พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 127 แข่งกัน
บทที่ 127 แข่งกัน
เนี่ยเฟิงพอเข้าไปในห้องจำลองการบินก็ร้องอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะกลับมาอีกแล้ว
พูดๆดูแล้วตอนเนี่ยเฟิงอายุสิบหกปีก็เคยเข้ามาฝึกอบรมในห้องจำลองนี้แล้ว
ในตอนนั้นสภาพไม่ได้ดีเหมือนกับตอนนี้ แถมห้องจำลองในตอนนั้นก็ไม่ได้พัฒนามากเหมือนกับทุกวันนี้
ผู้ที่มาทำการฝึกอบรมให้กับพวกเขาในตอนนั้นก็เป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเที่ยงธรรมจริงจังไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น สำหรับพวกเขาแล้วคนแบบนี้พูดได้เลยว่าเข้มงวดกวดขันสุดๆ
มีแค่คนที่มีความสามารถโดดเด่นออกมาเท่านั้น จึงจะสามารถได้รับทรัพยากรที่มากขึ้นกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะไม่ได้กินอาหาร
เนี่ยเฟิงเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นเรื่องพวกนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
แต่คนที่ยิ่งเก่งกาจยิ่งยอดเยี่ยมก็จะยิ่งได้รับความโปรดปราน
ยีนแห่งความเก่งกาจของเนี่ยเฟิงทำให้เขากลายเป็นตัวหลักสำคัญของการฝึกอบรม
เวลาในการฝึกอบรมในแต่ละวันเขามีมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว เขาจับอุปกรณ์ทั้งหมดในห้องจำลองมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งจับทั้งคลำซะจนตัวอักษรบนอุปกรณ์พวกนั้นเลือนหายไปจนหมดแล้ว
พวกปุ่มกด อุปกรณ์บังคับทิศทางเหล่านั้นต่างก็เรียบเนียนแวววับหมดแล้ว ส่วนมือของเนี่ยเฟิงเนื่องจากจับต้องของพวกนี้บ่อย จึงกลายเป็นตุ่มบวมๆขึ้นมา
ถึงขนาดที่ผ่านไปนานแล้ว เนี่ยเฟิงรู้สึกได้ว่าช่วงหลังไหล่เริ่มจะเจ็บเริ่มปวด
แต่ความเจ็บปวดนี้มันรวดเร็วมาก ไม่ได้กระทบกับการฝึกอื่นๆ
แผลตามตัวของเนี่ยเฟิงมีเยอะมาก มีแผลเป็นมากมายล้วนแต่เกิดมาจากตอนที่ฝึกอบรมทั้งนั้น ยังมีแผลเป็นส่วนใหญ่ที่ได้มาจากตอนที่ปฏิบัติภารกิจอีกด้วย
หลังจากที่เนี่ยเฟิงออกมาจากห้องจำลอง เครื่องบินลำแรกที่ได้แตะเลยก็คือเครื่องบินรบ
ในตอนนั้นเขาอบรมอยู่หนึ่งปี เขาที่อายุสิบเจ็ดปีได้ขับเคลื่อนเครื่องบินรบขึ้นสู่ท้องฟ้า มือและใจของเขาในตอนนั้นสั่นสุดๆ
เครื่องบินรบขนาดเล็กเหล่านี้มีคนขับแค่คนเดียว แล้วคนคนนี้ก็คือคนขับเคลื่อนนั่นเอง
เนี่ยเฟิงจำได้เสมอว่าคนที่เสร็จจากการฝึกอบรมในกลุ่มเดียวกันทั้งหมดมีสิบสี่คน หกคนตายไปเนื่องจากปฏิบัติไม่ถูกต้อง ทำให้เสียชีวิตจากเครื่องบินตก
หลังจากที่เนี่ยเฟิงลงมาจากเครื่องบินรบ ก็เริ่มลองขับเครื่องบินแบบอื่นๆอีกหลายชนิด เขาในตอนนี้คุ้นชินและชำนาญแล้ว
หลังจากที่พวกเขาเริ่มคุ้นชินกับเครื่องบินแล้ว ครูฝึกอบรมก็ให้พวกเขาขับเครื่องบินเข้าสู่สงคราม แต่ครั้งนี้เป็นสงครามจริงๆ ดงปืนห่ากระสุนมีเครื่องบินจำนวนไม่น้อยที่ถูกโจมตี
ความสามารถในการตอบสนองของเนี่ยเฟิงรวดเร็วมาก แทบจะไม่ให้โอกาสอะไรพวกเขาได้โจมตีเลยแม้แต่น้อย
มีอยู่หลายครั้ง เครื่องบินรบของเขากับกระสุนปืนใหญ่ของอีกฝั่งลอยมาเฉียดกัน ตอนนี้พอนึกถึงแล้วก็รู้สึกกลัวไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
เมื่อเทียบกับการที่ขับเครื่องบินรบไปต่อสู้ในสงคราม การบินพลเรือนในตอนนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
เนี่ยเฟิงเก็บอารมณ์ความรู้สึก มองทีมอบรมพิเศษที่กำลังพูดอธิบายรายละเอียดยิบย่อยอยู่
“พวกคุณล้วนแต่เป็นนักบินและผู้ช่วยนักบินที่มาใหม่ ดังนั้นพวกคุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ การบินในแต่ละครั้งล้วนแต่เป็นการท้าทาย หน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของพวกคุณก็คือให้ผู้โดยสารไปที่ถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย”
หัวหน้าที่รับผิดชอบในการพูดอธิบายของทีมเป็นคนต่างชาติ ชื่อว่าไมค์
ไมค์เป็นฝรั่งผมเหลืองตาฟ้าทั่วไป รูปร่างสูงใหญ่ ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตลอดทั้งการฝึก
“เอาล่ะ พวกคุณมีใครจะขึ้นมาลองสักหน่อยไหม?”
นี่มันก็แค่ห้องจำลอง ต่อให้ขึ้นไปก็คงไม่เป็นไร ถึงยังไงก็ไม่ใช่การบินจริงๆ
ในคนพวกนี้มีคนไม่น้อยที่เคยบินกับเครื่องบินมาแล้ว
แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ไม่เคยปฏิบัติจริง แต่การฝึกในห้องห้องจำลองพวกเขาก็สัมผัสมาไม่น้อยแล้วเหมือนกัน
ตอนที่เนี่ยเฟิงฝึกอบรมในตอนแรก ห้องจำลองเป็นห้องที่เขาเข้าไปบ่อยที่สุด ถึงขนาดที่กินอยู่ในห้องจำลองเลยก็ว่าได้
“โอ้ ว่าแล้วทำไมถึงไม่เห็นนายจากในกลุ่มพวกหน้าหล่อพวกนั้น ที่แท้นายก็วิ่งแจ้นมาอยู่ตรงนี้นี่เอง ทำไมเหรอ? หรือว่านายอยากจะเป็นนักบินหรือไง?”
ซ่าวเจ๋ตัวน่ารำคาญกะไม่ปล่อยเนี่ยเฟิงกับโจวลี่ซือได้อยู่กันดีๆ ตั้งแต่เมื่อกี้ ซ่าวเจ๋ก็เอาแต่มองตามเนี่ยเฟิง
พอเห็นเนี่ยเฟิงมาอยู่ตรงนี้ ซ่าวเจ๋ก็รีบตามมาทันที
เห็นเนี่ยเฟิงเหม่อมองห้องจำลองแบบนั้นแล้ว ซ่าวเจ๋ก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“นายซ่าว ทำไมถึงว่างขนาดนี้? หรือว่านายไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้ว?”
โจวลี่ซือพูดออกไปแบบไม่มีความเกรงใจแม่แต่น้อย
“แน่นอนว่าผมมีเรื่องให้ทำอยู่แล้ว แต่ผมจะมาดูที่นี่สักหน่อย แล้วมันจะทำไม? ถึงยังไงผมกับไมค์เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน”
ซ่าวเจ๋พูดพลางเดินตรงเข้าไป เขาตบๆไหล่ของไมค์ เนื่องจากไมค์รูปร่างสูงใหญ่ ดังนั้นซ่าวเจ๋จึงดูค่อนข้างเตี้ยเมื่อไปยืนเทียบอยู่กับไมค์
ทั้งสองคนยืนด้วยกันแล้วดูยังไงก็ตลกสุดๆ
“ซ่าวเจ๋ ไม่เจอกันนานเลยนะ คิดไม่ถึงว่าเพลย์บอยที่กินนอนทั้งวันแบบนายจะมาเข้าร่วมการฝึกอบรมแบบนี้ด้วย”
สมแล้วที่พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่เมื่อกี้ไมค์ก็สังเกตเห็นผู้ช่วยนักบินที่ดูดีมีสง่าราศีคนหนึ่ง
โจวลี่ซือที่หน้าตาดีอยู่แล้ว บวกเข้ากับในกลุ่มพวกเขามีแต่นักบินผู้ชายซะส่วนใหญ่ นักบินผู้หญิงเรียกได้ว่าเป็นของหายากสุดๆ
โจวลี่ซือที่หน้าตาสวยงามอ่อนเยาว์ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าพวกผู้ชาย ดูมีสง่าราศีอย่างเห็นได้ชัด
ท่ามกลางพวกเขา ส่งเสริมให้ใบหน้าที่สวยงามของโจวลี่ซือดูสะดุดตากว่าเดิมไปอีก
“ฉันก็ต้องเข้าร่วมอยู่แล้วสิ ถึงยังไงฉันก็ทำงานด้านสายการบินอยู่แล้ว ฉันจะต้องมาดูสักหน่อยว่าทีมของฉันเป็นยังไงบ้าง”
ซ่าวเจ๋ฉีกยิ้มกว้าง“โจวลี่ซือ จริงๆแล้วผมก็จบมาจากสถาบันการบินเหมือนกัน พูดๆแล้วพวกเราก็เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องกันก็ได้นะ ว่ากันตามหลักพวกเราน่าจะมีประเด็นให้คุยกันสิถึงจะถูก คุณดูไอ้หน้าหล่อเกาะผู้หญิงกินนั่นสิไม่รู้เรื่องอะไรสักนิด ยืนหน้ามึนอยู่ตรงนั้น เหมือนกับคนโง่คนหนึ่ง คนแบบนี้มันน่าสนใจตรงไหน?”
โจวลี่ซือหรี่ตา“ขอโทษนะ ตอนนี้เป็นการฝึกอบรม ขอความกรุณาคุณอย่าพูดอะไรที่มันไม่เกี่ยวกับการฝึกอบรมด้วยค่ะ”
“อ้อ!ในเมื่อคุณบอกว่าเป็นการฝึกอบรม ถ้าอย่างนั้นผมก็จะสอนเขาสักบทเรียน!ให้เขาได้เห็นถึงความต่างระหว่างพวกเรา แล้วก็จะทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจนี้ไปซะ เพราะว่าคนแบบเขา ทั้งชีวิตนี้ไม่มีทางได้เป็นนักบินหรอก!”
ซ่าวเจ๋สบถหึออกมา หลังจากพูดจบเขาก็เข้าไปนั่งข้างในห้องจำลอง“นาย!มาดูนี่ซะสิ!”
เนี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินตรงเข้าไป“นายจะให้ฉันดูอะไร?”
“แน่นอนว่าจะให้นายมาดูว่าฉันจะจัดการควบคุมกับอุปกรณ์ที่ทั้งยุ่งยากและแม่นยำสูงแบบนี้ยังไง!ให้นายได้เห็นว่าเครื่องบินบินขึ้นจากพื้นราบขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ยังไง!”
ซ่าวเจ๋ตบๆลงที่อุปกรณ์ควบคุมในห้องจำลองด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ
“แค่นี้?”
ตอนแรกซ่าวเจ๋รู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบ แต่คิดไม่ถึงว่าเนี่ยเฟิงจะพูดออกมาแค่สองคำ
ซ่าวเจ๋โกรธสุดๆ“นี่นายหมายความว่ายังไง!”
“ฉันบอกว่านายมีความสามารถแค่นี้เหรอ? ควบคุมเครื่องบินให้บินขึ้นบนฟ้า นี่มันความรู้เบื้องต้นเลยไม่ใช่หรือไง? นี่มันน่าอวดตรงไหน นักบินที่นี่ก็ทำได้ทั้งนั้น ทำไม? หรือว่านายคิดว่าฉันทำไม่ได้ นายก็เลยจะทำตัวว่าอยู่เหนือกว่าฉันอย่างนั้นเหรอ?”
เนี่ยเฟิงยิ้มหรี่ตา นักบินข้างๆต่างพากันขำออกมาอย่างอดไม่ได้
ซ่าวเจ๋โกรธจนทนไม่ไหว“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!”
“ถ้าพวกเราจะเทียบกันแล้วก็ช่วยเทียบอะไรที่มันน่าสนใจกว่านี้หน่อยสิ”
เนี่ยเฟิงพูดพลางนั่งลงบนเครื่องจำลองที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนเป็นโหมดบินคนเดียว
“แต่ว่าฉันต้องถามก่อน ว่านายกล้ามาแข่งเทียบกับฉันหรือเปล่า?”
ซ่าวเจ๋เห็นเนี่ยเฟิงเปลี่ยนโหมด ก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย หรือว่าก่อนหน้านี้โจวลี่ซือบอกวิธีการขับเครื่องบินกับเขาไว้แล้ว?
แต่ต่อให้บอกแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ ถึงยังไงซ่าวเจ๋ก็ผ่านการอบรมจากสถาบันโดยเฉพาะมา เนี่ยเฟิงมันจะเทียบได้ยังไง?
“ทำไมฉันจะไม่กล้าแข่ง? ฉันก็แค่กังวลว่าจะมีบางคนขายขี้หน้าน่ะสิ!