พิชิตใจนายปีศาจ - ตอนที่ 73
ตอนที่ 73 หญิงสาวผู้มาอย่าวกระทันหัน
“อ่า อีกเดี๋ยวฉันมีธุระต้องไปก่อน เธอมีเพื่อนหรือญาติมา รับไหม? ตอนนี้เธอยังคงขยับได้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่” นวาระ นับเสียงนุ่มและอ่อนหวาน ราวกับสำลีที่เต็มไปด้วยความนุ่ม
จันวิภาคิดค่ำถามนี้แล้วก็กลุ้มใจ พอคิดไปคิดมาก็ไม่มี ใครแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนญาติตอนนี้ก็เดินไปคนละทิศละทาง กับเธอแล้ว
“เป็นอะไรไป?” ราวกับสัมผัสได้ถึงว่าผะอึดผะอมของจัน
วิภา
จันวิภารู้ตัวว่าถ้าไม่เรียกคนมารับก็คงต้องล่าบากนวาระ เธอเลยฝืนยิ้มพูดขึ้น: “ฉันโทรหาสามีฉันแล้วกัน”
นวาระตอบรับหนึ่งเสี่ยง แล้วพูดชม: “ยังสาวอยู่เลยแต่ง
ให้คนอื่นซะแล้ว โชคดีจริงๆ”
จันวิภาไม่ต่อความ ในชีวิตเรื่องแบบนี้ มีแต่ตัวเอง
เท่านั้นล่ะที่รู้
สายโทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว จันวิภาอธิบายง่ายๆถึง เรื่องที่เกิดขึ้นและบอกที่อยู่ของโรงพยาบาล
โทรศัพท์นั้นมีแต่เสียงเย็นชาของสุมิตร ราวกับว่าต่อให้จันวิภาจะเป็นตายร้ายดียังไงเขาก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เพราะจากเริ่มคุยจนถึงวางสาย สุมิตรไม่ถามอาการบาด เจ็บของเธอเลยแม้แต่น้อย นี้เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายที่ทำให้ จันวิภารู้สึกท้อใจอยู่บ้าง
แต่สักพักเธอก็บอกกับตัวเอง ท้อใจกับคนอื่นได้ แต่ กลับสุมิตรไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นเธอคงเธอเป็นบ้าไปแล้ว เพราะ คนบ้าคนนั้นที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
สุดท้ายแล้วสุมิตรก็รีบมา เขามองจันวิภาที่นั่งอยู่ที่ทาง เดินของโรงพยาบาล ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์และพูดอย่างโมโห ขึ้น: “ปัญญาอ่อน แค่เดินยังล้ม ไร้ค่าจริงๆ”
จันวิภาชินชากับสายตาเย็นชาและค่าสบถของสุมิตรนาน แล้ว เธอรู้สึกเฉยๆ ตอนที่โทรศัพท์ให้สุมิตรมาก็เพราะนวาระ ขอร้อง แล้วก็ไม่อยากจะลำบากคนอื่น อีกทั้งนวาระและจันวิภา ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกัน พาเธอมาโรงบาลก็ดีมากแล้ว
พอคิดถึงนวาระแล้ว จันวิภาก็นึกขึ้นได้หันหน้าไปหาเธอ เห็นเธอยืนแข็งราวกับรูปปั้นนิ่งค้างอยู่ที่เดิม ริมฝีปากสั่นเล็ก น้อย ดวงตาของค้างจ้องค้างที่สุมิตร สติหายไปหมดเรียบร้อย
จันวิภาเห็นนวาระเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ ก็ถามขึ้น “นวาระ เธอเป็นอะไร? รู้จักมิตรเหรอ?”
อยู่ต่อหน้าคนนอก จันวิภามักจะติดปากเรียกสุมิตรว่า
มิตร
ใครจะรู้นวาระไม่ตอบเธอกลับ จันวิภารู้สึกว่าคนนี้ไม่ได้ ถูกผีสิงใช่ไหม เลยผลักไปที่นวาระเบาๆ
ตัวอ้อนแอ่นของนวาระสั่นสะท้านขึ้นมา เธอเดินถอยหลัง ออกไปหลายก้าว ปากพูดขึ้น: “ไม่ ไม่รู้จัก ฉันไม่รู้จักเขา”
จันวิภาขมวดคิ้วแน่น เธอสัมผัสได้ถึงความเครียดของ นวาระ เลยยื่นมือออกไปเพื่อที่จะดึงนวาระและทำเรื่องนี้ ให้ กระจ่าง แต่คิดไม่ถึงนวาระกับปัดมือของจันวิภาออก ตะโกน ร้องกรีดวิ่งออกจากโรงพยาบาลไป
มองเห็นนวาระวิ่งหนีออกไปอย่างตื่นกลัวแล้ว จันวิภาก็ พูดกับสุมิตร: “ฉันเห็นแล้ว ดาวว่านี่ก็อาจจะเพราะคุณเล่น ความรู้สึกกับนวาระเมื่ออยู่ในข้างนอก คุณดูสิคุณทำให้คนอื่น เจ็บจนเป็นแบบนี้แล้ว”
จันวิภาไม่เคยสนใจชีวิตข้างนอกของสุมิตรเพราะว่าเธอ
ไม่มีความคิดที่จะเป็นเจ้าของของสุมิตร ดังนั้น ไม่ใช่เพราะอยากคิดบัญชีกับสุมิตร เป็นทวงความไม่ยุติธรรม แทนนวาระ
สุมิตรขมวดคิ้วมองนวาระที่ลับตาไปจากที่นี่ เขาดูเหมือน กำลังคิดอะไรอยู่ เลยทำให้ไม่สนจันวิภา
“อะไรกัน? คุณมีเวลาที่ไม่กล้าที่จะรับผิดชอบด้วยเหรอ? เจ้านายสุมิตร เล่นกับความรู้สึกคนอื่นจนเป็นเรื่องปกติแล้ว ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำหน้าอมทุกข์ด้วยล่ะ”
ถึงตรงนี้สุมิตรถึงจะหันตามามองที่จันวิภา สีหน้าไร้อารมณ์พูด: “จันวิภา เธอกำลังปิดความอิจฉาของเธอใช่ ไหม?”
จันวิภายิ้มเย็นชา: “ฉันไม่เคยเห็นคนหน้าด้านอย่างคุณ มาก่อนเลย ฉันไม่เคยหึงคุณเลยสักครั้งเดียว คุณก็เคยพูด ไม่ใช่เหรอว่าพวกเราไม่ใช่สามีภรรยากันจริง ๆ เป็นคู่แค้นกัน มากกว่า ทำไมต้องเสแสร้งทำเป็นคนรักกันด้วยล่ะ?”
สุมิตรก้มมองลงไปวิเคราะห์จันวิภา แล้วพูดอย่างเย็นชา: “เธอหุบปากน่าจะดีกว่านะ” สุมิตรยังคงไม่พูดถึงผู้หญิงคนนั้น แต่กลับอยากจะเป็นศัตรูกับจันวิภา เขามองจ้องไปที่จันวิภา
ขาของจันวิภาแผลยังคงเจ็บอยู่ ไม่งั้นก็แอบหนีออกไป
สุมิตรพูดอย่างเย็นชาขึ้นอีกประโยค: “กลับบ้านกับผม”
จันวิภาพอฟังเสร็จก็รีบส่ายหน้าพูด: “ไม่ได้ วันนี้ฉันต้อง
ไปโรงเรียน” จริง ๆ แล้วออกมาตั้งนานแล้ว จันวิภากไม่อยาก ไปโรงเรียนแล้ว แต่เพราะอยากจะต่อต้านสุมิตร เธอเลยต้อง ไปโรงเรียนให้ได้
นี้ดูเหมือนจะเป็นการโต้ตอบ นี้คือนิสัยของจันวิภาที่อยู่ ข้างหน้าของสุมิตร—-ต่อต้าน!
และสุมิตรก็ใช้ลูกไม้เดิม เข้ารัดที่เอวของจันวิภา ไม่สนใจ ว่าเธอจะดิ้นตะโกนหรือตบตีเขา สุมิตรบังคับเธอให้ขึ้นรถไป!
“สุมิตร!” จันวิภาตะโกนอย่างโมโห แต่สุมิตรทำเหมือน
แล้วกับไม่ได้ยิน สั่งขับรถออกไปทันที
มาถึงที่รถจอด จันวิภาถึงจะรู้ว่าสุมิตรพาเธอมาที่โรงเรียน
หลังจากลงรถแล้ว จันวิภาเห็นรถของสุมิตรไกลออกไปถึง จะเรียกสติกลับมาได้
“อยู่ ๆ ก็ใจดีขึ้นมา?” จันวิภาขมวดคิ้ว ไม่คิดอะไรอีก เดิน กระเผลกเข้าไปที่โรงเรียน
เข้าชั้นเรียนแล้ว เธอรู้สึกง่วงก็เลยหลับไปทั้งอย่างงั้น จน ทุกคนเลิกเรียนออกไปหมดก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน มีผู้ชายสวมชุดสูทหน้าตาชุ่มชื่นราวกับ หยกเดินเตร่เข้ามาในห้องเรียน เขายืนอยู่หน้าประตู มองจัน วิภาที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะเงียบๆ มองอยู่ตั้งนาน ใน นัยน์ตาอารมณ์ที่แสดงออกมาราวกับน้ำลึก แล้วยังมีความ เสียดายแผงอยู่ในนั้นอีก
ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นก็คือนราวิชญ์นั้นเอง เขา พยายามที่จะไม่รบกวนจันวิภา และค่อยๆเดินเบาๆไปที่ข้างจัน วิภา หลังจากนั้นก็นั่งลงไป นับตั้งแต่เดินเข้ามายังไม่ส่งเสียง อะไรออกมาแม้แต่น้อย
เขายื่นมือค่อยๆดึงผมอยู่ข้างหูของจันวิภา ค่อยๆลูบเบาๆ ราวกลับว่ากลัวว่าจะรบกวนความเงียบสงบนี้และทำร้ายความ สวยงามที่อยู่ตรงหน้า
เขาทัดผมของจันวิภาที่ข้างหูของเธอ แล้วก็มองดูติ่งหูของเธออย่างเงียบๆ
บนร่างกายของจันวิภา สิ่งที่นราวิชญ์ชอบมากที่สุดคือ ดวงตาและติ่งหูของเธอ ดวงตาของเธอไม่นับว่าใสที่สุดหรือ สวยที่สุด แต่เหมือนผืนน้ำกว้างใหญ่ที่สามารถกลืนเขาไปได้ และความเนียนอ่อนนุ่มสะอาดสะอ้านเอิบอิ่มของยิ่งหูที่ใกล้ เคียงกับค่าว่าสมบูรณ์แบบที่สุด
เขามองดูอย่างเงียบๆ จนกระทั้งจันวิภาตื่นขึ้นมา
จันวิภาขยี้ตาตัวเอง ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นตรง หน้า เลยพูดอย่างสงสัยขึ้น: “คุณมาที่นี่ได้ยังไง ฉันไม่ได้ฝันไป ใช่ไหม?”