พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 205 ซื้อไม่ไหว
บทที่ 205 ซื้อไม่ไหว
อันที่สามารถแสดงราคาให้ดูได้ แน่นอนก็ต้องเป็นพวกสินค้าที่ราคาค่อนข้างแพง
คางเมิ่งด้านหนึ่งก็ถอนหายใจออกมา หินหยกพวกนี้สวยสุดไปเลยๆ ส่วนอีกด้านก็ตกใจอยู่ไม่น้อยกับราคาเหล่านี้
“พี่เจ็ดชอบเหรอ ถ้าเกิดคุณชอบผมซื้อให้คุณได้นะ”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในงานจัดแสดงนี้เป็นของเนี่ยเฟิงทั้งสิ้น ไม่ว่าคางเมิ่งจะชอบอะไรเนี่ยเฟิงก็สามารถให้เธอได้เลยทันที ต่อให้คางเมิ่งชอบทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ เนี่ยเฟิงก็ให้ได้
คางเมิ่งส่ายหัวทันที“ไม่ต้องๆ ของพวกนี้แพงเกินไปจริงๆ ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ไปดูที่ร้านหยกยังไม่ได้แพงขนาดนี้ ทำไมพอมาถึงที่นี่แล้วกลับแพงซะงั้นล่ะ? เพราะว่าเป็นงานประมูลใช่ไหม?”
“หินหยกมีทั้งถูกทั้งแพง แต่คุณพูดถูก เพราะว่าเป็นงานประมูล ดังนั้นสินค้าที่จัดแสดงออกมาจึงค่อนข้างแพงกว่าหน่อย แล้วก็เป็นหยกเกรดดีกว่าหน่อยน่ะ”
คางเมิ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าดูจากการงานฝีมือรวมถึงสีของหยกก็พอจะรับกับราคาพวกนี้ได้อยู่ คนที่เดินไปมามากมายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้โชว์ที่มีหยกเหล่านี้วางโชว์อยู่
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่จัดงานนิทรรศการนี้เป็นใครกันแน่ ถ้าพวกเขาขาดแบรนด์แอมบาสเซอร์ล่ะก็ ฉันรู้สึกว่าฉันเหมาะสมอยู่ไม่น้อยเลยนะ ฉันผิวขาว พอเอาหินหยกพวกนี้มาสวมใส่บนตัวของฉันแล้วก็น่าจะดึงเอกลักษณ์ของมันออกมาได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ!”
คางเมิ่งเชิดคางขึ้นด้วยความภูมิใจ เนี่ยเฟิงที่อยู่ข้างๆได้ยินเข้า ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ยิ้มอะไร หรือฉันพูดผิดอย่างนั้นเหรอ? นายลองดูคนที่อยู่ตามถนนสิ มีใครที่มีผิวขาวกว่าฉันบ้าง? เหอะ!”
คางเมิ่งทำท่าทางยโสทะนงตัวแบบนี้แค่ต่อหน้าของเนี่ยเฟิงคนเดียวเท่านั้น ถ้าอยู่ในสายตาของคนอื่น เธอก็จะเป็นผู้หญิงประเภทที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปถามให้คุณแล้วกัน ว่าพวกเขาต้องการหาแบรนด์แอมบาสเดอร์ไหม? ถ้าเกิดผมถามได้แล้ว พี่เจ็ดจะให้รางวัลผมใช่ไหม?”
“ถุ้ย!การที่น้องชายจะช่วยจัดการธุระต่างๆของพี่สาวมันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว นายยังจะมาตักตวงผลประโยชน์จากฉันอีกหรือไง? เก่งจริงๆนะนายเนี่ย คายอาหารเช้าที่นายกินวันนี้ออกมาให้หมดเลยนะ!”
คางเมิ่งพูดพลาง ผลักมือของเนี่ยเฟิงออก
เนี่ยเฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าอมทุกข์ทันที“พี่ จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เห็นๆอยู่ว่าคุณบอกเองว่าคุณจะเลี้ยงอาหารเช้าผม”
“ฉันไม่สน คายออกมาเดี๋ยวนี้!”
ทั้งสองคนมีปากเสียงกัน
“โอ้ คางเมิ่ง? คุณมาแล้ว?”
ในเวลานี้เอง สวีเหมยที่แต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม แต่คิดไม่ถึงว่าชุดเดรสที่สวีเหมยสวมจะเหมือนกับชุดของคางเมิ่ง
คางเมิ่งพอเห็นสวีเหมย ก็ตกใจทันที ถ้าใส่เสื้อมาชนกันแบบนี้ ใครที่รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดกว่าคนนั้นก็ต้องรู้สึกอับอาย
สวีเหมยเห็นว่าคางเมิ่งสวมชุดนี้แล้วดูเหมาะสุดๆ เธอจึงขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่สามารถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกได้แล้ว
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราสองคนจะมีสายตาที่เฉียบแหลมเหมือนกันนะ ชุดเดรสที่เลือกมาใส่ก็เหมือนกันเด๊ะ”
คางเมิ่งพยักหน้ายิ้มๆ“ใช่ แต่รูปร่างคุณดีกว่า ใส่แล้วดูสวยกว่าฉันเยอะเลย”
“ใบหน้าของคุณสวย ใส่ชุดนี้แล้วดูเหมาะกว่าฉัน”
ทั้งสองคนใบหน้ายิ้มแย้ม ผลัดกันชมไปมา พูดคุยกัน ดูเหมือนจะสมัครสมานสามัคคีกัน
สวีเหมยหันสายตากลับมา มองไปยังเนี่ยเฟิง“ฉันประเมินแฟนของคุณต่ำไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าแฟนของคุณจะรวยขนาดนี้ ซื้อโรมานี กองติตั้งสามร้อยขวดแหนะ”
“คนแบบพวกเราเนี่ย ปกติแล้วจะไม่ป่าวประกาศว่าพวกเรารวย ถึงยังไงของพวกนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าอวดอยู่แล้ว”
คางเมิ่งพูดพลางดึงผมของตัวเอง สีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยน
สวีเหมยแอบยิ้มเย้ยหยันในใจ เหอะ คางเมิ่งยังนึกว่าจะสามารถตบตาหลอกลวงได้จริงๆน่ะเหรอ?!
ถ้าเมื่อคืนเธอไม่ได้ยินเนื้อหาที่ทั้งสองคนพูดคุยกันล่ะก็ สวีเหมยก็อาจจะถูกเนี่ยเฟิงหลอกไปแล้วก็ได้
“ฉันคิดว่าในเมื่อแฟนของคุณรวยขนาดนี้ ยังไงก็ต้องซื้อเครื่องประดับให้คุณสักชิ้นสองชิ้นสิ แต่ทุกครั้งที่ฉันเจอคุณคุณไม่เห็นสวมใส่อะไรเลย”
“ฉันไม่ชอบใส่เครื่องประดับ ทำไมเหรอ? แฟนของฉันจะซื้อให้อะไรฉัน แล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย?”
คางเมิ่งเบะปาก พูดออกไปอย่างหมดความอดทน
หลังจากที่ผ่านเรื่องเมื่อคืนมาแล้ว ความประทับใจที่คางเมิ่งมีต่อสวีเหมยก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ ตอนแรกอยู่ทีมกองละครเดียวทุกคนก็อดทนอดกลั้นซึ่งกันและกัน แต่พอถ่ายทำเสร็จแล้ว คางเมิ่งก็ไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับสวีเหมยอีก
“นี่ฉันหวังดีกับคุณนะ ถ้าไม่มีเรื่องแบบเมื่อคืนล่ะก็ ใครจะไปรู้ว่าเขามีเงินขนาดนั้น เสื้อที่ใส่ในวันปกติทั่วไปก็ไม่ยักจะเหมือนคนรวยอะไรเลย!”
สวีเหมยหัวเราะเหอะๆ“เนี่ยเฟิงคุณคงจะไม่ขี้งก ถึงขั้นที่แม้แต่เครื่องประดับก็ไม่ซื้อให้แฟนหรอกใช่ไหม ในเมื่อมาถึงงานนิทรรศการแล้ว ของสวยๆงามๆมากมายขนาดนั้น ไม่มีเข้าตาคุณบ้างเลยเหรอ?”
เนี่ยเฟิงพยักหน้า“คุณพูดถูก ผมรู้สึกว่าถึงเวลาที่ผมจะซื้อเครื่องประดับให้กับแฟนผมบ้างแล้ว เมิ่งเมิ่งมีชิ้นไหนที่ชอบบ้างไหม?”
เนี่ยเฟิงหันไปมองคางเมิ่ง คางเมิ่งส่ายหัว“ไม่มี ฉันไม่ชอบของพวกนี้!”
“เวลาซื้อของขวัญน่ะ ไม่ใช่ไปถามแฟนว่าชอบหรือไม่ชอบ ผู้หญิงน่ะหน้าบาง เธอจะบอกคุณว่าไม่ชอบอะไรทั้งนั้น แหละ แต่ในฐานะที่เป็นแฟนแล้วคุณก็ต้องมีสายตาที่เฉียบคม”
สวีเหมยพูดพลางชี้ไปยังสิ่งที่อยู่ในตู้กระจก“หยกพวกนี้ ก็ต้องดูว่าแบบไหนที่เหมาะกับคางเมิ่ง ถ้าจะเลือกก็ต้องเลือกชิ้นที่สวยที่แพง ถึงยังไงหยกก็จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต!”
เนี่ยเฟิงหันไปมองคางเมิ่ง“ผมรู้สึกว่าคำแนะนำนี้ค่อนข้างดีเลยนะ ไปกันเถอะเมิ่งเมิ่ง ผมพาคุณไปดูสักหน่อย”
สวีเหมยเม้มปากยิ้มๆ เธออยากจะดูว่าทั้งสองคนนี้จะเสแสร้งแกล้งทำไปได้ถึงเมื่อไร
คางเมิ่งบีบมือของเนี่ยเฟิง ก่อนจะพูดเบาๆ“รู้ๆอยู่ว่ายัยนี่เรียกพวกเรามาไม่ได้มีเจตนาดีอยู่แล้ว ดูท่าแล้วคงจะจงใจแน่นอน คิดจะทำให้พวกเราเสียหน้าน่ะสิ!”
“ไม่เป็นไร ให้เธอดิ้นต่อไปนั่นแหละ”
เนี่ยเฟิงก็ตอบกลับไปหนึ่งประโยค แต่เพราะว่าสวีเหมยยืนอยู่ข้างหลังด้วย ดังนั้นจึงไม่เห็นการกระทำของพวกเขาทั้งสองคน
“เห้อ ทัวร์มาลีนเส้นนี่ก็ไม่เลวนะ คุณดูสิทัวร์มาลีนสีใสราวกับวุ้นนี่สิ ถ้าอยู่บนข้อมือของคางเมิ่ง จะต้องสวยงามมากแน่ๆ”
สวีเหมยพูดจบก็รีบเดินไปตรงตู้โชว์ ในตู้โชว์นี้มีกำไลข้อมือทัวร์มาลีนตั้งโชว์อยู่หนึ่งเส้น มองดูแล้วน่ารักสุดๆ เพราะว่าสีก็สวยงามมาก ถ้าได้มาสวมอยู่ที่มือของคางเมิ่งจริงๆล่ะก็ จะต้องไม่เลวมากแน่ๆเลย
“ถ้าชอบก็ลองหยิบออกมาลองใส่ได้นะคะ”
แต่ละตู้โชว์จะมีพนักงานขายคอยยืนเฝ้าดูแลอยู่ ถ้ามีแขกอยากซื้อ พนักงานขายก็จะหยิบสินค้าที่จัดแสดงอยู่ในตู้ออกมาให้
“ฉันไม่ชอบใส่พวกเครื่องประดับน่ะค่ะ”
“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเวลาซื้อของไม่ใช่ดูว่าคุณชอบหรือไม่ชอบ แต่ดูว่าแฟนของคุณยอมซื้อให้หรือเปล่า ถึงยังไงแฟนของคุณก็รวยขนาดนี้ ซื้อสักสองสามชิ้นก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่”
แต่ทัวร์มาลีนเส้นนี้บริสุทธิ์มากๆ การทำก็พิถีพิถันมาก แต่สร้อยข้อมือเส้นเล็กๆแค่นี้ ราคาตั้งห้าล้านกว่าๆ
สีหน้าของคางเมิ่งเริ่มดูไม่ดี เธอหันไปมองเนี่ยเฟิง ก่อนจะพูดขึ้น“ถ้านายกล้าซื้อสร้อยข้อมือเส้นนี้ จากนี้ฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีก!ฉันบอกไปแล้วว่าฉันไม่ชอบเลยสักนิด”
คางเมิ่งเหมือนกับเป็นแฟนสาวที่ขี้โมโห สะบัดหน้าเดินจากไป
“เห้ย เนี่ยเฟิง คุณซื้อไม่ไหวก็เลยคิดจะหนีไปอย่างนั้นเหรอ?”