พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 604 ในที่สุดก็ได้พร้อมหน้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้มีรถหรูมากันเยอะขนาดนี้ ? ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เดาว่าคงมีคนร่ำรวยที่ไหนสนใจพื้นที่ในหมู่บ้านของเรา อยากซื้อไว้แล้วพัฒนาทำเป็นบ้านไร่รีสอร์ต ก่อนหน้านั้นที่หมู่บ้านสตาร์เรดก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ? รื้อถอนทั้งหมู่บ้าน น่าอิจฉาพวกเขาจะตาย ”
“อาจจะมาท่องเที่ยวกันก็ได้ เพราะว่าบรรยากาศและทิวทัศน์ในหมู่บ้านของเราก็สวยงามมาก”
“คนรวยมาเที่ยวชนบทที่ทุรกันดารของพวกเรา ? สมองมีปัญหาแล้วมั้ง ?”
มารุตลงจากรถก่อน ได้ยินการสนทนากันของชาวบ้าน ก็ไม่ได้สนใจอะไร เดินตรงไปยังรถลีมูซีนคันกลาง แล้วเปิดประตูออก
“คุณผู้หญิง ถึงแล้วครับ ลงรถกันเถอะครับ”มารุตพูดอย่างสุภาพ
วารุณีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง วางมือลงบนมือของเขา ภายใต้การประคองของเขาและลงจากรถไป
“บ้านของจุ๊บแจงอยู่ไหนเหรอ ? ”เมื่อวารุณียืนนิ่งแล้ว ก็ดึงมือกลับแล้วถาม
มารุตปิดประตูรถ “อยู่ด้านหน้าครับ ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณสองนาที”
“อ๋อได้”วารุณีพยักหน้า
จากนั้นมารุตก็เดินนำ อยู่ทางด้านหน้า และวารุณีก็เดินตามหลังเขา
ส่วนทางข้างหลังเธอ ก็มีบอดี้การ์ดอีกจำนวนหนึ่งและเหล่าทีมแพทย์ รวมๆกันแล้วก็เป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ ดูแล้วสะดุดตามาก
และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งก็เดินตามอยู่ไม่ไกล อยากดูว่าคนรวยเหล่านี้จะไปที่ไหนกัน
ตามอยู่ไม่นาน ชาวบ้านก็รู้จุดหมายปลายทางของวารุณีและพวก นั้นคือบ้านของยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์
เพราะคนรวยเหล่านี้ หยุดลงตรงที่ประตูหน้าบ้านของยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์
“พวกแกคิดว่า พวกเขามาที่บ้านของยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์กันทำไม ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน หรือยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์นั้นจะเป็นลูกคนรวย ดังนั้นพวกเขาก็เลยมารับตัวยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์กลับไป ที่ในละครทีวีก็มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆไม่ใช่เหรอ ?”
“จะบ้าเหรอ บรรพบุรุษของยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์ล้วนอาศัยอยู่ที่นี่มาชั่วอายุคนแล้ว ยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์หน้าตาก็เหมือนพ่อแม่ซะขนาดนั้น จะไปเป็นลูกคนรวยได้ยังไง ให้ฉันเดานะ คนพวกนี้มาที่บ้านของยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์เพราะชายหนุ่มที่เธอพามาด้วยแน่ๆ ”
แม้การพูดคุยของชาวบ้านจะไม่ได้ดังมาก แต่ทุกอย่างก็เข้าหูของวารุณี
วารุณีเห็นประตูที่ถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา ก็รู้ว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ และไม่เป็นการสมควรหากจะงัดมันเข้าไป เธอจึงหันหลังแล้วเดินไปหาชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น
หลังจากที่เข้ามาใกล้ ชาวบ้านต่างก็เห็นใบหน้าของเธอ พากันสูดหายใจเข้าลึก อึ้งไปชั่วครู่จากนั้นก็กลับมาได้สติ
“แม่เจ้า ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆ ดาราที่อยู่ในจอทีวียังไม่มีใครสวยเท่าเลยมั้งนี่?” มีป้าคนหนึ่งอุทานออกมา
คนอื่นๆก็พากันพยักหน้าตาม
ทันทีที่วารุณีได้ยิน ก็หัวเราะออกมาเสียงเบา “คุณป้าค่ะ เมื่อครู่ป้าบอกว่า เจ้าของบ้านหลังนี้ได้ช่วยชีวิตชายคนหนึ่งเอาไว้ใช่ไหมคะ ? ”
“ใช่ ผู้ชายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลามาก ฉันอยู่มานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครที่หน้าตาดีแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่ายัยสาวตระกูลจิรดำรงค์ไปพาตัวมาจากที่ไหน เออนี่แม่หนู หนูถามเรื่องนี้ทำไมเหรอ ? พวกหนูคงไม่ได้ มาที่นี่เพราะผู้ชายคนนั้นจริงๆหรอกนะ ”ป้าถาม
ทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่วารุณี
วารุณีพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาเป็นสามีของหนู ก่อนหน้านั้นสามีของหนูประสบอุบัติเหตุ และหายตัวไป เราตามหาตัวเขามาโดยตลอด สุดท้ายก็พบว่าเขาได้รับการช่วยเหลือจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อจุ๊บแจงพอทราบข่าวเราก็จึงได้รีบตามมา เพื่อมารับตัวเขากลับค่ะ ”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นสามีของหนูเหรอ ? ”คุณป้าแปลกใจมากยิ่งขึ้น
วารุณีตอบ “ใช่ค่ะ”
“แล้วทำไมยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์ถึงบอกว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นแฟนของเธอล่ะ ? ”ป้าพึมพำ
เมื่อวารุณีได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลง
จุ๊บแจงบอกว่านัทธีเป็นแฟนของเธองั้นเหรอ ?
หรือว่า จุ๊บแจงจะชอบนัทธี ?
แต่เรื่องนั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หน้าตาของนัทธีไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้หญิงสาวตกหลุมรักในครั้งแรกที่เจอได้
หากเป็นแบบนั้น ก็พอจะอธิบายได้ว่าทำไมเมื่อคืนจุ๊บแจงถึงตัดสายเธอ เพราะไม่อยากให้เธอมาพาตัวนัทธีกลับไปนี่เอง
แน่นอนว่า วารุณียังไม่ปักใจเชื่อแบบนั้น ที่ว่าจุ๊บแจง บอกว่านัทธีเป็นแฟนของเธอ ก็จะคิดเอาเองว่าเธอชอบนัทธี
หากนั้นเป็นแค่ข้ออ้างของจุ๊บแจงล่ะ เพราะการที่ผู้หญิงคนหนึ่งพาผู้ชายมาที่บ้านของตัวเอง หากไม่บอกว่าชายหนุ่มเป็นแฟนของตัวเอง ก็จะต้องถูกครหาต่างๆนานาอย่างแน่นอน
ทางด้านข้าง เหล่าพี่ป้าน้าอาก็พูดคุยกันขึ้นมาอีกครั้ง
“ผู้หญิงคนนี้บอกว่าผู้ชายในบ้านของยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์เป็นสามีของเธอ นี่มันเรื่องจริงเหรอ ?”
“ฉันว่าน่าจะจริงนะ ผู้หญิงคนนี้กับผู้ชายคนนั้นรูปร่างหน้าตาเหมาะสมกันมาก ยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์หน้าตาจืดชืด พูดตามตรง ไม่คู่ควรอะไรกับผู้ชายคนนั้นเลยจริงๆ”
“งั้นก็แสดงว่ายัยสาวตระกูลจิรดำรงค์โกหกนะเหรอ ?”
“เป็นไปได้ เพราะผู้ชายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลา ยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์น่าจะถูกใจ จึงได้พูดไปอย่างนั้น”
วารุณีเม้มริมฝีปากแดงๆ ฝืนยิ้มออกมา “คุณป้าค่ะ ขอถามอีกหน่อยค่ะ จุ๊บแจงไปไหนแล้วคะ ?”
“เธอเข้าไปหาที่พักในเมือง เห็นบอกว่าพักอยู่ที่นี่ไม่สะดวกในการเดินทาง และดูแลแฟนลำบาก ดังนั้นจึงเข้าเมืองไปหาบ้านพัก จะเช่าอยู่ที่นั่น เพื่อสะดวกกับการดูแลแฟนหนุ่มของเธอ ”ป้าตอบ
ในใจวารุณีหนักอึ้ง เดาว่าคงไม่ใช่เพราะสายที่เธอโทรหาเมื่อคืน ทำให้ จุ๊บแจงรู้ว่าเธอจะมารับนัทธี ดังนั้นจึงได้พาตัวนัทธีหลบหนีเธอหรอกนะ?
“เออคุณป้าค่ะ พวกเขาย้ายกันไปแล้วเหรอคะ ? ” วารุณีถามพลางกำมือแน่น
ป้าส่ายหัว “ไม่นะ ยัยสาวตระกูลจิรดำรงค์ออกไปเมื่อตอนเช้านี้ ไปคนเดียวด้วย ”
ไปคนเดียว……
งั้นก็แสดงว่า นัทธียังอยู่ด้านในนะสิ !
ดวงตาของวารุณีเป็นประกาย ยกยิ้มออกมา“ขอบคุณคุณป้ามากๆนะค่ะที่บอกผู้ช่วยมารุต”
“ครับ”เมื่อมารุตได้ยินเสียงเรียก ก็เดินมาหา“ คุณผู้หญิงมีอะไรให้รับใช้ครับ ”
เมื่อชาวบ้านได้ยินสรรพนามที่มารุตเรียกขานวารุณี ในใจก็มองวารุณีสูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก
คำเรียกขานคุณผู้หญิง ไม่ว่าจะในอดีต หรือปัจจุบัน ล้วนมีไว้เรียกขานคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจเท่านั้น
ดูแล้วสถานะของหญิงสาวหน้าตาดีคนนี้คงจะสูงส่งกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก
“ให้ค่าตอบแทนคุณป้าทุกคนที่นี่ด้วย ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่พวกเขาให้มา”วารุณีออกคำสั่ง
มารุตพยักหน้า“ได้ครับ ”
เมื่อชาวบ้านได้ยินว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปเพียงไม่กี่คำ ยังสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้ ต่างก็พากันยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
ไม่นาน มารุตก็ให้สินน้ำใจทุกๆคนไปจำนวนหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านต่างพากันแยกย้ายไป
วารุณีมองไปยังประตูที่ถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา สีหน้าของเธอแน่นิ่ง “ สองคน ไปจัดการงัดประตูนั้นซะ!”
แม้ว่าการกระทำนี้จะดูไม่เหมาะสม แต่เธอจะมาพะวงหน้าพะวงหลังอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เธออยากจะเจอนัทธีมากที่สุดในตอนนี้
อีกอย่าง ในเมื่อจุ๊บแจงกล้าที่จะซ่อนนัทธีเอาไว้ ก็อย่ามาโทษว่าเธอใช้ไม้แข็งเลย
“ครับ!”บอดี้การ์ดสองคนรับคำ หยิบอุปกรณ์มา เดินเข้าไปแล้วจัดการงัดประตูนั้นทันที
ประตูถูกเปิดออก วารุณีสูดหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปด้านใน
บ้านไม่ได้หลังใหญ่มาก มีแค่สองห้อง
วารุณีไม่รู้ว่านัทธีอยู่ห้องไหน จึงเปิดดูมันทีละห้อง
หากไม่อยู่ห้องแรก ก็ต้องอยู่ในห้องที่สอง
เป็นไปตามคาด วารุณีรีบวิ่งไปยังห้องที่สอง ทันทีที่เปิดประตูได้ ก็เห็นร่างของนัทธีที่สวมใส่เสื้อผ้าสีเทา นอนนิ่งอยู่บนเตียง กับดวงตาที่ปิดสนิท
ทันทีที่เห็นชายหนุ่ม ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจของวารุณี ก็ถูกวางมันลง ภายในใจที่ว่างเปล่า ก็ถูกเติมมันจนเต็ม
ดวงตาของเธอแดงก่ำ เดินซวนเซเข้าไปหา ถึงที่ข้างเตียง จ้องมองสำรวจนัทธีอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็เอนกาย ล้มทับแนบไปบนร่างของนัทธี ร้องไห้ดีใจอย่างสุดซึ้ง “ที่รัก ในที่สุดฉันก็หาคุณเจอ!”
ร่างกายของวารุณีสั่นเทิ้ม ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น และยินดี
ตอนที่เธอรู้ข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับชายหนุ่ม เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเธอมันพังทลายลง
แต่ตอนนี้เจอเขาแล้ว เธอก็เหมือนรู้สึกว่าโลกทั้งใบของเธอ กลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง
วารุณีกอดนัทธีเอาไว้แน่น กลัวว่าหากเธอปล่อยมือออกแล้วเขาจะหายตัวไปอีก