พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2238 แม่เฒ่าลวี่มีที่มาอย่างไร?
ไม่น่าชื่อว่าจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตนในวังสวรรค์ที่มีกำลังทหารเฝ้าป้องกันมากมายได้ เหมียวอี้ระมัดระวังตัวอย่างสูงแล้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลัวคุกเข่าลงกะทันหัน ทั้งยังร้องขอให้ไว้ชีวิตด้วย เขาไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”
คนที่อยู่ในชุดคลุมมีหมวกสีดำตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เจือความหวาดกลัว “ผู้น้อยคือวิญญาณอาวุธ ถือกำเนิดจากวังสวรรค์ที่สร้างโดยการรวบรวมพลังปรารถนาของสรรพสิ่ง”
“…” เหมียวอี้ตะลึงค้าง พอนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาเมื่อครู่นี้ ก็เชื่อไปแล้วเก้าส่วน ถามด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “จะพิสูจน์ได้ยังไง?”
คนในชุดคลุมมีหมวกสีดำกางแขนสองข้างเบาๆ เหมียวอี้มองไปรอบๆ ทันที เห็นเพียงบนพื้นมีดอกไม้บาน พื้นสีขาวบริสุทธิ์มีดอกบัวโผล่ขึ้นมาดอกแล้วดอกเล่า ชั่วพริบตาเดียวตึกสูงก็มีดอกบัวนับร้อยเบ่งบานอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับแกะสลักจากหินหยก ทั้งหมดล้วนก่อตัวจากร่างจริงของพลังปรารถนาสรรพสิ่ง เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
เหมียวแอบตกใจ เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว สามารถควบคุมร่างจริงของพลังปรารถนาได้แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พลังอิทธิฤทธิ์สามารถทำได้
หลังจากเกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ คนชุดดำก็วางสองมือลงอีก “ขอเพียงฝ่าบาทเต็มใจ ผู้น้อยสามารถทำให้วังสวรรค์เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปได้นับพันหมื่น ให้กลายเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปแบบใดๆ ก็ได้ที่ฝ่าบาทต้องการ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องสร้างวังสวรรค์ใหม่”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมประมุขชิงไม่พาเจ้าไปด้วย?” เหมียวอี้ไม่แน่ใจ
คนชุดดำตอบว่า “วังสวรรค์คือร่างเดิมของผู้น้อย ถ้าผู้น้อยออกจากวังสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ประมุขชิงให้ผู้น้อยรออยู่ที่นี่ บอกว่าให้รอข่าวจากเขา แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว”
“เจ้ามีความสามารถนี้ สามารถซ่อนตัวโดยไม่ออกมาได้เลย ทำไมออกมาร้องขอชีวิต?” เหมียวอี้ถาม
“ฝ่าบาทบอกว่าจะรื้อวังสวรรค์ ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตผู้น้อย ทำได้เพียงรวบรวมความกล้ามาวิงวอนฝ่าบาท ขอร้องให้ฝ่าบาทเมตตา!” คนชุดดำตอบ
“แล้วทำไมข้าต้องช่วยเจ้า?” เหมียวอี้ถาม
คนชุดดำหวาดกลัวจนตัวสั่น โขกศีรษะกับพื้น “ฝ่าบาท ผู้น้อยเป็นวิญญาณอาวุธของวังสวรรค์ ความเคลื่อนไหวใดๆ ในวังสวรรค์มิอาจปิดบังหูตาข้าน้อยได้ หากฝ่าบาทเก็บผู้น้อยไว้รับใช้ ผู้น้อยสามารถจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวในวังสวรรค์ให้ฝ่าบาทได้”
พอเหมียวอี้ได้ยินอย่างนี้ ก็เข้าใจแล้วว่าการที่ประมุขชิงให้เขารอฟังข่าวอยู่ที่นี่หมายความว่าอะไร ถ้าประมุขชิงรบแพ้แล้วหนีไปได้ วิญญาณอาวุธนี้ก็คือสายลับที่ดีที่สุดของประมุขชิง ถ้าตัวเองเข้ามาอยู่ในวังสวรรค์เมื่อไร ทุกการเคลื่อนไหวของตัวเองในวังสวรรค์ก็ไม่มีทางปิดบังประมุขชิงได้เลย เป็นข่าวกรองที่ดีที่สุดในการพลิกกระดานของประมุขชิง
คนชุดดำพูดต่อว่า “ผู้น้อยยังมีพรสวรรค์อีกอย่าง ผู้น้อยสามารถนำเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมในร่างกายนักพรตออกมาได้”
ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้เข้าใจแล้วว่าคนชุดดำที่อู่หนิงพูดถึงหมายถึงใคร หรี่ตาถามว่า “เจ้าเคยขับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาออกจากร่างกายใครมาก่อนหรือเปล่า?”
คนชุดดำตอบเหมือนซื่อสัตย์จริงใจมาก “องครักษ์! องครักษ์ของประมุขชิงฝึกวิชามารที่สามารถเพิ่มวรยุทธ์ได้เร็วมาก เนื่องจากรีบร้อนให้สำเร็จ ทำให้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมในร่างกายแว้งกัดได้ง่ายมาก เป็นผู้น้อยที่ช่วยแก้ไขให้มาตลอด”
“เงยหน้าขึ้นมา!” เหมียวอี้พลันตะคอก
คนชุดดำตกใจจนตัวสั่น รีบเงยหน้าขึ้นมา ทำให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่แถวนั้นตกใจเช่นกัน รีบถลันตัวเข้ามา
เหมียวอี้โบกมืออย่างดุดันเข้มงวด ทหารยามที่เหาะเข้ามารีบถอยไป สายตาของเหมียวอี้จับจ้องบนใบหน้าคนชุดดำ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง เพียงแต่ในดวงตาทั้งคู่ไม่มีตาขาว มีเพียงตาดำเท่านั้น เหมือนอัญมณีสีดำขลับ ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
เหมียวอี้พลันถลันตัวออกมา ใช้สองนิ้วแตะไปบนร่างกายอีกฝ่าย ควบคุมไม่ให้อีกฝ่ายกระดิกกระเดี้ย เพลิงจิตสายหนึ่งกรอกเข้าไปในร่างกายอีกฝ่าย
“อา!” คนชุดดำเผยสีหน้าเจ็บปวดทรมานทันที พอกรีดร้องออกมาได้เพียงครึ่งเสียง ก็โดนเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับไว้แล้ว ตกอยู่ในความทรมานถึงขีดสุด ตัวสั่นอย่างรุนแรงเพราะถูกทรมาน ราวกับถูกหลอมละลาย
จนกระทั่งทดสอบวรยุทธ์ของอีกฝ่ายได้ เหมียวอี้ถึงได้เก็บเพลิงจิตกลับมา ส่วนคนชุดดำก็นอนเป็นอัมพาตไปกับพื้น…
อุทยานหลวง ทางเข้าสวนกลางเขียวขจี ซูอวิ้นที่กำลังจะเดินเข้ามาเจอกับเฟยหงพอดี จึงรีบทำความเคารพ
หลังจากทักทายอันแล้ว เฟยหงก็นำทหารอารักขาเหาะออกไป ไปที่วังสวรรค์แล้ว แต่ซิงกลับยังอยู่ที่นี่
สายตาของซูอวิ้นย้ายกลับมาจากคนที่เหาะขึ้นไปบนฟ้า มองไปที่ซิงแล้วถามว่า “เรียกข้ามามีเรื่องอะไร?”
“พี่ซู เดินเล่นด้วยกันสักหน่อยเถอะ!” ซิงมองไปยังลำธารเล็กๆ ระหว่างภูเขานอกสวนกลางเขียวขจี เลยยื่นมือเชิญให้ไปด้วยกัน
ซูอวิ้นพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเคียงข้างกันไปยังจุดที่มีภูเขาเขียวน้ำใส ออกจากสวนกลางเขียวขจีไปไกลพอสมควร ซูอวิ้นถามพร้อมรอยยิ้มว่า “พูดได้หรือยัง?”
“เผ่าอสรพิษดำของข้าประสบปัญหา ทัพใหญ่ของฝ่าบาทเข้ามาในสระน้ำมังกรดำแล้ว…” หลังจากซิงเล่าสถานการณ์โดยละเอียดให้ฟัง ก็หยุดเดินแล้วมองนาง
ซูอวิ้นก็หยุดเดินแล้วเช่นกัน ทอดสายตามองไปไกล “เฮ้อ!” แล้วถอนหายใจเบาๆ “คนปกครองใต้หล้ากับคนที่บุกยึดใต้หล้า ความคิดไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย”
“พี่ซูเป็นคนที่มีทัศนคติกว้างไกล คุ้นเคยกับสถานการณ์ของฝั่งนี้ด้วย ตอนนี้เผ่าอสรพิษดำประสบปัญหานี้ เลยตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากพี่สาว ว่าควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง” ซิงกล่าว
ซูอวิ้นจ้องไปตรงจุดไกลๆ อย่างไม่วอกแวก แล้วถามเสียงเบาว่า “ซิง เจ้าไม่เข้าใจหลักการราษฎรเดิมไร้ความผิด แต่ผิดเพราะมีหยกในครอบครอง[1]เหรอ? จุดที่พิเศษของเผ่าอสรพิษดำอยู่ตรงไหนเจ้าก็น่าจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้ตอนอำนาจหลายฝ่ายคานอำนาจกันก็ยังสามารถแบ่งสรรปันส่วนกันได้ เผ่าอสรพิษดำต้องรับมืออยู่กับอำนาจหลายฝ่ายก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ล่ะ? ฝ่าบาทรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว มีหรือที่จะนิ่งดูดายปล่อยให้สถานการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นอีก? ย่อมต้องมีอำนาจที่จะแบ่งสรรอยู่แล้ว!”
ซิงตอบว่า “หลักการน่ะข้าเข้าใจ ข้ารายงานไปที่ฝ่าบาทแล้ว ต่อไปนี้น้ำตากลั่นที่ได้มาจากเผ่าอสรพิษดำต้องส่งมอบให้ตำหนักสวรรค์ทั้งหมด แต่ฝ่าบาทก็ยังบอกว่าต้องทำตามหน้าที่ บอกว่าสืบเจอความจริงแล้วจะชี้แจงต่อเผ่าอสรพิษดำ กับเรื่องแบบนี้จะเอาจริงเอาจังได้ยังไง? ถ้าเอาจริงเอาจัง เผ่าอสรพิษดำจะต้องมีคนที่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับชิงและพุทธะแน่นอน”
ซูอวิ้นหันกลับมาจ้องแววตาที่กระวนกระวายของนาง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สมบัติของตำหนักสวรรค์กับทรัพย์สินที่ฝ่าบาทมีไว้ครอบครองส่วนตัวเหมือนกันเหรอ? สมบัติของตำหนักสวรรค์จะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมและจัดการตามขั้นตอน ส่วนทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่าบาท ก็เป็นฝ่าบาทพี่จัดการเองคนเดียว! ก่อนหน้านี้เผ่าอสรพิษดำไม่ได้เป็นของอำนาจฝ่ายใด แต่อยู่ระหว่างความคลุมเครือ เข้าใจหรือเปล่า?”
“ฝ่าบาทคิดจะถือน้ำตากลั่นไว้ในมือตัวเองคนเดียวหรอ?” ซิงถาม
ซูอวิ้นช่วยให้นางเข้าใจแจ่มแจ้ง “ต้องการจะกุมแหล่งกำเนิดน้ำตากลั่นไว้ในมือตัวเองคนเดียว เผ่าอสรพิษดำ!”
ซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ขอเพียงเขาสามารถปกป้องเผ่าอสรพิษดำของข้าได้ คนทั้งเผ่าพึ่งพาเขาคนเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร กลับเป็นเรื่องดี ข้าจะไปปรึกษากับคนในเผ่าเดี๋ยวนี้”
ซูอวิ้นส่ายหน้า “เรายังไม่เข้าใจทั้งหมด คนที่นั่งในตำแหน่งเดียวกับฝ่าบาทไม่อาจแสดงความละโมบมากเกินไปได้ ถ้าเผ่าอสรพิษดำจะไปสวามิภักดิ์โดยตรง ก็มีแต่ต้องสวามิภักดิ์ต่อตำหนักสวรรค์เท่านั้น มีเรื่องบางเรื่องที่ฝ่าบาทไม่สะดวกจะทำอย่างสง่าผ่าเผย ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลาอย่างนี้หรอก ไปเจรจากับเผ่าอสรพิษดำโดยตรงก็สิ้นเรื่อง ยังจะกลัวเผ่าอสรพิษดำไม่ยอมอีกเหรอ? แต่เป็นเพราะในนั้นมีสาเหตุที่ยากจะเอ่ยปากบอกได้ เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะเอ่ยปาก ต้องให้เผ่าอสรพิษดำเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เข้าใจไหม?”
“ยากจะเอ่ยปาก?” ซิงขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “น้องสาวซื้อบื้อ พี่ซูโปรดชี้แนะมาโดยตรงว่าควรจะทำยังไง”
ซูอวิ้นจ้องนางอย่างเห็นอกเห็นใจครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ก็อย่างที่บอก ถ้าเผ่าอสรพิษดำจะสวามิภักดิ์ ก็ทำได้เพียงสวามิภักดิ์ต่อตำหนักสวรรค์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นถ้าฝ่าบาทฮุบส่วนตัวก็จะฟังดูเหลวไหล ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนเป็นของฝ่าบาท ทำไมถึงให้เป็นส่วนรวมไม่ได้ล่ะ? ดังนั้นฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องให้เผ่าอสรพิษดำไปสวามิภักดิ์ต่อตำหนักสวรรค์ เผ่าอสรพิษดำเองก็จะสวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้…ข้าพูดกับเจ้าอย่างนี้แล้วกัน ยกตัวอย่างเช่นให้ใครสักคนของเผ่าอสรพิษดำที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งแต่งงานเป็นสนมของฝ่าบาท สนมคนนี้ก็สามารถเป็นตัวแทนควบคุมเผ่าอสรพิษดำได้ แล้วจากนั้นฝ่าบาทก็อ้างเหตุผลได้ว่าในปีนั้นเผ่าอสรพิษดำได้สร้างผลงานการรบไว้ ให้สัญญาไว้แล้วว่าจะประทานดินแดนให้เผ่าอสรพิษดำ ไม่ยึดเผ่าอสรพิษดำเข้ามาไว้ในตำหนักสวรรค์ แล้วเผ่าอสรพิษดำก็เป็นแค่เผ่าของสนมท่านนั้น ไม่ใช่อยู่ในสังกัดของตำหนักสวรรค์ สนมท่านนั้นกลายเป็นสนมรักของฝ่าบาทแล้ว ใครยังจะกล้าบีบบังคับให้เผ่าอสรพิษดำนำน้ำตากลั่นมาแลกเปลี่ยนได้อีก แหล่งที่มาของน้ำตากลั่นก็ย่อมถูกควบคุมอยู่ในมือฝ่าบาทไปโดยปริยาย เข้าใจหรือยัง?”
ซิงสีหน้าเปลี่ยนทันที ในที่สุดก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว นางผิดหวัง พูดไม่ออก
ซูอวิ้นยิ้มเจื่อน “ที่จริงเรื่องนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถามข้า ต่อให้ข้าไม่บอก ต่อไปก็ถึงเวลาสุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น เมื่อเห็นเผ่าอสรพิษดำยังไม่เข้าใจ ก็ย่อมมีคนแอบเตือนเผ่าอสรพิษดำเอง”
วังสวรรค์ อวิ๋นจือชิวเดินเล่นอยู่ในสวนป่าที่ทิวทัศน์งดงาม เฟยหงเดินตามพูดพร่ำอยู่ข้างหลัง
พอเดินมาถึงศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ยืนพิงระเบียง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องสาว เจ้าทำให้ข้าลำบากใจนะ!”
เฟยหงจนใจมาก “เหนียงเหนียง ท่านแม่บุญธรรมขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาทก็ไม่ยอมอนุญาต เฟยหงเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ เพคะ คิดไปคิดมา ก็มีแต่เหนียงเหนียงที่แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ เฟยหงทำได้เพียงแบกหน้ามาขอร้องไห้เหนียงเหนียงเมตตา”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “น้องสาว ต่อให้ฝ่าบาทมีเมตตาปล่อยพวกนางไป เจ้าคิดว่าด้วยความงามของพวกนาง จะทำให้อยู่ได้อย่างอิสระเหรอ? ผลสุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในมือผู้มีอำนาจ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีวาสนาได้เสพสุขกับความงามระดับนี้หรอก แม่เฒ่าลวี่ทำอย่างนี้มีความหมายเหรอ? ผู้หญิงพวกนั้นไม่ใช่แค่สนมนักโทษธรรมดา แต่กลายเป็นผลงานการรบที่ถูกจับจองจากสายตาคนมากมายไปแล้ว มีคนมากมายอยากจะเสพสุขจากผลพวงนี้ ศึกใหญ่เพิ่งจบไป เป็นเวลาที่จะประทานรางวัลปลอบขวัญ เนื้อติดมันชิ้นนี้ ถ้าฝ่าบาทจะยอมทิ้งโดยไม่ประทานให้เบื้องล่าง ทำแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ? ถ้าไม่ปล่อยไป เลี้ยงทั้งหมดไว้ที่สวนกลางเขียวขจี ไม่ว่าฝ่าบาทจะอธิบายยังไง และไม่ว่าฝ่าบาทจะทำยังไง แต่ใครจะเชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่ยุ่ง? คนอื่นจะพากันนึกว่าฝ่าบาทอยากจะเก็บไว้คนเดียว แล้วจะให้คนอื่นมองฝ่าบาทยังไง? ฝ่าบาทจะไม่กลายเป็นทรราชมั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม เห็นสตรีแล้วลืมศีลธรรมหรอกหรือ?”
เฟยหงก้มหน้าเงียบๆ กล่าวเสียงต่ำว่า “เหนียงเหนียงอาจจะยังไม่ทราบ ที่จริงตอนแรกท่านแม่บุญธรรมมองออกตั้งนานแล้วว่าเฟยหงทรยศหน่วยตรวจการซ้าย แต่ท่านแม่บุญธรรมก็ไม่ได้เปิดโปงให้ประมุขชิงทราบแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตเฟยหง แต่ช่วยงานของฝ่าบาทได้มาก เรื่องนี้ฝ่าบาทก็ทราบดี”
อวิ๋นจือชิวชะงักไป หันตัวกลับมาช้าๆ เล่นเนิบนาบเลียบศาลากลางน้ำ แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “เจ้านี่นะ ทำไมกลายเป็นคนตรงไปตรงมาเสียแล้ว ช่างเถอะ จะว่าไปแล้วน้องสาวก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ในเมื่อน้องสาวพูดถึงขั้นนี้แล้ว แล้วก็ไม่ค่อยขอร้องข้าด้วย ถ้าข้ายังไม่ช่วยอีก ก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป แต่ข้าต้องบอกไว้ก่อนเลยนะ เรื่องบางเรื่องควรจะทำยังไง ฝ่าบาทย่อมมีดุลพินิจเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าไม่สะดวกจะก้าวก่ายเรื่องนี้ลึกเกินไป ทำได้เพียงช่วยขอร้องให้เจ้า ส่วนฝ่าบาทจะตอบตกลงหรือไม่นั้น ข้าก็รับประกันให้เจ้าไม่ได้!”
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง!” เฟยหงพยักหน้าขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจมาก ขอเพียงอวิ๋นจือชิวเอ่ยปากก็พอแล้ว อย่างน้อยถ้าอวิ๋นจือชิวเอ่ยปากก็ยังพอมีความหวัง
อวิ๋นจือชิวเอานิ้วจิ้มหน้าผากเฟยหงเบาๆ แล้วบ่นว่า “จะทำยังไงกับเจ้าดีนะ ไปกับข้าเถอะ”
นอกตำหนักดาราจักร เฟยหงรอฟังข่าวอยู่ข้างนอกชั่วคราว
ในตำหนัก เหมียวอี้กำลังปรึกษากับหยางชิ่งเรื่องกำลังพลแดนอเวจี จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็มาพูดแทรกแบบนี้ ทำให้เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ข้าไม่แตะต้องนาง ให้นางอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีอย่างสงบสุขปลอดภัย ก็เพราะเห็นแก่ความดีที่นางทำในตอนแรก นางยังไม่รู้จักพออีกใช่ไหม?”
อวิ๋นจือชิวมองเขาพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำให้เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน
“ประมุขชิงจะไม่รู้เชียวหรือว่าถ้าสนมนักโทษพวกนั้นตกอยู่ในมือศัตรูแล้วจะมีจุดจบเป็นยังไง คนที่สามารถทำให้ประมุขชิงวางดาบไว้ชีวิตคนในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายได้ แม่เฒ่าลวี่คนนี้มีประวัติความเป็นมายังไงกันแน่?” กลับเป็นหยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามอย่างสงสัย
เมื่อเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตื่นตัวโดยพลัน มีเรื่องให้คิดเยอะมากเกินไป ถ้าไม่เอ่ยถึงก็ไม่ได้คิดไปทางนั้นเลยจริง
หยางชิ่งเตือนว่า “ฝ่าบาท คาดว่าซือหม่าเวิ่นเทียนคงจะรู้เรื่องนี้ชัดเจน”
…………………………
[1] 匹夫无罪,怀璧其罪 ราษฎรเดิมไร้ความผิด แต่ผิดเพราะมีหยกในครอบครอง ราษฎรไม่มีปัญญาครอบครองหยก ถ้ามีในครอบครองแสดงว่าขโมยมา อุปมาว่าผู้ที่มีความสามารถหรืออุดมการณ์มักโดนทำร้าย