคิ้วพึมพำเช่นกัน “น่านฟ้าเถาะติง น่านฟ้าเถาะติง!” เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วถามอย่างสงสัย “เจ้านึกเชื่อมโยงไปถึงข่าวของพระปีศาจหนานโปที่ปล่อยออกมา ปีศาจจิ้งจอกสามหางที่ปรากฏตัวที่น่านฟ้าเถาะติงเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ไม่ใช่แค่นี้นะ ถ้าแค่เพราะน่านฟ้าเถาะติง ข้าคงไม่นึกเชื่อมโยงถึงเรื่องนี้หรอก ตรงด้านบนของดาวเคราะห์ดวงที่ระบุไว้บนจุดหมายปลายทางของแผนที่ ตั้งใจระบุวัดแห่งหนึ่งเอาไว้ ในวัดยังมีเงาคนที่คลุมเครือด้วย…วัดอะไรกันที่ควรค่าแก่การทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ดาวโดยเฉพาะ? ทำเครื่องหมายวัดไว้เฉยๆ ก็ว่าแปลกแล้ว แต่ยังตั้งใจแสดงเงาคนที่คลุมเครือเอาไว้ในวัดเพื่ออะไรอีก? นอกเสียจากว่า เงาคนคนนี้จะสำคัญต่อแผนที่ดาวฉบับนี้มากเท่านั้น!”
“วัด? เงาคน?” เหมียวอี้แววตาเลื่อนลอย นึกถึงคำพูดของปีศาจจิ้งจอกสามหางที่เกาก้วนเล่าให้ฟัง ในวัดแห่งหนึ่งระบุเงาคนที่มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจนเอาไว้ เขาอดไม่ได้ที่จะทำสายตาตกตะลึง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วหลุดพูดออกมาว่า “พระปีศาจหนานโป!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าอีกครั้ง แต่ก็ส่ายหน้าอีก “แต่ข้าแค่นำสิ่งที่เจ้าสงสัยในตอนแรกมาเชื่อมโยงกัน ส่วนรายละเอียดจะถูกหรือไม่ถูก ข้าก็ยืนยันไม่ได้เหมือนกัน”
“สำนักหนานอู๋…ถูกทำลายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป…ซากสำนักหนานอู๋…กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋…ผู้ซ่อนสมบัติ…จุดซ่อนสมบัติ…พระปีศาจหนานโป!” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วก้าวไปอยู่ใต้ชายคาของศาลาเย็น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ หรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
อวิ๋นจือชิวเดินไปข้างหลังเขา เอาแขนคล้องเอวเพื่อให้ร่างกายแนบชิดกับเขา พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้ารอง แต่นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้า เจ้าอย่าร้อนใจสิ”
“มีความเป็นไปด้สูงมาก!” เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจราวกับกลัดกลุ้มไร้ที่สิ้นสุด “ถ้าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่คือสถานที่ผนึกของพระปีศาจหนานโปจริงๆ ข้าคิดว่าข้าน่าจะยืนยันตัวตนของผู้ซ่อนสมบัติได้แล้ว”
“อ้อ!” อวิ๋นจือชิวปล่อยเขา เดินอ้อมมาด้านข้าง มองใบหน้าด้านข้างที่มีเค้าความแข็งแกร่งชัดเจนของเขาพร้อมถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำอย่างไม่แน่ใจ “ดูจากเบาะแสที่ปรากฏบนจุดซ่อนสมบัติ ผู้ซ่อนสมบัติกับสำนักหนานอู๋น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ห้ามผู้หาสมบัติไม่ให้เอาทรัพย์สินที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้หรอก หลังจากสำนักหนานอู๋ถูกทำลายไปแล้วหลายปี พระปีศาจหนานโปถึงได้ถูกผนึกไว้ ถ้าแผนที่นี้ชี้ทางไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปจริงๆ จะต้องเป็นหลายปีหลังจากนั้นถึงจะปล่อยคนเข้ามาในจุดซ่อนสมบัติได้ พระปีศาจหนานโปถูกศิษย์ทั้งหกของตัวเองผนึกไว้แล้ว ซึ่งพวกเขาก็คือประมุขปราชญ์หกลัทธิ และตอนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนนอกรู้ว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่ตรงไหน ไม่อย่างนั้นด้วยพฤติกรรมหยิ่งยโสจนมองไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของพระปีศาจหนานโป ถ้าหลุดออกมาก็จะต้องกวาดล้างสำนักแน่นอน นี่คือเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ประมุขปราชญ์หกลัทธิใกล้ตายแล้วถึงได้คายความลับออกมา ตอนมีชีวิตอยู่ไม่มีทางที่จะบอกใคร ถึงขั้นว่าต่อให้ตายไปก็ไม่กล้าบอกด้วย! ว่ากันว่าพระปีศาจหนานโปมีพลังอิทธิฤทธิ์ล้ำลึก ไปถึงขั้นที่สามารถควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว คนอื่นอาจจะไม่กล้ายืนยัน แต่พวกเรากลับได้เห็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางฉบับครบสมบูรณ์แล้ว เห็นชัดเจนว่าระดับสูงสุดของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเป็นแบบนี้ และเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็ถูกสร้างโดยพระปีศาจหนานโป หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาเมื่อไร ต่อให้ประมุขปราชญ์หกลัทธิจะตายไปนานแล้ว แต่พระปีศาจหนานโปก็มีวิธีการจับพวกเขาที่เกิดใหม่ในชาติหน้ามาลงโทษได้อยู่ดี เจ้าว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิจะกลัวมั้ยล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวก็สูดหายใจอย่างตกตะลึงเช่นกัน แล้วพูดต่ออย่างลังเลว่า “ดังนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโ ถ้าให้คนนอกรู้ขึ้นมา ก็จะต้องบอกศัตรูของพระปีศาจหนานโปแน่นอน หรือไม่ก็หาทางตามหาคนที่สามารถทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปได้”
เหมียวอี้เม้มปากแน่น แล้วกล่าวอย่างยากลำบาก “ข้าเชื่อว่าถ้าไม่ถึงคราวตาย ประมุขปราชญ์หกลัทธิก็ไม่มีทางบอกสถานที่ผนึกออกมาง่ายๆ แน่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าเชื่อใจใครหรือไม่เชื่อใจใคร แต่คนสุดท้ายที่กดดันให้ประมุขปราชญ์หกลัทธิตายก็สอดคล้องกับเงื่อนไขสองข้อที่เจ้าบอก อย่างน้อยก็สอดคล้องแล้วหนึ่งเงื่อนไข เพราะอาจารย์ของเขาตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป นับว่าเป็นศัตรูของพระปีศาจหนานโปจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ก่อนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิจะตาย คนสุดท้ายที่ได้เจอก็น่าจะเป็นเขาแล้ว และเป็นไปได้มากที่สุดว่าก่อนตายจากฝังความลับนี้ไว้”
อวิ๋นจือชิวพลันเบิกตากว้าง แล้วเงยหน้ามองเหมียวอี้อย่างตะลึงงัน “ประมุขไป๋!”
“ประมุขไป๋” เหมียวอี้พยักหน้าถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองพลางฟ้าพึมพำว่า “เหล่าไป๋ ประมุขไป๋…เหล่าไป๋ ใช่ท่านรึเปล่า? ถ้าเป็นท่านจริงๆ ทำไมต้องทำเรื่องราวให้ซับซ้อนขนาดนี้?”
“เหล่าไป๋?” อวิ๋นจือชิวได้ยินเขาพึมพำ จึงลองถามว่า “เจ้าสงสัยว่าพวกเขาสองคนคือคนคนเดียวกันเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ไม่รู้สิ”
“เหล่าไป๋นั่นหน้าตาดีอย่างที่เจ้าบอกจริงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจอีก
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนกระทั่งตอนนี้ ข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครดูดีกว่าเขาเลย บุคลิกสง่างามเฉียบแหลม ท่วงท่าที่สง่าและรักอิสระของเขานั้นไม่มีใครเทียบติด มีสง่าราศีไร้ที่เปรียบ ขนาดข้ายังไม่มีทางบรรยายออกมาได้เลย ต่อให้ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าปลอมตัวเป็นเขา แต่เกรงว่าคงแปลงร่างให้มีสง่าราศีเหมือนเขาไม่ได้อยู่ดี ไม่มีทางลอกเลียนแบบได้ ส่วนหน้าตาก็หล่อผิดธรรมชาติจริงๆ ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นที่สุดแห่งยุค ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไปเลยสักนิด เป็นที่สุดแห่งยุคจริงๆ! ข้ายังจินตนาการไม่ออกเลย ว่าคนที่ดูเหมือนไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใครแบบนั้น ทำไมถึงเป็นประมุขไป๋ที่ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะหวาดกลัวได้ จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่มีลักษณะแบบนั้นจะไปแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ได้!”
เขาบรรยายจนอวิ๋นจือชิวรู้สึกอยากรู้ อยากจะเห็นมากว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ นึกไม่ถึงถึงขั้นทำให้เหมียวอี้ชื่นชมหน้าตาได้ มีผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนั้นด้วยเหรอ? แต่ก็ถามอย่างลังเลอีกว่า “ถ้าเหล่าไป๋นั่นคือประมุขไป๋จริงๆ แล้วประมุขไป๋ที่โดนขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจล่ะ? ประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงไม่ถึงขั้นไม่รู้หรอกมั้งว่าประมุขไป๋หนีไปแล้ว? มิหนำซ้ำ อาศัยความสามารถอย่างเขา ก็ไม่น่าจะยืมมือเจ้าสิ เขาออกมารับมือกับทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรอกเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าก็เลยคิดไม่ตกไง คิดไม่ตกจริงๆ! แต่อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็แน่ใจได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติคือประมุขไป๋!”
“จุดที่น่าสงสัยเยอะเกินไ บางทีอาจจะมีความลับอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งจับบ่าเขา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หนิวเอ้อร์ ถ้าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่คือที่อยู่ของเจ้ารองจริงๆ เจ้าเตรียมจะทำยังไง?”
เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ข้าก็ย่อมต้องไปหาเขาอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะปล่อยให้เขาโดนขังอยู่ที่นั่นโดยไม่สนใจ”
“นี่ก็คือสิ่งที่ข้าลังเลก่อนหน้านี้” อวิ๋นจือชิวจับไหล่เขาหันมาอย่างโมโหนิดหน่อย นางมองหน้าเขาพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าใช้อารมณ์ทำงาน เจ้าก็น่าจะรู้ถึงสถานการณ์ที่น่านฟ้าเถาะติง ตำหนักสวรรค์ก็กลัวพระปีศาจหนานโปมากเหมือนกัน ตั้งแต่ได้รับข่าวจากปีศาจจิ้งจอกสามหาง ก็ส่งกำลังพลจำนวนมากไปสำรวจบริเวณนั้นแล้ว มันใช่เรื่องเหรอที่เจ้าจะไปโผล่อยู่ที่นั่น?”
“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาละเลยเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ตำหนักสวรรค์ก็ยังไม่ยอมเลิกเลย ค้นหาสถานที่นั่นไม่ยอมหยุด ถ้าเขาโผล่หน้าไปคงจะถูกพบได้ง่ายๆ คิดไปคิดมาก็เลยทำได้เพียงพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว รอให้คิดาวิธีได้ครอบคลุมก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาอีกที ได้แต่บ่นอย่างแค้นใจว่า “เจ้ารองมันรนหาที่ตาย ให้เขาได้รับบทเรียนลำบากยาวๆ หน่อยก็ดีเหมือนกัน!”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วพูดเหยียดว่า “ปากไม่ตรงกับใจ! ถ้ามีวิธีการ เกรงว่าข้าคงจะห้ามเจ้าไม่ไหวหรอก แสร้งทำเป็นจัดการกับญาติพี่น้องที่กระทำผิดกฎอะไรกัน เจ้าน่ะเป็นคนไม่สังวรณ์ในคำพูดและการกระทำของตนเอง!”
เหมียวอี้ปากกระตุก ขณะกำลังจะเถียงกลับ ใครจะคิดว่าตรงประตูลานบ้านด้านในจะมีคนมารายงาน “คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่มาแล้ว”
“เชิญ…” เหมียวอี้เพิ่งจะพูดคำว่า ‘เชิญเข้ามา’ แต่ฝ่ามือหอมข้างหนึ่งก็มาอุดปากเขาไว้แล้ว นอกจากอวิ๋นจือชิวแล้วจะเป็นฝีมือใครไปได้
“เจ้าทำอะไรน่ะ?” เหมียวอี้ดึงมือนางออก แล้วามอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวชี้ไปยังมวยผมเอียงบนศีรษะของเขา “เจ้าจะออกไปเจอคนในสภาพนี้เหรอ? ยังไม่รีบไปจัดทรงแล้วค่อยออกไปอีก” นางหันกลับมาสั่งว่า “เชียนเอ๋อร์ รีบไปช่วยจัดทรงผมให้นายท่านสักหน่อย”
เหมียวอี้ยกมือลูบบนยอดศีรษะโดยจิตใต้สำนึก เขาสีหน้าดำมืดลงแล้ว ชี้อวิ๋นจือชิวซ้ำๆ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าคอยดูเถอะ จากนั้นสะบัดชายเสื้อรีบวิ่งออกไป กลัวว่าคนนอกเห็นแล้วจะเสียหน้า
อวิ๋นจือชิวแอบหัวเราะ จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กลับมาทำท่าทางจริงจังเหมือนเดิม นางกำลังครุ่นคิด ว่าโค่วเจิงพาฮูหยินมาที่นี่ด้วยธุระอะไร นางตะโกนบอกเสียงดังว่า “เชิญเข้ามา!” แล้วตัวเองก็นำเสวี่ยเอ๋อร์ออกไปต้อนรับ
ผ่านไปครู่เดียว นางก็พาโค่วเจิงและสุยฉูฉู่ฮูหยินของเขาเข้ามาข้างในด้วยตัวเอง
ความงามของสุยฉูฉู่นั่นย่อมไม่ต้องพูดถึง ลูกชายคนโตของอ๋องสวรรค์โค่วมีหรือที่จะเสียเปรียบ จะต้องเป็นยอดหญิงงามที่พาออกหน้าออกตาทางสังคมได้อยู่แล้ว นางหัวเราะพูดคุยกับอวิ๋นจือชิวมาตลอดทาง
ทั้งสามเดินเข้ามาในโถงหลักแล้วนั่งลง โค่วเจิงมองซ้ายมองขวา แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “เจ้าเจ็ด น้องเขยล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวที่กำลังคุยเล่นกับสุยฉูฉู่เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที แล้วพ่นเสียงทางจมูก “พี่ใหญ่ ท่านยังไม่รู้อีกเหรอว่าผู้ชายอย่างพวกท่านเป็นยังไง? ท่านกับพี่สะใภ้ใหญ่มาได้จังหวะพออดี เขาพึงดึงหญิงรับใช้เข้าห้องหาไปหาความสำราญ ห้ามก็ห้ามไม่อยู่” นางหันกลับมาโบกมือให้เสวี่ยเอ๋อร์ “ไปดูหน่อยว่าพวกเขาเสร็จหรือยัง ให้นายท่านรีบโผล่หัวออกมา มีแขกมาแล้ว อย่ามัวแต่หาความสำราญไม่รู้จักจบจักสิ้น”
เสวี่ยเอ๋อร์รีบก้มหน้าแล้วเดินออกไป แต่ในใจกลับตกตะลึง พบว่าฮูหยินช่างหาข้ออ้างได้ดีจริงๆ ให้นายท่านเป็นแพะรับบาป ถ้าให้นายท่านรู้แล้ว ก็คงจะโมโหจนกระอักเลือดแน่
สุยฉูฉู่เม้มปากหัวเราะ พบว่าเจ้าเจ็ดช่างมีปากที่ไม่ปรานีใคร ขนาดผู้ชายของตัวเองก็ยังโดนไปด้วยแล้ว ที่จวนตระกูลโค่วแห่งนี้ นอกจากเจ้าเจ็ดแล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดอย่างนี้กับผู้ชายของตัวเองเลย แต่ก็ว่าได้ดี ในด้านนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีสักคน
โค่วเจิงกระตุกมุมากเล็กน้อย แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาปิดบังสีหน้าอับอาย ในใจก็กำลังด่าเหมียวอี้เช่นกัน เป็นคนประเภทไหนกัน แค่สุ่มมาที่นี่สักครั้งก็เจอกับเรื่องแบบนี้เข้าแล้ว ซวยจริงๆ!
…………………………