พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 362 คนหัวดื้อ
พอเนี่ยเฟิงพูดออกไป เนี่ยเหมยเหมยก็ไม่พอใจทันที เธอโกรธไม่ใช่น้อย“นายเป็นใคร เป็นแค่ผู้ช่วยกระจอกๆ กล้าพูดแทรกงั้นเหรอห้ะ?”
“มู่เฉิง คนรอบตัวเธอเป็นอะไรไป?ครอบครัวเรากำลังคุยกัน เขาเป็นแค่คนนอกเข้ามาสอดทำไมกัน?”
จางเจ๋ก็ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เธอถลึงตาใส่เนี่ยเฟิง ไอ้หมอนี่มีสิทธิ์อะไรมาว่าลูกสาวของเธอสมองไม่มีไหวพริบ?
ชิวมู่เฉิงไม่ยอมให้คนอื่นมาพูดกับน้องชายของเธอแบบนี้ ถึงคนพวกนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเนี่ยก็ตาม เธอจะไม่ยอมให้พวกเขาพูดถึงเนี่ยเฟิงแบบนี้
ในตอนที่ชิวมู่เฉิงกำลังจะอ้าปากนั้น เนี่ยเฟิงก็พูดมาก่อนว่า“ผมพูดไม่ผิดนะครับ สมองช้าสมองกลวงแบบนี้ ดูก็รู้แล่วว่าระดับสติปัญญาไม่ผ่าน”
“แก!ฉันจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเลยนะ นายกล้าพูดว่าระดับสติปัญญาของฉันไม่ผ่านงั้นเหรอ แล้วนายล่ะ?!”
“ในเมื่อคุณเอาแต่บอกว่าเธอจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ งั้นผมขอถามคำถามคุณหนึ่งข้อ คุณกล้าตอบไหม?”
เนี่ยเฟิงกะพริบตาหนึ่งครั้ง ถามเนี่ยเหมยเหมยไป
เนี่ยเหมยเหมยเบะปาก ด้วยท่าทางภาคภูมิใจ“นายก็พูดมาสิ นายอยากถามอะไรก็ถามมาได้เลย!”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมถามแล้วนะ?คุณปู่ คุณพ่อและลูกชายใครฟังคำพูดของแม่แล้วจะร้องไห้?”
เนี่ยเหมยเหมยถูกคำถามของเนี่ยเฟิงถามจนงุนงง และคนอื่นๆก็กำลังนึกคิดกับคำถามนี้เช่นกัน พวกเขากำลังคิดว่าคำถามนี้เป็นวิชาอะไรกันแน่ ทำไมถึงแปลกอย่างนี้?
“พวกคุณเป็นอะไรไป?คิดไม่ออกใช่ไหมละ?แต่ดูจากระดับสติปัญญาของพวกคุณคิดคำตอบไม่ออกเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
เนี่ยเฟิงแสยะยิ้ม
“ทำไมฉันจะคิดไม่ออก แน่นอนว่าลูกชายอยู่แล้ว ลูกชายเชื่อฟังแม่ที่สุด!ดังนั้นลูกชายฟังคำของแม่แล้วจะร้องไห้!”
เนี่ยเหมยเหมยเชิดปลายคางขึ้น ในใจกำลังคิดว่ามีเด็กบางคนเมื่อได้ยินคำพูดห้ามปรามของแม่ ส่วนมากมักจะกรีดร้องพลางกลิ้งไปมา ดีงนั้นในบรรดาคนจำนวนมาก ลูกชายเท่านั้นที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะร้องไห้หลังจากได้ยินสิ่งที่แม่พูด
“ฉันว่าสมองของคุณไม่มีไหวพริบ ดูตอนนี้สิคาดว่าจะเป็นเหมือนที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด!”
“นี่!ไอ้บ้า แกตั้งใจใช่ไหม ไม่อย่างนั้นยังจะมีใครอีกที่ฟังคำพูดของแม่แล้วจะร้องไห้น่ะ?”เนี่ยหย่วนเต้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถลึงตาใส่เนี่ยเฟิงอย่างถมึงทึง
“แน่นอนว่าเป็นคุณปู่น่ะสิ เป็นเพราะว่า ค่ำคืนคิดถึงคำของมารดา น้ำตาวับวาวดั่งดอกหลูปิง (เล่นคำกับเพลงลู่ปิงฮวาซึ่งเป็นบทเพลงเกี่ยวกับแม่ คำว่า เย่เย่ ในภาษาจีนที่แปลว่าค่ำคืนพ้องเสียงกับเหยเหยที่แปลว่าคุณปู่)ดังนั้นในบรรดาทั้งสามคนนี้คุณปู่จึงเป็นคนที่ฟังคำพูดของแม่แล้วร้องไห้!”
ชิวมู่เฉิงคิดในใจเนี่ยเฟิงซุกซนจริงๆ จงใจพูดเครื่องมือพัฒนาสมองเพื่อหยอกล้อพวกเขา เป็นไปตามคาดพวกเขาได้ยินคำพูดของเนี่ยเฟิงแล้ว ถึงกับโกรธเป็นอย่างมาก
“แกจงใจ!”
“ผมแค่ลองเล้นปริศนาคำทายเล็กๆเท่านั้นเอง แม้แต่คำถามนี้ยังตอบไม่ได้ ด้อยพัฒนาเกินไปหน่อยมั้ง?จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำไม่ใช่เหรอ?”
เนี่ยเฟิงยักไหล่ คำพูดที่พูดออกมาทำให้คนรู้สึกโกรธมากจริงๆ
“เอาล่ะไม่ต้องพูดอะไรมากความแล้ว ฉันไม่ได้คิดจะเปลี่ยนผู้ช่วยหรอกนะคะ เรากลับมาพูดเรื่องจริงจังกันเถอะค่ะ อาหารมื้อนี้จะกินหรือไม่กินก็ได้ ฉันแค่อยู่รู้ว่าของของตระกูลเนี่ยที่อยู่ในมือพวกคุณตกลงคืออะไรกันแน่”
ชิวมู่เฉิงกระแอมหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็พูดตัดบทออกไปแบบนั้น
“โธ่ เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ มีอย่างที่ไหนพูดเรื่องสองครอบครัว?”
เนี่ยซื่อม่าวหัวเราะอย่างเก้อๆ หลังจากนั้นก็รีบส่งสายตาให้กับลูกชายของตัวเอง
เนี่ยหย่วนเต้ารีบประชิดตัวเข้าไปหาแล้วหัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า“มู่เฉิง ช่วงนี้กิจการของเธอเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เราต่างทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่รู้ว่าเธอช่วยอะไรพวกเราหน่อยได้ไหม?ทุกฝ่ายวินๆ นั่นก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ เธอว่าถูกไหม?”
สายตาของชิวมู่เฉิงครึ้มไป“หมายความว่าถ้าฉันอยากได้ของตระกูลเนี่ยกลับ จะต้องร่วมงานกับพวกคุณ?”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ครอบครัวเราก็ถือว่ามีหน้ามีตาอยู่นะ ถึงจะไม่ได้เติบโตในเมืองจินไห่ แต่ก็จัดได้ว่าเราเป็นตระกูลเล็กๆในเมืองอื่นๆได้เลยนะ อีกอย่าง ผู้หญิงตัวคนเดียวแบบเธออาชีพที่ต้องพึ่งความเป็นหนุ่มสาวเพื่อทำงานหาเงิน ถึงตอนนี้จะทำได้ยิ่งใหญ่และแข็งแรง เธอจะได้อีกสักกี่ปี สุดท้ายก็ต้องแต่งงานมีลูกอยู่ดี?”
จางเจ๋พูดจบก็ดื่มไปหนึ่งอึก แล้วรีบพูดต่อว่า“อีกอย่างนะ ตอนนั้นเพราะได้การอุปถัมภ์จากตระกูลเนี่ยถึงทำให้เธอมีอย่างทุกวันนี้ได้ ถึงยังไงเราก็เฝ้าดูเธอเติบโตมา หรือตอนนี้เธอร่ำรวยแล้วจะไม่ตอบแทนบุญคุณเราล่ะ?”
คำพูดประโยคนี้ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดจะพบข้อบกพร่องในนี้
ตระกูลหลักเลี้ยงดูชิวมู่เฉิง แล้วเกี่ยวอะไรกับญาติพวกนี้ล่ะ?ญาติอย่างพวกเขาจะให้ชิวมู่เฉิงอะไรได้?
สุดท้ายก็ทำเพื่อเงิน?
“ฉันรู้ว่าเธอน่ะรักตระกูลเนี่ย ฉันกับน้องชายฉันเหมือนกัน ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่เขาชอบติดต่อกับครอบครัวเราที่สุดแล้ว เขาบอกว่าครอบครัวของเขาเป็นคนดี นิสัยไม่เลว ฉันดูนะ เธอไปคบค้าสมาคมกับคนพวกนั้น สู้แต่งงานกับหย่วนเต้าไปเลยดีกว่า!”
เนี่ยเฟิงฟังพวกเขาพูดพล่าม เขาจึงรู้ได้ในทันที ที่แท้ไอ้คนพวกนี้วางแผนไว้แบบนี้นี่เอง ถึงว่าเชิญชิวมู่เฉิงมากินข้าวเป็นพิเศษ
“จริงด้วย!ความสัมพันธ์ของเราจะได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น จากนี้ไปนะ ของเราก็จะเป็นของเธอไม่ใช่เหรอ?”
แน่นอนว่าเนี่ยหย่วนเต้าดีใจเป็นอย่างมาก ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ และยังเป็นผู้หญิงที่รวยมากอีกด้วย ลำพังแค่คิดเขาก็หัวเราะออกมาแล้ว แต่ตอนนี้เขายังต้องสำรวมไว้ จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มและพูดออกไปว่า“ฉันจะให้ความสุขกับเธออย่างแน่นอน!”
ครอบครัวนี้ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ไม่เคยความเห็นของชิวมู่เฉิงเลย คิดเองเออเองว่าพวกเขามีโอกาสอย่างแน่นอน ชิวมู่เฉิงขมวดคิ้วเป็นปม เห็นพนักงานยกอาหารมา เธอจึงค่อยๆถอนหายใจออกมา
“ขอโทษนะคะ ตอนนี้ฉันยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงานค่ะ และไม่ได้คิดจะดองอะไรกับพวกคุณ วันนี้ที่พวกคุณเรียกฉันมาได้ เป็นเพราะพวกคุณบอกว่าในมือมีของของตระกูลหลักอยู่ ฉะนั้นฉันจึงมา ในเมื่อไม่มี งั้นอาหารมื้อนี้ของเราก็จบลงแค่นี้เถอะค่ะ”
ชิวมู่เฉิงพูดจบก็หยิบกระเป๋าขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืน หันหลังจะเดินออกไป
“นี่!ทำไมเธอถึงไม่มีมารยาทแบบนี้ อาหารก็ยกขึ้นมาเสิร์ฟแล้ว เธอไม่พูดอะไรสักคำก็จะไปงั้นเหรอ?”
เนี่ยเหมยเหมยไม่พอใจตั้งใจเริ่มอยู่แล้ว เพราะว่าเจ้าปริศนาคำทายของเนี่ยเฟิง ทำให้เนี่ยเหมยเหมยคิดว่าตัวเองถูกหยามหน้า แต่ชิวมู่เฉิงกลับช่วยเลขาแต่ไม่ได้ช่วยเธอ มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้น
แต่คิดไม่ถึงว่าชิวมู่เฉิงจะเมินเฉยต่อพ่อแม่ของตนเอง ตอนนี้จะเดินจากไป นี่มันเป็นการตบหน้าครอบครัวของพวกเขาไม่ใช่เหรอ?
“พวกคุณน่าตลกจริงๆ ก่อนที่พวกคุณจะชวนกินข้าว บอกว่ามีของจากตระกูลหลักไม่ใช่เหรอ?ที่พวกเรามาก็เป็นเพราะของของตระกูลหลักไม่ใช่เหรอ?ในเมื่อพวกคุณไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว งั้นเราก็ไม่มีเหตุผลต้องกินข้าวร่วมกับพวกคุณ?อีกอย่าง ในโลกนี้มีที่ไหนที่ไม่มีข้าวกิน?จะต้องให้พวกคุณชวนกินข้าวถึงจะกินได้อย่างอร่อยหรือ?”
เนี่ยเฟิงมองดุสีหน้าของพวกเขาที่เผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม ไม่ได้ตั้งใจจะจัดการกับพวกเขา และพูดโพรงออกไปตรงๆ จึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธกันอย่างมาก
“เรากำลังคุยกันอยู่ เกี่ยวอะไรกับแกด้วย?หุบปากของแกเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เนี่ยซื่อม่าวถลึงตาใส่เนี่ยเฟิง“ชิวมู่เฉิง!เธอไม่คิดจะเอาของแล้วใช่ไหม?