พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2206 เจดีย์สยบปีศาจ
และรอยแยกมิติรอบกายจินหลัวก็ขยายตัวขึ้นในเวลานี้ กลายเป็นเงามายาของพระพุทธรูปปางนั่งสมาธิขนาดใหญ่ แต่เห็นจินหลัวที่กำลังประนมมือประสานนิ้วนางกับนิ้วก้อย แล้วใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้กระทุ้งออกมา เงามายาพระพุทธรูปก็ปล่อยเงานิ้วขนาดใหญ่ออกมาเช่นกัน ราวกับเป็นภูเขาลูกเล็กลอยออกมาในแนวขวาง โดนลี่หัวที่พุ่งลงมาพอดี
อั้ก! ลี่หัวกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ถูกโจมตีอย่างรุนแรง สะเทือนจนกระเด็นออกไป
เวินหวนเจินกำลังพุ่งลงจากฟ้า พอสะบัดแขนเสื้อ แสงเย็นของอัสนีบาตสายหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงลงมา ฟันไปทางเงาพระพุทธรูปใหญ่
ลมแรงกระพือทั่วท้องฟ้า เงาพระพุทธรูปใหญ่ที่กำลังประนมมือตบมือหนึ่งครั้ง คีบกระบี่บินที่ฟันเข้ามาไว้ตรงกลางฝ่ามือ ฝ่ามือที่คีบไว้รีบหมุนเป็นนิ้วคีบ คีบกระบี่บินดีดออกไป กระบี่พุ่งยิงกลับมาราวกับลำแสง สังหารไปทางเวินหวนเจิน
เวินหวนเจินถลันตัวเอียงข้างหลบการโจมตี
ตอนนี้บนฟ้ามีลำแสงพุ่งลงมาอย่างหนาแน่น ศิษย์ปราสาทดำเนินนภาทยอยกันฝ่าออกจากกระบี่บินราวกับฝน ถล่มสังหารไปยังป่าเจดีย์บนพื้น
พอแสงกระบี่สายหนึ่งแวบผ่าน เจดีย์หลังหนึ่งก็ถล่มปลิวไป ฝนกระบี่โปรยปราย ลำแสงไหลเวียนราวกับสายฟ้า ขวักไขว่อยู่ในป่าเจดีย์อย่างรวดเร็ว ตึกเจดีย์ถล่มปลิวอย่างง่ายดายเหมือนไม้ผุหลังแล้วหลังเล่า
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางและลี่หัวตั้งหลักได้แล้วหลังจากกระเด็นออกมา ทั้งหมดพุ่งไปทางป่าเจดีย์ที่อยู่รอบๆ โหมใช้พลังอิทธิฤทธิ์สาดออกมา เหมือนก่อกวนให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยก จุดประสงค์ก็คือทำลายป่าเจดีย์
ลูกศิษย์จำนวนหกแสนในป่าเจดีย์ที่กำลังนั่งสมาธิกลับทำเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ร่างกายประสบภัยอันตราย ต่อให้ถูกแสงกระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อน ต่อให้ถูกพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดฉีกจนร่างแยก ต่อให้แผ่นดินยุบตัวกดไว้ แต่ละคนก็ยังไม่สะทกสะท้าน ทุกคนมองเป็นความว่างเปล่าเหมือนภาพมายา ไม่สะทกสะท้านก็ต่อทุกสิ่ง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ปากก็ยังสวดมนต์เหมือนเดิม
จินหลัวที่อยู่กลางเงาพระพุทธรูปใหญ่เกิดโมโหโทโส โบกเงาฝ่ามือกวาดไปทางศิษย์ปราสาทดำเนินนภาที่เหาะอยู่บนท้องฟ้า หลายสิบคนหลบไม่ทัน ถูกกวาดกระเด็นท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
น้ำ ไฟ ทอง ไม้ ดิน ประมุขปราสาทดำเนินทั้งห้าธาตุเหาะลงจากฟ้า ยืนอยู่ตรงห้าตำแหน่ง ผนึกกำลังกันร่ายอิทธิฤทธิ์ล้อมโจมตี ทำให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปมาก ลมพัดเมฆม้วน ทั้งห้าคนตั้งกระบวนทัพตรึงการโจมตีทั้งหมดของจินหลัวเอาไว้
ตามที่ศิษย์ปราสาทดำเนินอัคนีโจมตีออกมา ลูกไฟร่วงลงจากฟ้าราวกับฝน ถล่มลงกลางป่าเจดีย์ที่กำลังพลิกม้วน บนแผ่นดินมีแสงไฟยิงมาจากทั่วทุกทิศ ลูกศิษย์ในป่าเจดีย์ที่มองทุกอย่างเป็นความว่างเปล่ากำลังเผยสีหน้าเจ็บปวดทุกข์ทรมานอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง แต่กลับไม่บ่นและไม่เสียใจใดๆ
และในตอนนี้เอง ในรูนับไม่ถ้วนบนยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำก็มีแสงสีทองพ่นออกมาบางๆ ทำให้ทั้งภูเขาเกิดแสงสว่างเรืองรอง
ปีศาจเฒ่าทั้งสามรวมทั้งทุกคนของสิบปราสาทดำเนินสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
หันขวับกลับมาเห็นจินหลัวเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หันกลับมาอีกทีก็ไม่สนใจความเคลื่อนไหวข้างล่างแล้ว
ค่ายกลใหญ่ของเจดีย์สยบปีศาจเปิดใช้งาน มาถึงจุดหมายแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะได้เปิดฉากสังหารใหญ่กับกลุ่มคนที่บุกเขาหลิงซานแล้ว
กำลังพลที่นำโดยหลานมู่ก็ไร้ความหวาดกลัวเช่นกัน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ป่าเจดีย์ข้างล่างเสียหายอีก สังหารลงไปที่พื้นเลย
ระหว่างฟ้าดินเกิดการรบราฆ่าฟัน ไม่มีใครที่เขาหลิงซานได้รับความสงบสุขร่มเย็น ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจากการสังหาร ทุกหย่อมหญ้านำชีวิตมาต่อสู้กัน
ป่าเจดีย์นับแสนหลังไม่มีอีกแล้ว ทั้งหมดถูกทำลายในครั้งเดียว ไอสีดำที่ลอยเป็นเส้นๆ หายไปแล้ว แทนที่ด้วยควันโขมงภายใต้เปลวเพลิงเดือดที่แผดเผา
ในยอดเขาสีดำที่ตั้งตระหง่านท่วมท้นไปด้วยแสงสีทอง แต่กลับเงียบสงัดสงบสุข นั่นคือดาราจักรที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง
ในดาราจักรที่เงียบวิเวก ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์คลุมด้วยผ้าสีเขียวอมฟ้า ในอ้อมอกกำลังอุ้มสตรีเท้าเปล่าคนหนึ่งลอยเงียบๆ อยู่ในดาราจักร
สตรีผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินทั้งตัว ชุดกระโปรงปลิวสะบัดเบาๆ อยู่ในดาราจักร ท่ามกลางผมดำขลับที่ปลิวเบาๆ บนแขนเปลือยสองข้างที่ห้อยตก บนเท้าเปล่าสองข้าง ทั้งร่างกายมีไอสีดำลอยวนเวียนอยู่กลุ่มหนึ่ง พรั่งพรูออกมาจากร่างกายไม่หยุด
ชายคนนี้อยู่ในท่าเดิมมาตลอด กอดนางไว้ในอ้อมอก ใบหน้าที่อ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงแนบชิดกับแก้มของหญิงสาว ศีรษะแนบชิดอยู่ด้วยกัน อยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวที่ตกอยู่ท่ามกลางไอสีดำ บนตัวมีเปลวเพลิงไหลเวียนไม่หยุด
ตรงด้านล่างของทั้งสองคน มีค่ายกลเล็กที่ทำจากยอดผลึกห้าธาตุกำลังหมุนวนทำงานอยู่หนาแน่น ในนั้นเกิดพลังจิตวิญญาณสีขาวสายหนึ่งกรอกขึ้นมาในร่างกายของทั้งสองที่ลอยอยู่ด้านบนอย่างไม่ขาดสาย ทุกครั้งที่พลังจิตวิญญาณสีขาวมีระดับความเข้มข้นน้อยลง ชายคนนี้ก็จะทำมือให้ว่างข้างหนึ่ง แล้วใช้ฝ่ามือปัดโบกเบาๆ เป็นท่วงท่าที่สง่างาม ราวกับกำลังแหวกว่ายอย่างอ่อนโยนอยู่ในคลื่นน้ำ ปรับค่ายกลข้างล่างใหม่อีกครั้ง ทำให้พลังจิตวิญญาณสีขาวที่กรอกเข้ามาไม่หยุดกลับมาเข้มข้นเหมือนเดิม
ดาราจักรฝั่งนี้เงียบสงัดไร้ที่สิ้นสุด ดวงดาวเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลดูเหมือนอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า แต่กลับไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย ต่อให้เจ้าจะเหาะอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใกล้ได้แม้แต่น้อย
ตอนที่ไอสีดำบนตัวหญิงสาวเริ่มอ่อนจางไปทีละนิด จนกระทั่งหายไปหมดแล้ว เรือนร่างที่งดงามนุ่มนวลราวกับหยกน้ำแข็งถึงได้ปรากฏขึ้น ราวกับถูกโอบอุ้มให้นอนหลับสนิทอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ต่อให้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเช่นนี้ แต่ก็ถูกทะนุถนอมอย่างดีมาก ใบหน้านั้นงดงามอ่อนโยนจนไม่มีทางบรรยายได้ งดงามจนทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นภาพฝันมายา ในอากัปกิริยาที่สงบเยือกเย็นให้ความรู้สึกว่ากำลังดิ้นรนอยู่ในฝันร้าย นางขมวดคิ้วมุ่นเป็นระยะ เปลือกตาและริมฝีปากเป็นสีเขียวคล้ำ
นิ้วมือเรียวสวยขยับเล็กน้อย ชายที่ศีรษะแนบชิดกับนางเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวมองนางเงียบๆ ในแววตาที่สื่อความรู้สึกเอาใจใส่นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หญิงสาวลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตางามสดใสมีไอสีดำลอยกระเพื่อมรางๆ พอลืมตามาเห็นชายที่อยู่ตรงหน้า คิ้วของหญิงสาวที่ขมวดเล็กน้อยก็คลายออกแล้ว นางเผยรอยยิ้มอ่อนๆ กล่าวอย่างอ่อนเพลียว่า “ชางไห่ ข้านึกว่าจะไม่ได้เห็นเจ้าแล้ว”
ทั้งสองก็คือประมุขไป๋กับประมุขปีศาจที่ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ
ประมุขไป๋ยกมือข้างหนึ่งลูกบแก้มนางเบาๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ข้าอยู่ข้างกายเจ้ามาตลอด”
สายตาของประมุขปีศาจหยุดอยู่ที่จอนผมสองข้างของเขา ยื่นมือไปลูบปอยผมสีขาวดุจหิมะของเขาช่อหนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย “ชางไห่ ทำไมผมเจ้าขาวแล้วล่ะ?”
ประมุขไป๋จ้องนาง พร้อมตอบเสียงเบาว่า “ปรารถนาหัวใจใครสักคน ไม่แยกจากกันแม้ผมหงอกขาว!”
ประมุขปีศาจยิ้มอย่างอ่อนโยน ใช้นิ้วทั้งห้าลูบบนแก้มของเขาอย่างไรเรี่ยวแรง “ข้าทำให้เจ้าลำบากโดนขังไปด้วยนานมากแล้วใช่มั้ย?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่นานหรอก แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น” ประมุขไป๋ปลอบโยน
“แต่ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก…” ประมุขปีศาจเราด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย เปลือกตาเขียวคล้ำเริ่มจะลืมไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ประมุขไป๋ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งแนบกับแก้มของนาง “เหนื่อยแล้วก็นอนพักก่อน อีกไม่นานข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่แล้ว”
ประมุขปีศาจส่ายหน้า “อย่าเสี่ยงอันตราย!” นางใช้แขนคล้องคอเขา เหมือนไม่อยากให้เขาทำอะไรซี้ซั้ว พยายามลืมตาอย่างไร้เรี่ยวแรง สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ ศีรษะซบลงที่บ่าเขา ตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง
“ไม่เสี่ยงอันตรายหรอก…” ประมุขไป๋กระซิบข้างหูนาง แต่กลับกวาดมองดวงดาวที่แกว่งไกวรอบๆ ด้วยแววตาคมกริบราวกับมีด สองแขนปรับท่าทางให้นางนอนหมอบบนไหล่ของตัวเอง ใช้มือข้างหนึ่งโอบไว้ แล้วปล่อยมืออีกข้างออก
ในขณะนี้เอง ดาวดวงหนึ่งกลายเป็นดาวตกยิงพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
ประมุขไป๋ใช้ฝ่ามือลูบแผ่นหลังคนในอ้อมอกเบาๆ คลื่นเพลิงล่องหนครอบคนที่อยู่ในอ้อมกอด กันทุกสิ่งไว้ไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของนาง
มืออ่อนโยนที่ออกจากแผ่นหลังของนางแล้วพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแรงมีพลัง ใช้ดรรชนีกระบี่ยิงแสงกระบี่ออกมาสายหนึ่ง กระบี่บินโปร่งแสงเล่มหนึ่งยิงออกมาจากมือ
เสียงระเบิดดังตูมตาม ดาวตกที่พุ่งเข้ามาพังทลายในชั่วพริบตาเดียว
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประมุขไป๋รีบเอียงหน้ามองคนที่นอนหลับลึกอยู่ในอ้อมกอด แล้วสะบัดแขนเสื้อข้างเดียวต่อเนื่องกันหลายครั้ง แสงกระบี่ยิงออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า
ดวงดาวที่อยู่โดยรอบสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง ยิงเข้ามาราวกับฝนตก เมื่อปะทะกับแสงกระบี่ที่ทยอยยิงเข้ามาก็พังทลายไปพร้อมกัน เสียงสะเทือนดังก้องอยู่ในอวกาศ
ดวงดาวนับไม่ถ้วนเหมือนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้วขยับทันที ถล่มยิงเข้ามาราวกับพายุฝน ยิงต่อเนื่องไม่ขาดสาย
แสงกระบี่นับไม่ถ้วนหมุนวนอย่างหนาแน่นราวกับพายุหมุน ประมุขไป๋ที่ใช้แขนข้างหนึ่งอุ้มคนไว้กำลังอยู่ท่ามกลางพายุหมุนแสงกระบี่ โบกแขนเสื้อควบคุมกระบี่ยิงไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ ผ้าคลุมสีเขียวอมฟ้าปลิวสะบัดอยู่ข้างหลัง เจียดเวลามองคนที่กำลังหลับลึกอยู่ในอ้อมกอดเป็นระยะ
ดาวตกที่โจมตีเข้ามารอบๆ มีเยอะเกินไปจริงๆ ทั้งยังต่อเนื่องไม่หยุดด้วย พายุหมุนกระบี่ที่ขยายตัวออกกำลังถูกบีบให้หดเล็กลงทีละนิด
ผ้าคลุมสีเขียวอมฟ้าปลิวสะบัด จอนผมสีขาวสองข้างปลิวม้วนตามลม ประมุขไป๋ที่ใช้แขนข้างเดียวอุ้มคนหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาเขย่า แสงกระบี่รอบๆ ถล่มโจมตีอย่างดุเดือด เรียกได้ว่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน…
ที่โลกภายนอก ตัวภูเขาของยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำปรากฏรอยแยก เปลือกเริ่มถล่มลงมาเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เจดีย์วิเศษหลังมหึมาที่อยู่ข้างในปรากฏ ตัวเจดีย์เป็นสีดำขลับ เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ
เจดีย์วิเศษไม่ใช่แค่ใหญ่เหมือนภูเขา แต่ยังแข็งแรงทนทานจนเหลือเชื่อ อู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางและพรรคพวกล้อมโจมตีอย่างไรก็โจมตีไม่แตก รวมกลุ่มใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงต่อเนื่องก็ยังยากที่จะทำลายได้
บนท้องฟ้าสูง อูเมิ่งหลันน้ำตาไหลโดยไร้เสียงขณะอุ้มร่างไร้วิญญาณของจ้าวเฟย บนตัวจ้าวเฟยโดนลูกธนูดาวตกยิงทะลุจนเป็นรูเลือดหลายสิบแผล เบิกตาโพลงไม่กระดิกกระเดี้ยแล้ว ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลี เหวินฟางและหลัวผิงกำลังต้านกองทัพพระที่อยู่โดยรอบอย่างสุดชีวิต
ทำกลางศึกที่ชุลมุนวุ่นวายนี้ พวกเขาร่วมรุกร่วมถอย พึ่งพากันและกัน
กองทัพพระที่เฝ้าอยู่ที่เขาหลิงซานได้ ทั้งหมดล้วนเป็นกำลังพลที่เก่งกาจข้างกายประมุขพุทธะ พลังรบแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ที่บุกโจมตีลำบากมาก
ในดาราจักร หลงซิ่นนำทัพใหญ่สองร้อยล้านตามมาโจมตีพร้อมตะโกนเสียงดัง พุ่งเข้ามาราวกับกระแสน้ำโจมตีกองทัพพระที่ต่อต้านอย่างดื้อรั้นจนกระจัดกระจาย
หลังจากกระแสน้ำนี้ผ่านไปแล้ว หลงซิ่นก็นำทัพโจมตีไปที่เขาหลิงซานโดยตรง
ท่ามกลางผู้รอดชีวิตที่หยุดรออยู่ในดาราจักร อวิ๋นรั่วซวงเลือดท่วมทั้งร่างกาย มองตามทัพใหญ่ของหลงซิ่นสังหารเข้าไปในเขาหลิงซานด้วยแววตาเหม่อลอย ในอ้อมกอดกำลังอุ้มฉู่หยวน สามีที่หัวไหล่หลุดไปแล้วข้างหนึ่ง บนตัวฉู่หยวนยังมีลูกธนูดาวตกเสียบคาลายดอก คนที่ยิงธนูยังไม่ทันเก็บลูกธนูกลับไป ก็โดนทัพใหญ่ของหลงซิ่นยิงตายแล้ว
อวิ๋นรั่วซวงที่แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง ข้างหลังนางก็มีลูกธนูเสียบอยู่ดอกหนึ่งเช่นกัน พอออกจากแดนอเวจีมาก็เจอกับศึกใหญ่ที่โหดร้ายเช่นนี้แล้ว นางถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศึกนี้สู้ไปเพื่ออะไร รู้เพียงว่าพอเบื้องบนมีคำสั่งกะทันหัน ก็ทำให้นางกลายเป็นแม่หม้ายที่ไร้สามีไปแล้ว
ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงลูกสาวของนางกำลังหมอบอยู่บนศพของบิดา ร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจ ในช่วงเวลาสำคัญ เป็นบิดาที่มาขวางนางกับท่านแม่เอาไว้จากฝนลูกธนู ไม่อย่างนั้นคนที่ตายก็คงเป็นนาง
ในท้องฟ้า เหยียนซิวกับจินม่านที่รับหน้าที่บัญชาการอยู่ตรงกลางร่วมมือกันสังหารเข้ามา เมื่อเห็นว่ายอดฝีมือหลายคนข้างล่างร่วมมือกันแต่ยังสู้กับจินหลัวไม่ไหว จินม่านก็พลิกมือหยิบธนูใหญ่คันหนึ่งขึ้นมา นี่คือธนูเทพสังหาร ขณะกำลังจะลงมือกับจินหลัว จู่ๆ นางก็สีหน้าเปลี่ยนไป แล้วหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา
หลังจากติดต่อกัน เก็บระฆังดาราแล้ว ก็ตะคอกบอกพวกเหยียนซิวว่า “คุ้มครองข้า!”
พวกเหยียนซิวถลันตัวไปอยู่รอบกายทันที ตัดสิ่งรบกวนให้นาง สกัดข้าศึกที่โจมตีเข้ามา
กระโปรงยาวสีทองปลิวสะบัด คันธนูโบราณยาวประมาณหนึ่งจั้งเปล่งลำแสงหลากสีสันไหลเวียน ใช้ฝ่ามือข้างเดียวร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักออกไปหนึ่งที ธนูคันใหญ่ตั้งนิ่งอยู่กลางอากาศ จินม่านควงแขนสะบัด ลูกธนูใหญ่สีดำขลับดอกหนึ่งก็ง้างไว้บนสายแล้ว หัวลูกธนูเล็งไปทางเจดีย์สยบปีศาจ จินม่านง้างสายและถอยหลังอย่างรวดเร็ว ง้างจนสายธนูกลายเป็นวงกลมเหมือนพระจันทร์เต็มดวง
ชั่วพริบตานั้น กลิ่นอายอันทรงพลังกระเพื่อมออกไป ธนูใหญ่พลันขยายตัวเป็นเงามายาที่ใหญ่ขึ้นรอยเท่าพันเท่า
จินหลัวที่อยู่ในเงาพระพุทธรูปใหญ่พลันหันไปมอง ทั้งตกใจทั้งโมโห อยากจะไปขัดขวาง แต่กลับถูกค่ายกลใหญ่ห้าธาตุของห้าประมุขปราสาทล้อมถ่วงไว้กลางอากาศ เงาพระพุทธรูปใหญ่ถูกดึงหมุนแล้ว
บึ้ม! เสียงดังสะเทือนราวกับฟ้าถล่มดินทลาย แสงเย็นสายหนึ่งที่เป็นเงาสีดำครึ้มพลันยิงออกไปจากสายธนูแล้ว
…