พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 361 กลับมาจากต่างที่
ทุกคนกำลังวางแผนงานวันเกิดของชิวมู่เฉิงในคืนพรุ่งนี้ พี่สาวหลายคนกลับมาจากต่างที่แล้ว แม้แต่หยูจิงหงก็ยังบอกว่าจะกลับมาในวันพรุ่งนี้
เนี่ยเฟิงคิดว่าทุกคนไม่ค่อยมีเวลารวมตัวกัน เดิมทีเขาวางแผนจะไปรับคุณตา แต่คุณตาบอกอย่างชัดเจนแล้ว ว่าเขาไม่อยากออกไป ขออยู่บนเขาอย่างเดียว
เนี่ยเฟิงคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อเขามากเกินไป เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากสันโดษอยู่ในป่า มันก็เป็นเรื่องปกติ
ในเมื่อคุณตาไม่ยอมออกมา เนี่ยเฟิงก็จะไม่บังคับ งานวันเกิดในครั้งนี้ฉลองกันแค่พวกเขาก็พอ
ตอนเช้าของวันนี้ เนี่ยเฟิงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เวลานี้ชิวมู่เฉิงก็ตื่นแล้วเช่นกัน ช่วงนี้เธอยุ่งมาก ยุ่งจนลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง บวกกับวันนี้จะต้องไปพบคุณลุงคนนั้นของเนี่ยเฟิง
ความเป็นจริงแล้ว คุณปู่ของเนี่ยเฟิงมีลูกชายคนเดียวนั่นก็คือพ่อของเนี่ยเฟิง คนอื่นๆเป็นแค่ญาติเท่านั้น
เนี่ยเฟิงไม่ค่อยสนิทกับพวกเขาเท่าไร ถ้าหากตอนนั้นไม่ใช่ว่าพ่อของตัวเองหาเงินได้เยอะแยะมากมาย พวกเขาคงไม่มาแสดงความดีด้วยกันหรอก
เนี่ยเฟิงเปลี่ยนไปมากจริงๆ ตอนแรกชิวมู่เฉิงมองไม่ออกว่าเป็นเธอ
พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานมาก ชิวมู่เฉิงก็จำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่ได้เจอกันนานขนาดนั้น
เนี่ยเฟิงขึ้นรถของชิวมู่เฉิงไป รถเหล่านี้ทางบริษัทเพิ่งจัดซื้อมาใหม่ ถึงแม้ราคาก็ไม่ถือว่าถูกมาก แต่ในสายตาของเนี่ยเฟิงแล้ว รถคันนี้ไม่คู่ควรอะไรกับพี่ใหญ่ของเขาเลย
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะเอารถให้ชิวมู่เฉิงเนื่องในโอกาสอะไร ความรู้สึกการที่มีเงินแต่ไม่รู้ว่าจะใช้จ่ายยังไงมันน่าหงุดหงิดมาก
ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็มาถึงร้านหย่งฝู ร้านอาหารร้านนี้ถือว่าไม่เลวเลย เป็นหนึ่งในกิจการของเนี่ยเฟิงพอดี
ในตอนที่เนี่ยเฟิงเดินเข้ามาเครื่องโทรศัพท์มือถือของเขาสั่น เขาจึงรู้ได้เลยว่า
แต่เขาบอกให้เถ้าแก่ที่นี่ห้ามออกมาต้อนรับ เนี่ยเฟิงไม่อยากทำให้มันเอิกเกริกเกินไป
หลังจากที่ชิวมู่เฉิงเดินเข้าไป หาห้องวีไอพีเจอ คิดไม่ถึงว่าในนี้จะมีคนนั่งอยู่แล้วสี่คน
ทั้งสี่คนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงญาติห่างๆของเนี่ยเฟิง——เนี่ยซื่อม่าว เนี่ยหย่วนเต้าผู้เป็นลูกชายของเขา จางเจ๋ภรรยาของเนี่ยซื่อม่าว และเนี่ยเหมยเหมยลูกสาวของเนี่ยซื่อม่าว
ในตอนที่เนี่ยซื่อม่าวกับเนี่ยหย่วนเต้าเห็นชิวมู่เฉิงนั้น ใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงความอยากได้จนน้ำลายหก
ประเด็นคือชิวมู่เฉิงสวยมากจริงๆ ผู้หญิงที่สวยขนาดนั้น ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องมองมากหน่อยอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาหรอก
เนี่ยซื่อม่าวไอ้หมอนี้เป็นคนลามกอยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะว่าตอนนั้นจางเจ๋บอกว่าตัวเองท้อง แล้วมาบีบบังคับ เขาคงไม่แต่งภรรยาจริงๆ
ตอนนั้นเนี่ยซื่อม่าวทำเพื่ออนาคตของตัวเอง มักจะเดินเข้าออกตระกูลเนี่ยบ่อยๆ เพื่อให้พ่อของเนี่ยเฟิงเปิดโอกาสให้มากขึ้น
พูดถึง ตอนนั้นพ่อของเนี่ยเฟิงคิดว่าทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก อะไรที่เขาช่วยได้ก็มักจะให้ความช่วยเหลือเสมอ
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ถึงจะให้พวกเขาไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ
ต่อมาหลังจากที่ตระกูลหลักของตระกูลเนี่ยเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่มีใครหน้าไหนยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเลย
นี่มันช่างแดกดันคนจริงๆ
“มู่เฉิง เธอมาแล้วเหรอ!”
เนี่ยซื่อม่าวยืนขึ้นมาต้อนรับอย่างยินดี ยังลากเก้าอี้ให้ชิวมู่เฉิงอีกด้วย
การกระทำนี้จางเจ๋เห็นเต็มสองตา เธอใช้สายตาเกลียดชังมองไปที่ชิวมู่เฉิง“สวยตรงไหน?แค่ขาวนิดหน่อย ตาโตนิดหน่อย!”
นอกจากนี้ยังมีเนี่ยเหมยเหมยที่คิดแบบนี้เดียวกัน เนี่ยเหมยเหมยคิดในใจว่าชิวมู่เฉิงจะต้องผ่านการศัลยกรรมมาอย่างแน่นอนสินะ?ไม่อย่างนั้นคนธรรมดาทั่วไปที่ไหนถึงมีใบหน้าสวยได้ถึงเพียงนี้?
ทว่าผู้ชายก็ชอบคนสวยแหละ มองดูความสวยงามก็เพียงพอให้กินข้าวสองถ้วยใหญ่ได้แล้ว
เนี่ยหย่วนเต้าอายุไม่เยอะเท่าเนี่ยซื่อม่าว ดังนั้นเขาจึงขาดความรู้ด้านหลักทำนองคลองธรรม เวลาที่มองคนเขาจะมองอย่างตรงๆ หลังจากที่ชิวมู่เฉิงสัมผัสได้ถึงสายตาแบบนั้น คิ้วของเธอจึงขมวดขึ้นมาเป็นปม
“ลุงเนี่ย มีเรื่องอะไรคะ พูดตรงๆมาเถอะค่ะ”
ชิวมู่เฉิงไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขามากนัก ดังนั้นจึงพูดตรงเข้าประเด็นทันที
“โธ่ ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอก หลังจากที่ตระกูลหลักของตระกูลเนี่ยเกิดเรื่องในตอนนั้น มีของบางอย่างยังอยู่ที่ลุง ลุงคิดว่าเธอคงอยากจะได้”
ชิวมู่เฉิงพยักหน้าเบาๆ“ขอโทษนะคะมันเป็นของอะไรเหรอคะ”
“เป็นอะไรเดี๋ยวค่อยเล่าให้เธอฟัง ตอนนี้ก็ตอนเที่ยงแล้ว ทุกคนก็ต่างหิวกันแล้ว!สั่งอาการกินกันก่อนเถอะ!”
เนี่ยซื่อม่าวพูดจบ ก็ยกมือขึ้นมา“ยังเฉยอะไรอยู่อีก?รีบเอาอาหารขึ้นโต๊ะสิ!”
“มู่เฉิง เราไม่ได้เจอกันแล้วใช่ไหม?เธอยังจำฉันได้ไหม?ฉันคือพี่หย่วนเต้า!”
เมื่อดูตามหลักลำดับอาวุโส เนี่ยหย่วนเต้าอายุเยอะกว่าชิวมู่เฉิงเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเขาเลยใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่าพี่ชายอย่างไม่มีอะไรต้องตำหนิ
ถ้าหากพ่อของเนี่ยเฟิงยังอยู่ล่ะก็ เนี่ยเฟิงยังต้องเรียกเขาว่าพี่ เพียงแต่เนี่ยเฟิงไม่ชอบครอบครัวนี้
“ขอโทษนะคะ ฉันจำไม่ได้แล้วค่ะ”
ชิวมู่เฉิงยังคงมีลักษณะเช่นนี้แม้ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับลูกค้า ไม่มีความเสน่หาแม้แต่น้อย
เป็นเพราะทัศนคติที่จริงจัง ที่ทำให้หลายคนท้อแท้
มีนักธุรกิจจำนวนมากที่เห็นถึงรูปลักษณ์ภายนอกของชิวมู่เฉิง มองเห็นความสวยของชิวมู่เฉิง ดังนั้นจึงอยากใช้โอกาสนี้หาผมประโยชน์เล็กน้อย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคุณตอบตกลงกินข้าวกับผม โปรเจคนี้ผมจะอนุมัติทันที!
ส่วนมากในสถานการณ์เช่นนี้ ชิวมู่เฉิงจะหยิบกระเป๋าเดินออกไปทันที บริษัทของเธอเป็นบริษัทที่น่าไว้ใจอย่างมาก ถ้าเธอเป็นผู้ชาย คนพวกนั้นคงจะคุยเรื่องงานกับเขาอย่างจริงจัง
เพียงเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง ยังหน้าตาสวยอีกด้วย ดังนั้นมักจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมออกมา ชิวมู่เฉิงไม่ชอบเลย เธอมีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบ
แต่ครั้งนี้ ชิวมู่เฉิงอยากรู้ว่าตกลงเป็นของอะไรกันแน่ ดังนั้นจึงพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
เนี่ยหย่วนเต้าหน้าเสียเล็กน้อย เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก แล้วพูดต่อไปว่า“ไม่รู้จักเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว มู่เฉิง เธอดูสวยกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะ!”
ชิวมู่เฉิงพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์“ขอบคุณค่ะ”
เนี่ยเฟิงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเงียบเชียบ จึงก้มหน้าดื่มน้ำหนึ่งอึก เนี่ยเฟิงที่เห็นท่าทีผิดหวังของเขาจึงรู้สึกขำเล็กน้อย จึงหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว
เห็นได้ชัดว่าเนี่ยหย่วนเต้าได้ยินเสียงหัวเราะทันใดนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจแล้วพูดออกมาว่า“แกขำอะไร!”
ตั้งแต่เมื่อกี้ ครอบครัวนี้เมินเฉยกับเด็กผู้ชายที่ชิวมู่เฉิงพามาด้วย พวกเขาคิดว่าเด็กผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นผู้ช่วยของชิวมู่เฉิง ถึงแม้การแต่งตัวจะดูสบายๆไปหน่อย
“ผมแค่รู้สึกว่าคำพูดกระดากปากของคุณมันตลกไปหน่อย……”
เนี่ยเฟิงหัวเราะร่า“ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกคุณไม่ต้องสนใจผมหรอก คุยกันต่อได้เลย!”
“มู่เฉิง ผู้ช่วยที่เธอหามาใช้ไม่ได้เลยนะ ดูท่าทางก็รู้แล้ว ถ้าบริษัทของเธอยังขาดคน ป้าว่าเหมยเหมยไม่เลวเลยนะ!ถึงจะยังไงก็เป็นน้องสาวของเธอ สู้ให้น้องไปช่วยงานเธอดีไหม!ใช่ไหมเหมยเหมย?”
จางเจ๋อาศัยจังหวะนี้เสนอเนี่ยเหมยเหมยออกไป สีหน้าของเนี่ยเหมยเหมยเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ“นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว!ฉันจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเลยนะ พี่คะ ถ้าพี่ได้ฉันไป ธุรกิจของพี่จะต้องก้าวกระโดดไปไกลอย่างแน่นอน!ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ!”
“แต่ เธอดูเหมือนสมองไม่ค่อยมีไหวพริบนะ”