พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 179 ปฏิบัติภารกิจ
บทที่ 179 ปฏิบัติภารกิจ
“ทำไมครั้งนี้ถึงไม่นับล่ะ? ผมชนะแล้วนะ หรือว่าพี่สองคิดจะโกงอย่างนั้นเหรอ?”
เนี่ยเฟิงส่ายหัว ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นมา เขายังคงกดหยูจิงหงไว้อยู่
เรี่ยวแรงของหยูจิงหงก็น้อยกว่าเนี่ยเฟิง ไม่ว่าจะขัดขืนยังไง ก็ไม่สามารถสลัดให้หลุดออกจากมือของเนี่ยเฟิงได้
“ฉันจะโกงได้ยังไง เห็นๆอยู่ว่านายโกงก่อน เมื่อตะกี้นายโจมตีมาที่ส่วนไหนของฉัน? หรือว่าจะให้ฉันพูดออกมาไหม? ไอ้เด็กน้อย?”
หยูจิงหงจ้องเนี่ยเฟิงอย่างอารมณ์ดีและตลกขบขัน เนี่ยเฟิงในเวลานี้กลับตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่มันเรียกว่าการใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะศัตรูต่างหากล่ะ ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน อยากที่จะเอาชนะก็ต้องใช้ทุกวิถีทาง”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ไร้ซึ่งคุณธรรมในการต่อสู้น่ะสิ”
หยูจิงหงพูดขึ้นต่อ“แต่ว่านายพูดถูกต้องสุดๆ จริงๆแล้วเพื่อชัยชนะเราจะต้องทำทุกวิถีทาง”
คิดไม่ถึงว่าในเวลานี้เอง จู่ๆหยูจิงหงจะชิงลงมือก่อนอีกครั้ง เธอเตะขาไปที่ส่วนล่างของเนี่ยเฟิง!
ความสามรถในการตอบสนองของเนี่ยเฟิงรวดเร็วมาตลอด แต่ความเร็วของหยูจิงหงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
เนี่ยเฟิงไม่สามารถกดหยูจิงหงได้ต่อแล้ว ทำได้แค่ถอยออกไปหนึ่งก้าว
ส่วนหยูจิงหงในตอนนี้ก็กระโดดขึ้นมาจากพื้น สีหน้าเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่สองขี้โกงจริงๆ ไม่คิดว่าพี่จะโจมตีจุดนั้นของผม ถ้าพวกเราตระกูลเนี่ยไม่มีทายาทสืบสกุลต่อ จะทำยังไงล่ะ?”
“ฉันคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว นายมีความสามารถแบบนี้อยู่ นายไม่มีทางยอมโดนโจมตีง่ายๆหรอก?”
หยูจิงหงปัดๆฝุ่นที่ตัว“จริงๆแล้วดูจากท่าทางการดินกับความสามารถในการตอบสนองที่ว่องไวและเฉียบแหลม ก็พบว่าตอนนี้ศิลปะการต่อสู้ของนายเก่งขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้วนะ”
ดังนั้นหยูจิงหงจึงจงใจสู้กับเนี่ยเฟิงอีกรอบ
“จะต้องมีความสามารถในการป้องกันตัวเองด้วยถึงจะดี ถึงยังไงที่ต่างประเทศไม่มีใครจะมาออมมือให้กับผมเหมือนกับพี่สองหรอก”
“เอาล่ะ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเล่นลิ้นอะไรแล้ว”หยูจิงหงเดินมาที่ม้านั่งที่พวกเขานั่งกันเมื่อตะกี้ หยิบเบียร์ออกมาหนึ่งกระป๋อง เปิดฝาออก จากนั้นก็ดื่ม
“พูดๆแล้วผมยังไม่ได้ถามพี่สองเลย พี่มาที่นี่ได้ยังไง? หรือว่าวันนี้เป็นวันหยุดเหรอ?”
เนี่ยเฟิงหยิบมาหนึ่งกระป๋อง ก่อนจะดื่มไปหนึ่งคำ
“วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ตอนนี้ฉันยังปฏิบัติภารกิจอยู่”
แม้ว่าหยูจิงหงจะถูกลดระตำแหน่งลงมา แต่ตอนนี้ก็เป็นถึงผู้บัญชาการของทีมนักรบหมาป่า
แต่ความสามารถของหยูจิงหงก็เป็นเลิศมากๆ ดังนั้นในทีมจึงตัดสินใจให้โอกาสเธออีกสักครั้ง
“ภารกิจในครั้งนี้อันตรายมากๆ ดังนั้นเบื้องบนจึงให้เวลาฉันหนึ่งวัน กลับมาลำลึกความหลังกับญาติสนิทมิตรสหายของตัวเอง”
ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว แสดงว่าภารกิจในครั้งนี้อันตรายมากจริงๆ เนี่ยเฟิงขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงกังวล
“นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ขนาดนั้นก็ได้ จริงๆแล้วพวกพี่สาวของไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ฉันก็มาบอกกับนายเท่านั้น ฉันทำภารกิจแบบนี้มาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว”
เนื่องจากหยูจิงหงทำภารกิจที่อันตรายแบบนี้มามากมายหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ก็เลยรู้สึกชินไปเรียบร้อยแล้ว
“แต่ฟังพี่พูดแบบนี้ ผมกลับยิ่งเป็นห่วง บอกผมหน่อยได้ไหมว่าภารกิจในครั้งนี้คืออะไร?”
“ฉันบอกนายไปจนหมดแล้ว ภารกิจในครั้งนี้ต้องไปปฏิบัติที่เมืองจินไห่ จริงๆแล้วฉันไม่สามารถบอกนายได้ ถึงยังไงนี่มันก็เป็นความลับ เอาล่ะนายไม่ต้องเป็นห่วง ฉันออกจะสุดยอดขนาดนี้ จะถูกคนพวกนั้นจัดการได้ยังไงล่ะ?”
หยูจิงหงรู้ว่าเนี่ยเฟิงกำลังโทษตัวเอง เนี่ยเฟิงอาจจะกำลังคิดอยู่ว่าการที่ตนเองถูกลดตำแหน่งลงนี้มันเกี่ยวข้องกับเขา แต่มันก็แล้วแต่คนจะคิด
เรื่องที่หยูจิงหงทำตัวเองก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่หยูจิงหงไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแม้แต่น้อย
เนี่ยเฟิงรู้นิสัยของพี่สองของตัวเองดี ต่อให้ถามต่อไป พี่สองก็ไม่มีทางบอกเขาแม้แต่เสี้ยวเดียวแน่นอน ดังนั้นเนี่ยเฟิงจึงพยักหน้า
“ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่สองออกเดินทางในครั้งนี้ต้องระมัดระวังตัวให้ดีนะครับ จะต้องลงโทษพวกคนร้ายให้ได้ล่ะ”
หลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกันเสร็จ ก็จวนจะได้เวลาแล้ว หยูจิงหงมองนาฬิกาในมือ จากนั้นก็พูดกับเนี่ยเฟิง
“ที่ฉันกลับมาที่เมืองจินไห่ในครั้งนี้ แท้จริงแล้วกะที่จะมาเดินเล่นๆที่นี่สักหน่อยแล้วค่อยจากไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับนายที่นี่ แสดงว่ามันเป็นพรหมลิขิตของพวกเราสองพี่น้อง ดังนั้นเรื่องที่มาบอกลาในครั้งนี้ฉันก็บอกนายเลยแล้วกัน นี่มันเป็นความลับของพวกเราสองคน ต่อให้นายบอกพี่ๆคนอื่น พวกเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะทำให้พวกเธอเป็นกระวนกระวายใจก็เท่านั้น”
คำพูดของหยูจิงหงชัดเจนอยู่แล้ว ความหายก็คือให้เนี่ยเฟิงปิดปากมิดชิด อย่าพูดออกมา ทำให้พี่ๆคนอื่นต้องรู้สึกตื่นตกใจ ส่วนเนี่ยเฟิงก็พยักหน้าพร้อมกับพูดรับปาก
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะไม่ทำให้พี่ๆคนอื่นๆต้องตื่นกลัวหรอกครับ ครั้งนี้พี่สองต้องระมัดระวังตัวด้วยนะ”
หลังจากเนี่ยเฟิงพูดจบก็ก้าวเท้าเข้าไปกอดหยูจิงหงไว้ ราวกับกำลังบอกลาหยูจิงหง
แต่ความจริงแล้วเนี่ยเฟิงกลับเอาเครื่องติดตามขนาดเท่าเม็ดงาติดเอาไว้ที่หลังคอของหยูจิงหง
เครื่องติดตามประเภทนี้เรียกว่าเครื่องติดตามไบโอนิกส์ สามารถติดอยู่ที่ผิวหนังได้
ไม่ว่าเจอน้ำหรือว่าความร้อน เครื่องติดตามไบโอนิกส์นี้ก็จะไม่มีทางหลุด นี่ก็เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนามาออกมาใหม่ล่าสุดของสำนักมังกร
ตอนนี้มีหลายประเทศที่อยากจะซื้อ แต่เนี่ยเฟิงยังต้องดูก่อนว่าความน่าเชื่อถือของประเทศไหนมีสูงกว่าจึงจะขายให้กับประเทศนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าหวัง
หลังจากที่หยูจิงหงจากไปแล้ว เนี่ยเฟิงก็เปิดมือถือ เครื่องติดตามไบโอนิกส์นี้ละเอียดสุดๆ สามารถตรวจได้ถึงทิศทางการเคลื่อนที่ของคน แถมสามารถเชื่อมต่อได้กับดาวเทียมทั้งหมดที่อยู่ใกล้ๆได้อีกด้วย
บนมือถือของเนี่ยเฟิงมีภาพปรากฏขึ้นมาสองสามภาพ ภาพพวกนี้ก็คือสถานที่ที่หยูจิงหงมุ่งตรงไปที่ดาวเทียมเก็บภาพไว้ได้
ดาวเทียมพวกนี้ก็เป็นดาวเทียมที่สำนักมังกรของเนี่ยเฟิงส่งขึ้นไป เพื่อให้องค์กรข่าวกรองได้ใช้ นอกจากเขาแล้วคนที่สามารถใช้ได้ก็คือองค์กรข่าวกรองนั่นเอง
ภารกิจที่หยูจิงหงออกไปปฏิบัติในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะไปตัวคนเดียว
เห็นเธอเดินเข้าไปในซอยเล็กๆซอยหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปในโรงแรมซอมซ่อเล็กๆแห่งหนึ่ง
โรงแรมแบบนี้ไม่ต้องใช้บัตรประชาชนในการเช็คอิน เดินเข้าไปพักหนึ่งคืนอย่างแพงสุดก็ไม่เกินสามสิบหยวน
“องค์กรข่าวกรองติดตามสอดส่องสถานการณ์พี่สองของฉันอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบเส้นทางในช่วงสองสามวันนี้ของพี่สอง แล้วก็ตรวจสอบภารกิจที่ทีมของพวกเขามอบหมายให้กับพี่สองของฉันด้วยว่าคือภารกิจอะไรกันแน่”
เนี่ยเฟิงพูดออกคำสั่งองค์กรข่าวกรอง องค์กรข่าวกรองรีบตอบกลับอย่างทันที
“ราชามังกรวางใจได้ พวกเราจะคอยสังเกตติดตามการเคลื่อนไหวของเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แล้วก็จะรายงานสถานการณ์ให้ท่านทราบโดยทันที”
เนี่ยเฟิงพยักหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ดีแล้ว
เนี่ยเฟิงกลับมายังบ้านวิล่าแต่กลับพบว่าข้างในมืดมิด ดูท่าแล้วช่วงนี้พวกพี่สาวคงจะยุ่งมากๆ น่าจะไม่มีเวลามาสนใจตัวเอง
วันต่อมา เนี่ยเฟิงเพิ่งจะได้รับข้อมูลที่สำนักมังกรส่งมา“เรียนท่านราชามังกร เป้าหมายเคลื่อนย้ายตำแหน่ง ตอนนี้มุ่งตรงไปยังท่าเรือจินไห่”
พี่สองไปทำอะไรที่ท่าเรือจินไห่? หรือว่าภารกิจนี้มันเกี่ยวข้องกับท่าเรือจินไห่อย่างนั้นเหรอ?
เนี่ยเฟิงหรี่ตาลง“สังเกตอย่างใกล้ชิดต่อไป อย่าให้เกิดความประมาทใดๆทั้งสิ้น”
หยูจิงหงปลอมตัวเสร็จแล้วก็มาถึงที่ท่าเรือ ตอนนี้เธอดูไม่ต่างกับเพศชายวัยรุ่นคนหนึ่ง