พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 141 แผนการชัดเจน
บทที่ 141 แผนการชัดเจน
“คุณอย่ารังแกกันเกินไปนัก หรือคุณคิดว่างานนิทรรศการนี้ให้บริการแค่คุณคนเดียวงั้นหรือ? หากเป็นอย่างนี้ล่ะก็ งั้นจะให้พวกเรามาดูงานนิทรรศการทำไม? ผมไม่มีกำลังซื้อ แล้วคุณมีกำลังซื้อเหรอ? ในเมื่อคุณเองก็ไม่มีกำลังซื้อเครื่องบินเช่นกัน อย่างนั้นก็อย่าพูดดีกว่า”
เมื่อกี้คนที่จ่ายเงินซื้อเครื่องบินเหล่านั้นไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรทั้งสิ้น หลังจากเจ้าตัวขึ้นรถแล้ว ก็ใช้สายตาแปลกๆ มองพวกเขาอยู่ตลอด ตอนนี้ยังเริ่มพ่นคำวิจารณ์ประหลาดๆ ออกมาอีก
คนเช่นนี้ไม่ใช่เจตนาแล้วเป็นอะไร?
“ใครว่าผมไม่มีกำลังซื้อกัน? ต่อให้ผมซื้อได้ผมก็ไม่อยากซื้อแล้ว เพราะพวกคุณกำลังส่งกลิ่นยาจกไปทั่วร่างอยู่ที่นี่ ผมอยากซื้อนะ ผมเองก็มีใจอยากช่วยแต่ก็เกินความสามารถที่จะช่วยได้ และไม่รู้ว่าพวกคุณสองคนปะปนเข้ามาได้ยังไง พวกคุณคิดว่างานนิทรรศการนี้เป็นงานนิทรรศการทั่วไปงั้นหรือ?”
พอจางเจิ้นกั๋วพูดคำนี้ออกมา คนอื่นๆ ที่อยู่บนรถก็หันไปมองพวกเขาสองคนทันที เนี่ยเฟิงกับโจวลี่ซือพลันกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา
เดิมทีที่อยู่ที่นี่ก็เพราะความมั่งคั่งและสูงศักดิ์ ทุกคนล้วนอยากมีสภาพแวดล้อมที่ดีสักแห่ง หากคนเช่นนี้มานั่งปะปนในรถคันเดียวกับพวกเขาจริงๆ ไม่แน่อาจจะลากพวกเขาลงต่ำไปด้วยก็เป็นได้
“ผมจำได้ว่างานนิทรรศการที่จัดขึ้นในครั้งนี้มีรถโดมอยู่ประมาณสามคัน และรถโดมสามคันนี้ คันแรกก็เป็นของคนที่มีกำลังซื้ออย่างพวกเรา”
จู่ๆ เวลานี้ก็มีคนเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“มันก็จริงอยู่ หากพวกคุณซื้อเครื่องบินที่แพงขนาดนี้ไม่ไหว อย่างนั้นก็ควรไปต่อแถวที่ด้านหลัง จากนั้นก็นั่งรถโดมของเครื่องบินราคาถูกที่แนะนำเหล่านั้น ดีกว่ามานั่งในรถโดมคันนี้ของพวกเรา อีกทั้งผมเห็นว่าพวกคุณเองก็คงไม่มีทางซื้อเครื่องบินเช่นกัน”
คนที่อยู่บนรถเริ่มแย่งกันพูด กระทั่งเซลก็เริ่มลังเลแล้วเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับไม่มีการเสนอให้ตรวจสถานะอย่างละเอียดสักเท่าไหร่
“คุณดูสิ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึกว่าพวกคุณไม่เหมาะจะมาอยู่ที่นี่ กระทั่งคนอื่นก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”
คนที่ไม่มีกำลังซื้อเช่นนี้มานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนโดนสบประมาท
คนเหล่านี้มีไม่น้อยที่ใจดำอย่างมาก เห็นพวกเขาเอาแต่ซุบซิบนินทาไม่หยุด
“พวกเขาสองคนไม่รู้กฎหรือเปล่า ดูท่าจะมางานนิทรรศการเครื่องบินเป็นครั้งแรก”
“นั่นสิ แม้หน้าตาของผู้หญิงคนนั้นจะสวยมาก แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะมานั่งอยู่ตำแหน่งCได้”
จางเจิ้นกั๋วที่อยู่อีกด้านทำการยุยงปลุกปั่นต่อ ได้ยินทุกคนรุมต่อว่าเนี่ยเฟิงกับโจวลี่ซือ จางเจิ้นกั๋วก็รู้สึกสุขใจเป็นพิเศษ และในตอนนี้จางเจิ้นกั๋วได้ใช้มือถือถ่ายไลฟ์สดให้ญาติผู้น้องของตัวเองดู
พอซ่าวเจ๋ที่อยู่ที่บ้านเห็นฉากนี้เข้า ก็รู้สึกเพียงสุขใจอย่างมาก เขาไม่ระวังฉีกยิ้มกว้างจนไปสะเทือนแผลบนใบหน้า เจ็บจนแยกเขี้ยวออกมา
แต่ต่อให้สะเทือนบาดแผล ซ่าวเจ๋ก็รู้สึกมีความสุขมากอยู่ดี ได้เห็นสองคนนี้ถูกหักหน้า เขาก็สุขใจแล้ว
เนี่ยเฟิงหรี่ตา กำลังค้นหาภาพที่ตนเองกับจางเจิ้นกั๋วพบหน้ากันในสมอง พอพบแล้วเนี่ยเฟิงก็แน่ใจว่าเขากับจางเจิ้นกั๋วไม่เคยมีความแค้นกันมาก่อน ถ้าอย่างนั้นที่จางเจิ้นกั๋วโจมตีพวกเขาเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่
นี่เป็นครั้งแรกที่เนี่ยเฟิงมาเมืองเยี่ยนตูหลังจากไม่ได้มานานหลายปี ดังนั้นเขาไม่มีทางมีศัตรูอยู่ที่นี่
นอกจากซ่าวเจ๋ที่ทะเลาะกับพวกเขาเมื่อวาน
สองคนนี้ดูเหมือนจะมีจุดที่เหมือนกันอยู่บ้าง หยิ่งยโสเหมือนกัน แถมหน้าตายังมีส่วนคล้ายกันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้นิ้วของเนี่ยเฟิงจึงจิ้มลงไปบนมือถืออย่างรวดเร็ว คนของสำนักมังกรส่งข้อมูลของจางเจิ้นกั๋วมาให้ทันที
ที่แท้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนี่เอง มิน่าทั้งสองคนถึงพูดจาเหมือนกันเปี๊ยบ
เนี่ยเฟิงยิ้มเย็น ซ่าวเจ๋ขายหน้าไม่กล้ามาแล้ว แต่เขากลืนคำพูดไม่ลง ดังนั้นจึงตั้งใจให้ญาติผู้พี่ของตัวเองมาหาเรื่องต่อ
“หรือว่าคนที่อยู่บนรถคิดแบบนี้กันหมดเลยใช่ไหม?”
เนี่ยเฟิงหรี่ตา เสียงดังอยู่บ้าง พอเนี่ยเฟิงพูดคำนี้ออกมาก็แสดงว่าได้ล่วงเกินคนบนรถนี้ทั้งหมดแล้ว ควรรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ มีไม่น้อยที่เป็นเศรษฐี
เศรษฐีเหล่านี้ส่วนใหญ่ชอบอวดทรัพย์สินของตัวเอง พวกเขาอยู่เมืองเยี่ยนตูร่ำรวยและสูงศักดิ์ อีกทั้งพวกเขาก็มาเยือนเมืองเยี่ยนตูไม่ได้ขาด เมืองเยี่ยนตูจัดแสดงนิทรรศการเครื่องบินในครั้งนี้ จึงเป็นหน้าตาของประชาชนทั้งประเทศ
ควรรู้ว่าพวกเขาต่างเป็นคนมีฐานะ มาที่นี่ย่อมหวังให้คนอื่นเคารพพวกเขา คนไม่มีเงินปะปนเข้ามาอยู่ในกลุ่มคนมีเงินเช่นนี้ พวกเขาจะต้องรู้สึกว่าระดับของตนเองถูกดึงให้ลดต่ำลงไปด้วย พอคิดมาถึงตรงนี้ ทุกคนจึงถูกปลุกระดมขึ้น
“ฝ่ายจัดงานควรเชิญพวกคุณสองคนลงรถไปจะดีกว่า เห็นพวกเขาสองคนถือดีนัก ไม่มีเงินซื้อเครื่องบินเสียด้วยซ้ำ งั้นขึ้นมาทำอะไร?”
“จริงด้วย ถึงกับยกตนข่มพวกเรา คนชั้นต่ำไม่มีเงินเหล่านี้ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ”
โจวลี่ซือรู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ
เดิมทีเธอคิดว่าคนเหล่านี้พูดอะไรก็ควรจะมีสมองสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะถึงกับถูกคนปั่นหัวได้ง่ายจนพูดจาไร้สมองแบบนี้ออกมา ไม่เหมือนคนที่ผ่านการอบรมบ่มนิสัยมาเลยสักนิด
“อย่างนั้นผมขอถามหน่อยว่า ทุกคนที่นั่งอยู่เคยซื้อเครื่องบินแล้วหรือยัง? อยู่ที่นี่มีกำลังซื้อกันหมดใช่ไหม? หากไม่ซื้อเครื่องบิน งั้นก็ลงรถไปพร้อมกับพวกเราเถอะ”
เนี่ยเฟิงวางตัวไม่ต้อยต่ำไม่จองหอง หลังคนอื่นๆ ได้ยินก็พากันโกรธ พวกเขาบางส่วนแค่มาดูนิทรรศการเครื่องบิน ไม่ได้คิดจะซื้อเครื่องบินสักหน่อย แต่พอเนี่ยเฟิงพูดคำนี้ออกมา ก็ยุให้พวกเขาอยากเอาชนะขึ้นมา
ในรถโดมมีคนอยู่ประมาณสิบห้าคน เมื่อครู่มีคนซื้อเครื่องบินราคาหนึ่งล้านไป ส่วนคนอื่นๆ ยังคงมองๆ อยู่ พวกเขาไม่ได้ซื้อเครื่องบิน แต่กลับรู้สึกว่ายาจกที่ไม่มีปัญญาซื้อเครื่องบินเหล่านั้นมาปะปนอยู่ในหมู่พวกเขา ทำให้พวกเขาขายหน้าอย่างมาก
“คนอย่างนายมาพูดพล่ามอะไร หากพวกเราต้องการซื้อก็ต้องซื้อไหวอยู่แล้ว แต่พวกนายต่างหาก ซื้อเครื่องบินที่นี่ไหวหรือ? กลัวแต่ว่าจะซื้อไหวแค่ไม่กี่แสนเท่านั้นเองหรอกมั้ง? ซื้อได้แค่ไม่กี่แสนก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งรถคันเดียวกับพวกเรา ฝ่ายจัดงานก็จริงๆ เลย ถึงกับจัดคนธรรมดามานั่งกับพวกเรา”
“นั่นน่ะสิ พวกนายนั่งอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะลากพวกเราต่ำลงไปด้วย ดังนั้นพวกนายลงจากรถไปเถอะ”
“บางครั้งผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าคนอย่างพวกคุณเนี่ยไม่มีไอคิวกันหรือไง คนอื่นบอกลมพวกคุณก็บอกฝน พวกเขาบอกว่าพวกเราไม่มีเงิน อย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีเงินจริงๆ หรือ?”
เนี่ยเฟิงหรี่ตา จากนั้นก็ชี้ไปที่เครื่องบินลำหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง “จากนี้ไปเครื่องบินลำนี้ราคาจะสูงขึ้น จากราคาไม่กี่สิบล้านอาจไปถึงขั้นร้อยล้าน อย่างนั้นพวกคุณซื้อเครื่องบินแบบนี้ไหวหรือเปล่า?”
“ไอ้เด็กโสโครก คนอวดดีอย่างแกนี่ ซื้อไหวซื้อไม่ไหวก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแก!”
“งั้นพวกเราจะนั่งหรือไม่นั่งรถคันนี้แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกคุณล่ะ? พวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้พวกเราลงจากรถ?”
พอเนี่ยเฟิงพูดคำนี้ออกมาทุกคนก็เงียบเป็นเป่าสาก
“บางครั้งผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคนอย่างพวกคุณเนี่ยกำลังภูมิใจอะไรอยู่ มีเงินทองแค่นี้ยังกล้าชูคอออกมาอีก”
เนี่ยเฟิงส่ายศีรษะ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่จางเจิ้นกั๋ว เมื่อกี้เพราะจางเจิ้นกั๋วนี่แหละที่ยุยงใส่ไฟ