พิชิตใจนายปีศาจ - ตอนที่ 77
ตอนที่ 77 การคุกคามของเขา ไม่อนุญาตให้จากไป
สุมิตรพูดจบจึงได้ปล่อยจันวิภา แล้วพูดต่อ “ตังนั้น เธอก็ ควรที่จะ รู้ตัวอยู่ไว้หน่อยว่าอย่าทำให้ฉันโกรธ!
จันวิภาไม่สนคำพูดของสุมิตร เธอได้ตัดสินใจลงไปก่อน หน้านี้แล้ว ดังนั้นเธอจึงปล่อยสัมภาระลง แล้วเดินไปทางประตู
สุมิตรพูดอย่างเยือกเย็น “จันวิภา เธอไม่อยากรู้เรื่องพ่อ ของเธองั้นหรอ? ถ้าเธอไม่อยากเจอเขาแล้วล่ะก็ เธอก็เดินออก ไปซะ ถึงแม้ว่าคุณกลับบ้านไปแล้ว และก็จะไม่มีใครบอกเธอ เกี่ยวกับเรื่องของพ่อเธออีก หี.”
ข่มขู่ เป็นการข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง
แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่พูดถึงพ่อ จันวิภาราวกับจะถูก พลังงานบางชนิดผูกตรึงไว้กับอยู่ที่
เธอคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้เห็นพ่อมานานมากแล้ว ใน สถานการณ์เหล่านี้ ความรู้สึกที่ขาดหายไปนั้นกลับกลายเป็น ความเศร้าและความโกรธที่ยากจะกำจัดลงได้
ร่างกายของจันวิภาสั่นไหว แต่กลับยังคงกัดริมฝีปากจน แน่น ไม่ส่งเสียงออกมา เธอหันตัวกลับมา แล้วมองไปทางสุมิตรด้วยสายตาที่เชือดเฉือน
สุมิตรแสร้งแกล้งทำเป็นจัดระเบียบสูทของเขา ใช้นิ้วมือ พับชุดสูทให้เรียบร้อย พร้อมกับแบะปากพูด “ฉันรู้เรื่องของพ่อ เธอ แต่ถ้าเธอยังทำให้ฉันโกรธฉันก็จะไม่บอกเธอ และถ้าฉัน หาเธอไม่เจอ ฉันก็คงจะต้องไประบายความโกรธกับร่างกาย ของพ่อเธอ..
“จะอยู่หรือจะไป ก็ตามใจ” พูดจบ สุมิตรจึงเดินออกไป
จันวิภายืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกหน้ามืดเวียนหัว ทำไมจึงเป็น เช่นนี้ไปได้?
ผ่านไปไม่นาน เสียงของสาวใช้ก็ดังขึ้นมา “คุณหญิง วันนี้ มีเอกสารส่งมาจากวิทยาลัยดนตรี โปรดอ่านด้วย! ”
วิทยาลัยดนตรี? เอกสาร?
จันวิภารับเอกสารเอาไว้ ภายในใจมีลางสังหรณ์ที่ไม่อาจ คาดเดาได้ หลังจากเปิดเอกสารนั่นออก ทันใดนั้นจึงได้พบว่า แท้จริงแล้วมันเป็นหนังสือแจ้งพักการเรียนของวิทยาลัย ดนตรี!
บนเอกสารได้เขียนข้อความไว้มากมาย แต่ประเด็นสำคัญ คือจันวิภาถูกวิทยาลัยดนตรีไล่ออกเสียแล้ว ส่วนเหตุผล กลับ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันได้รวมไปถึง การะเลาะวิวาทกับจิลลาด้วย
ภายในใจของจันวิภาไม่สู้ดีนัก คิดไม่ถึงเลยว่าพอนราวิชญ์จากไป ตำแหน่งของประธานวิทยาลัยดนตรีก็ เปลี่ยนแปลงโดยอัตโนมัติ และตนเองก็ได้ถูกโจมตีจากทุก สารทิศอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าเป็นใครทำกันล่ะ?
จันวิภาไม่เข้าใจ เป็นสุมิตรงั้นหรือ?
เขาไม่เพียงแต่ดูถูกคนในบ้านของตนเองเท่านั้น ทั้งยัง ทำให้ตนเองไม่มีที่ยืนข้างนอกอีก?
จันวิภารู้สึกท้อแท้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ไม่ยอมก้มหัวให้ สุมิตร เธอหัวเราะเยาะแล้วพูดกับตนเอง “ยิ่งพวกนายอยาก เห็นฉันกระอักกระอ่วนมากเท่าไหร่ ฉันก็จะยิ่งไม่ให้พวกนายได้ เห็น”
อาหารเช้านี้ทำให้จันวิภาอึดอัดใจอย่างไม่ต้องสงสัย แต่
เธอก็ยังไปแล้ว
ในช่วงเวลาอาหารเช้าทั้งหมด สุมิตรและนวาระพูดคุย และหัวเราะกันกระหนุงกระหนิง แม้แต่สาวใช้ก็ดูเหมือนจะติด เชื้อจากบรรยากาศแห่งความสุข บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอย ยิ้ม
และจันวิภาก็กินอาหารเช้าอยู่เงียบๆคนเดียว เหมือนกับ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภายในใจของจันวิภา ได้แบกรับความ อัปยศเอาไว้ มันไม่ใช่การหึงหวง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก่อนที่สุมิตรจะออก ไปก็ไม่ลืมที่จะกำชับแม่บ้านว่าให้ดูแลนวาระให้ดีๆ ไม่ว่าเธอจะ ขออะไรก็ต้องทำให้เธอพอใจ
ในเวลานี้นวาระกลับหัวเราะแล้วพูดกับจันวิภา “จันวิภา วันนี้ไม่ไปเรียนที่วิทยาลัยดนตรีงั้นหรอ?”
จันวิภาคิดว่าเธอเป็นห่วงตนเอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลัง จากเงยหน้าขึ้น เธอจะได้พบกับใบหน้าของนวาระที่เต็มไปด้วย ความภาคภูมิใจและเหยียดหยาม
นี่เป็นการกระตุ้นและเยาะเย้ยเธออย่างเห็นได้ชัด
จันวิภาขมวดคิ้ว คิดที่จะเดินอ้อมข้างๆเธอไป แต่เรือนร่าง ที่อรซอนอ้อนแอ้นได้ขวางทางเดินของจันวิภาอีกครั้ง
“โฮ่ คุณหญิง ทำไมถึงไร้มารยาทขนาดนี้กันนะ คนอื่นพูด ด้วยแต่ไม่ตอบ ไม่แปลกใจเลยที่สุมิตรดูถูกคุณเช่นนี้ แม้แต่ วิทยาลัยดนตรีก็ไล่คุณออก”
ท่าทางของนวาระมีความไม่เต็มใจ
จันวิภารู้สึกคลื่นไส้อยู่ในใจ แต่ก่อนคิดว่าผู้หญิงคนนี้ก็คง เหมือนกับกระต่ายตัวน้อยที่น่าสงสาร แต่พอสุมิตรเดินจากไป กลับเผยหางออกมาให้เห็น คิดไม่ถึงเลยว่าความคิดจะเหมือน กับจลลาและกนกอร
จันวิภาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ไม่ต้องการทะเลาะ กับผู้หญิงคนนี้ จึงยิ้มเยาะเย้ยแล้วพูด “ฉันจะเป็นคนแบบไหนก็ไม่ต้องให้เธอมาติเดียนหรอกนะ อย่าลืมเสียละตอนนี้เธอก็เป็น เพียงแค่เมียน้อย ทำไมถึงไม่รู้ตัวเองเอาซะเลย”
นวาระไม่สนใจคำพูดของจันวิภาที่บอกว่าเธอเป็นเมีย น้อย จึงพูดตอบกลับไป “ฉันคิดว่าคนที่ไม่รู้ตัวน่าจะเป็นเธอ มากกว่า คิดไม่ถึงว่าจะพูดคำพูดน่าเกลียดเช่นนี้ออกมาได้กับ คนที่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้”
นวาระพูดว่าคนที่ช่วยชีวิต คงจะหมายถึงเรื่องเมื่อวานที่ พาจันวิภาไปส่งที่โรงพยาบาล
จันวิภาตกตะลึงอยู่เล็กน้อย คิดถึงการปรากฏตัวของ นวาระจนถึงตอนนี้ ทั้งหมดมันช่างเป็นละครที่น่าทึ่งหาใด เปรียบ ราวกับเป็นฉากละครที่ถูกวางไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น
จันวิภามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองได้ถูกผู้หญิงที่อยู่ตรง หน้านี้วางแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อก่อนเกือบจะถลันล้ม เข้าไปตรงรถของเธอ แม้ว่าจะไม่หกล้ม แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ สิ่ง นี้ก็คงจะเปิดโอกาสให้นวาระปรากฏตัวขึ้นมาสินะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จันวิภาก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เธอกัดฟัน จ้อง มองใบหน้าของนวาระด้วยความโกรธ “เธอวางแผนทำร้าย
ฉัน! ”
ใครจะรู้ว่านวาระจะไม่ปฏิเสธ แต่กลับหัวเราะออกมา
อย่างภาคภูมิใจ เธอพูดขึ้น “เธอไม่ปกป้องสามีเธอให้ดี นี่ก็ โทษฉันไม่ได้นะ”
จันวิภาหัวเราะเยาะขึ้นมา “เธอต้องมีความสามารถ ถึงเธอแย่งไปได้ฉันก็ไม่สนใจหรอก”
จันวิภาพูดความจริง เธอไม่สนใจจริงๆแม้ว่าเธอจะรู้สึก อับอาย แต่นั่นก็เพราะเธอเป็นภรรยาของสุมิตรแค่ในนาม เท่านั้น เธอจึงไม่มีความรู้สึกรักใคร่ต่อสุมิตร
นวาระดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา เธอกวาดสายตามองจันวิภา ตั้งแต่หัวจรดท้าย แล้วพูดออกมาอย่างแปลกประหลาด “จัน วิภา ฉันไม่รู้ว่าทำไมสุมิตรถึงยังไม่จบกับเธอ แต่เธอวางใจ เถอะ อีกไม่นานฉันจะทำให้สุมิตรอย่ากับเธอ”
เมื่อจันวิภาได้ยินคำว่าหย่าร้าง ก็รู้สึกว่าถ้าอย่าร้างกันได้ ก็คงจะดีจริงๆ แต่ทว่าสุมิตรกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป และหลัง จากการพูดคุยกับสุมิตร ภายในใจของจันวิภาก็ได้พะว้าพะวง เกี่ยวกับเรื่องพ่อของเธอ อารมณ์เธอจึงไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไง ผู้หญิงอย่างเธอก็เป็นเพียงแค่เมีย น้อยเท่านั้นแหละ สุมิตรไม่อยากที่จะเห็นหน้าฉันอีก และฉันก็ เป็นภรรยากับเขาแค่เพียงในนาม แม้ว่าเขาจะรักเธอ แต่เธอก็ เป็นได้เพียงแค่ผู้หญิงที่ไม่มีสถานะเท่านั้นแหละ นวาระ เธอไม่ สามารถที่จะยืนกับสุมิตรในต่อหน้าคนข้างนอกได้หรอก แต่ฉัน ทำได้ เธอรอไปชีวิตชาติเถอะ! เธอจะไม่มีโอกาสนั้น! ”
คำพูดเหล่านี้เติมทีแล้วจันวิภาก็ไม่ได้คิดที่จะพูดออกมา แต่เมื่อเห็นถึงความหยิ่งจองหองของนวาระในใจจึงไม่สบ อารมณ์ เอ่ยปากพูดสวนกลับไป แท้ที่จริงแล้วเธอไม่ได้สนใจว่า จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสุมิตรเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่จันวิภาทิ้งประโยคนั้นออกไป เธอก็ได้ผลัก นวาระออกแล้วขึ้นไปชั้นบน
นวาระจ้องมองแผ่นหลังของจันวิภา นัยน์ตาทั้งสองเปล่ง ประกายแสงแห่งความเยือกเย็นออกมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร อยู่ แต่เหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่