พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 220 จัดการไปทีละคน
บทที่ 220 จัดการทีละคน
ตราบใดที่สามารถออกจากนรกนี้ได้ ไม่ว่าจะให้หงต้าเป่าทำอะไรเขาก็ยอมทั้งนั้น เหตุผลที่หงต้าเป่าพูดแบบนี้ไป ก็เพราะลดความเป็นศัตรูระหว่างตัวเองกับเหอคุน แต่เหอคุนเป็นคนที่มีนิสัยชอบตีเนียน แน่นอนว่าเขารู้ว่าหงต้าเป่ากำลังคิดอะไรอยู่
เหอคุนยังเข้าใจอีกว่าถ้าจะตัวต่อตัวกับเนี่ยเฟิง นั่นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ปล่อยพวกเขาทั้งสองคน”
หลังจากที่เนี่ยเฟิงสั่งการพวกเขาทั้งสองที่โดนกุมขังก็ถูกปล่อยทันที
หงต้าเป่านวดข้อมือตัวเองถ้าเทียบกับเหอคุนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นเห็นได้ชัดว่าเขามีโอกาสชนะมากกว่า แต่ทั้งคู่ต่างก็จ้องไปที่มีดบนพื้น โดยไม่มีใครลงมือ
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกแกสองคนจะเป็นพี่น้องกันอย่างลึกซึ้งจริงๆ แม้แต่ในสถานการณ์ที่สำคัญและเด็ดขาดนี้ ยังไม่คิดทำร้ายกันความผูกพันแบบนี้มันช่างน่าสรรเสริญเสียจริง”
เนี่ยเฟิงประทับใจจนปรบมือแต่พวกเขาทั้งสองก็รู้ว่าเนี่ยเฟิงแสร้งและไม่ได้จริงใจเลย
“แต่ฉันก็บอกไปแล้วนะว่า ความอดทนของฉันมีจำกัด ดังนั้นทางที่ดีพวกแกควรหยิบมีดบนพื้นให้ฉันดีกว่า ฉันจะให้เวลาพวกแกแค่ 10 นาทีในการตัดสินผู้แพ้ชนะนะ ถ้าภายใน 10 นาทีแล้วพวกแกยังไม่ฆ่ากัน พวกแกทั้งสองก็จะเหลือแต่ความตายนั้น”
เมื่อคำพูดของเนี่ยเฟิงเพิ่งจะเงียบลง หงต้าเป่าก็หยิบมีดบนพื้นขึ้นมาทันที แต่ก่อนที่มือของหงต้าเป่าจะแตะโดนมีดเล่มนั้น ก็โดนเหอคุนก็เตะออกไปแล้ว!
แน่นอนเหอคุนมีเก่งกาจมากกว่าหงต้าเป่ามาก แม้ว่าเขาจะไม่คล่องเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเหอคุนจะไร้ความสามารถ
หงต้าเป่าโดนถีบจนอับอาย เขาเกือบจะระเบิดคำหยาบออกมาแล้วจากนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นจากพื้น แต่ยังไม่ทันให้หงต้าเป่าได้ไหวตัว เหอคุนก็แทงมีดจนทะลุท้องของหงต้าเป่า
หงต้าเป่าดิ้นรนอย่างสุดแรง และทั้งสองคนก็ตะเกียกตะกายจนเป็นลูกบอล และเนี่ยเฟิงเองก็เฝ้าดูฉากนี้อย่างเย็นชา เมื่อเห็นว่าทั้งพวกเขาสองคนต่อสู้กันจนบรรยากาศอึมครึม และเหตุการณ์ก็นองไปด้วยเลือด แต่เนี่ยเฟิงกลับรู้สึกว่านี่เป็นผลกรรมที่พวกเขาสมควรได้รับ
หงต้าเป่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหอคุนจริงๆ และเหอคุนเองก็ยังมีพลังที่น่ากลัวอยู่ในตัวเขา ดังนั้นหงต้าเป่าจึงถูกทุบตีจนตายและสุดท้ายมันเป็นอย่างไรนั้นเนี่ยเฟิงไม่ได้ดูต่อไป
เนี่ยเฟิงเห็นความชอกช้ำระกำใจของคนทั้งสองแล้วเขาก็หันกลับและออกไป หลังจากที่เหอคุนเห็นว่าเนี่ยเฟิงกำลังจะออกไปนั้นเหอคุนก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน
“แกบอกไม่ใช่เหรอว่าคนที่ชนะรอด?!”
ในขณะนั้นเองเนี่ยเฟิงก็เดินไปถึงที่ประตูแล้ว เขาหันหัวกลับมา ก็เห็นเหอคุนที่ชอกช้ำระกำใจ และใบหน้าเดิมๆของเหอคุนนั้นก็แสดงสีหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
“ตอนนี้ไม่ใช่ว่าแกยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
เหอคุนก็ตระหนักขึ้นได้ว่าเนี่ยเฟิงเพียงแค่บอกว่าคนใดคนหนึ่งในพวกสองคนสามารถรอดได้ แต่เนี่ยเฟิงไม่ได้บอกว่าจะปล่อยพวกเขาไป ที่เนี่ยเฟิงทำแบบนี้ก็เพราะวางแผนกับพวกเขานั่นเอง!
“ไอ้เด็กเหี้ยเอ๊ย แกกล้าโกหกฉันเหรอ!”
“ฉันไม่ได้โกหกแกเลยนะ โทษคือแกเชื่อคนอื่นมากเกินไป”
เนี่ยเฟิงพูดจบก็ปิดประตูใหญ่บานนั้นไว้และเหอคุนก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีก เขามองไปที่ประตูเหล็กหนา บานนั้นอย่างหมดหวัง เขาอาจจะอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะตาย และก่อนหงต้าเป่าเองก็กำลังจะตายเขาก็บอกกับเหอคุนว่าลูกชายของเขาถูกระเบิดตายแล้ว เมื่อเหอคุนได้ยินความจริงนี้แล้วเขาก็บ้าไปทันที
คนทั้งสองคนนี้ก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่สมควรได้รับแล้ว พวกเขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนี้ไม่มีอาหาร และไม่มีน้ำเลย
ในอีกไม่ช้าพวกเขาก็จะตายในห้องใต้ดินนี้ เมื่อเนี่ยเฟิงเห็นท่าทีของพวกเขาแล้ว ก็อดหัวเราะไม่ได้ ที่จริงแล้วนี่ก็ถือว่านี่เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ซึ่งในตอนนั้นที่เขาล่องลอยอยู่บนทะเล และเกือบจะโดนปลาฉลามกินแล้ว แต่ในที่สุดด้วยความเด็ดเดี่ยวและเพียรพยายามเขาเลยรอดชีวิตมาได้ เพราะในตอนนั้นมันไม่มีแม้แต่น้ำและไม่มีอาหารอะไรเลยสักอย่าง
เขาแค่ใช้วิธีของคนอื่นในการปลูกฝังตัวเองเท่านั้นเองและปล่อยให้คนเหล่านั้นได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่ตัวเขาเคยได้รับ
หลังจากกำจัดสองคนนี้ไปแล้วเนี่ยเฟิงก็ตรวจสอบที่อยู่ของผู้สังหารหมู่อีกคนอยู่ได้แล้ว
เพียงแต่ว่าเนี่ยเฟิงยังต้องกลับไปที่จินไห่เพื่อจับตัวไอ้คนทรยศคางเมิ่งไว้ ไอ้หมอนี่ไม่สามารถอยู่ในบริษัทได้แล้ว เพราะต่อไปก็อาจก่อเรื่องใหญ่อีก
อารมณ์ความรู้สึกของคางเมิ่งหดหู่ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะการตายของเหอเหรินเจ๋หรือเปล่า
“แม้ว่าพี่จะเกลียดคนคนนั้นมาก แต่พี่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะตาย นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้คาดการณ์ไว้”
“ในชีวิตคนเราไม่มีสักสิ่งหนึ่งที่จะเป็นไปตามอย่างที่เราคาดไว้ทุกอย่าง หรือบางทีชีวิตของเขาอาจจะจบลงแค่?”
เนี่ยเฟิงปลอบใจคางเมิ่ง คางเมิ่งพยักหน้าและคิดในใจว่ามันก็จริงนะ ถ้าตัวเองสนใจในเรื่องนี้มากเกินไปเขาจะได้รับอิทธิพลจากเรื่องนี้แทน
“ใช่แล้ว รายการวาไรตี้ที่พี่เข้าร่วมในวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เนี่ยเฟิงถามคางเมิ่ง และคางเมิ่งก็พูดอย่างไพเราะว่า
“อย่าพูดถึงเลย รุ่นพี่ที่ไปในเวลาเดียวกันกับพี่ก็บอกพี่ว่าจะไปหาคนวางแผนได้จากที่ไหน แต่ฉันหลังจากที่พี่ตามคนวางแผนไปที่นั่นและดื่มชาไปสองแก้วพี่ก็เป็นลมไปเลย เหอเหรินเจ๋คนนี้จะต้องรู้เรื่องก่อนแล้ว เหตุการณ์นี้ดักซุ่มที่นั่นและจับตัวพี่ไว้ ในตอนนี้เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นพี่ยังโมโหอยู่เลย และถึงขั้นทำกับพี่แบบนี้เลย!” คางเมิ่งถอนหายใจอย่างอดไม่ได้เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่มากเท่านั้น
“ไม่เป็นไร สาวสวยที่สวยมาตั้งแต่อย่างพี่เจ็ด ไม่นานก็จะหารายการวาไรตี้รายการใหม่ได้แน่ เมื่อถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ในสถานีโทรทัศน์ที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานั้นก็เป็นได้นะ”
เนี่ยเฟิงอยู่ข้างๆชื่นชมคางเมิ่งอย่างสุดกำลัง คางเมิ่งได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา
“อย่าชมพี่มากไปเลย พี่เขินนะ”
“ทำไมต้องเขินล่ะพี่? ผมพูดความจริงนะ!”
ทั้งสองกลับไปที่เมืองจินไห่อย่างมีความสุข
“เสี่ยวเฟิง น้องกลับไปที่พี่ใหญ่ก่อนนะ พี่ต้องไปรายงานตัวที่บริษัท หลังจากถ่ายทำละครทีวีเรื่องนั้นของพี่จบแล้ว ตอนนี้ต้องดูที่บริษัทจัดเตรียมแล้ว อาจารย์บอกแล้วว่า จะจัดเตรียมภาพยนตร์ให้ และพี่ก็ยังไม่เคยถ่ายทำภาพยนตร์มาก่อนเลย รู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่รู้เลยว่าจะทำได้ไหม?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้คางเมิ่งก็รู้สึกตื่นเต้นและกลัวและเนี่ยเฟิงก็พยักหน้า
“ผมเชื่อว่าพี่เจ็ดต้องมีความสามารถนี้พี่เจ็ดผ่อนต้องคลายหน่อยนะ!”
หลังจากที่คางเมิ่งจากไป เนี่ยเฟิงก็โทรหาเสิ่นโจว
“พี่โจวโจว ผมอยากให้พี่ตรวจสอบคนคนหนึ่งในบริษัทให้หน่อยครับ”
หลังจากที่เสิ่นโจวได้รับคำสั่งก็รีบตรวจสอบชื่อของนักแสดงคนนั้นในบริษัทของพวกเขาทันทีนักแสดงคนนี้อยู่ในดำเนินธุรกิจมาเกือบสิบปีแล้ว
แต่ก็ทำตัวดีมาโดยตลอด
“คุณเนี่ยคะคุณต้องการตรวจสอบนักแสดงคนนี้ไปทำไมคะ?”
เนี่ยเฟิงบอกกับเสิ่นโจวอย่างเรียบง่ายและชัดเจนเมื่อเสิ่นโจวได้ยินดังนั้น ก็โกรธเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องห่วงนะฉันจะไม่ทำให้หล่อนอยู่ดีแน่”
“ปล่อยให้หล่อนได้ลิ้มรสความเจ็บปวดก่อนนะ แล้วค่อยปล่อยให้ความฝันของหล่อนสลายไป คนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบริษัทของเราแล้ว จะใช้ความพยายามนิดน้อยเพื่อให้หล่อนอยู่ในบัญชีดำ และให้ต่อจากนี้หล่อนไม่สามารถคบค้าสมาคมกับอาชีพนี้ได้อีกต่อไป”
ทรยศคนเพียงเพื่อผลกำไรเล็กน้อยขนาดนั้นเนี้ยนะ คนคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่นอน
เนี่ยเฟิงหรี่ตาลง
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
หลังจากที่เสิ่นโจววางสายไป เขาก็คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดกับเลขาฯว่า “เรียกหวงซินเอ๋อมา ผมมีเรื่องจะคุยกับหล่อน”