พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 392 ตายแล้ว
“จัดเก็บสักหน่อย”
หลังจากเนี่ยเฟิงพูดคำหนึ่งกับคนของสำนักมังกร ก็ออกจากโรงแรมเลย นั่งรถไปหาชิวมู่เฉิง
ในเวลานี้ชิวมู่เฉิงร้อนใจมากแล้ว หลังจากมองเห็นเนี่ยเฟิงกลับมา จึงโล่งอกไปที
“แกไม่เป็นไรนะ?”
“ผมไม่เป็นไรล่ะ!”
เนี่ยเฟิงยิ้มจนบริสุทธิ์ใจงามไปหมด รูปร่างลักษณะที่ใจดำอำมหิตเหมือนเมื่อกี้ล้วนไม่มีสักนิด
“แกไปนานขนาดนี้ ฉันกังวลมาก เดิมทีอยากจะโทรหาแกสักหน่อย แต่ก็กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อแกอีก ฉินเทียนกังคนนั้นไม่ได้ทำอะไรกับแกใช่ไหม?”
ยามปกติชิวมู่เฉิงพูดน้อยมาก ล้วนทำงานมากกว่า แต่ครั้งนี้กลับถามต่อๆกันเป็นชุด มองออกได้ว่ากังวลกับเนี่ยเฟิงมาก
เนี่ยเฟิงรู้สึกเพียงว่าในใจอบอุ่น เขาแสยะปากยิ้มอยู่ตอบกลับว่า “ไม่เป็นไร ฉินเทียนกังเมื่อก่อนเป็นเพื่อนที่ร่วมทำกิจกรรมด้วยกันกับบิดาผม ตอนนี้ยังวางแผนจัดการบริหารหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการที่ร่วมหุ้นกันกับบิดาผมอยู่ล่ะ! เขาจะทำอะไรกับผมได้เหรอ?”
“คนคนนั้นฉันดูแล้วไม่ใช่ง่ายๆ”
ชิวมู่เฉิงส่ายหัวต่อๆกัน วิเคราะห์แบบนี้
“ไม่มีอะไรๆ ไม่ว่าง่ายหรือไม่ล้วนไม่เป็นไร ไอ้หยา พี่ใหญ่ ผมอยู่ที่โน่นล้วนไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไหร่ ตอนนี้ผมรู้สึกหิวแล้ว ถ้าไม่พวกเราไปกินอะไรสักหน่อยล่ะ?”
เนี่ยเฟิงดูน่าสงสารมากจ้องมองชิวมู่เฉิง ชิวมู่เฉิงก็ไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธเช่นกัน พาเนี่ยเฟิงไปกินข้าวด้วยกัน
ใครจะรู้ว่าวันที่สอง ชิวมู่เฉิงก็ได้รับข่าวว่าฉินเทียนกังเสียชีวิตไปแล้ว
ชิวมู่เฉิงรู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อวานเธอยังเห็นเนี่ยเฟิงพูดคุยกับเขาอยู่ล่ะ ทำไมวันนี้ก็เสียแล้วเหรอ?
เธอไปซักถามสักรอบ รับรู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ อารมณ์รุนแรงเกินไปเลือดออกในสมองตายแล้ว
“พี่ใหญ่ คุณเป็นอะไรเหรอ? ทำไมสีหน้าดูแย่ขนาดนั้นล่ะ?”
ตอนที่เนี่ยเฟิงมาหาชิวมู่เฉิง มองเห็นสีหน้าของชิวมู่เฉิงดูเหมือนไม่ค่อยดีมาก รีบซักถาม
“แกฟังแล้วน่าจะมีความหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ฉันได้รับข่าวประกาศว่าเมื่อคืนฉินเทียนกังเลือดออกในสมองตายแล้ว”
บนใบหน้าของเนี่ยเฟิงปรากฏสีหน้าที่ตื่นตะลึงออกมาทันที “นี่เป็นไปได้ยังไงล่ะ? เมื่อคืนตอนที่ผมไป ฉินเทียนกังยังดีๆอยู่เลย”
“ดังนั้นฉันรู้สึกมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย คนนี้ว่าจะเสียก็เสียล่ะ นี่ก็ประหลาดเกินไปแล้ว?”
ชิวมู่เฉิงขมวดคิ้วอย่างแน่น
“แต่ว่าได้ยินข่าวนี้ ผมก็เป็นทุกข์จริงๆเช่นกัน ถึงยังไงฉินเทียนกังก็มีความสนิทสนมกันกับบิดาผม ตอนนี้กลับเกิดเรื่องแบบนี้ อั้ย”
ต้องบอกว่า เนี่ยเฟิงคนนี้พูดโกหกออกมาช่างไม่ต้องเขียนฉบับร่างจริงๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นมิสู้ว่าพวกเราเลื่อนเวลากลับออกไปหน่อยดีกว่า พวกเราเข้าร่วมงานศพของฉินเทียนกัง”
ในใจชิวมู่เฉิงยังคงมีความกังวลเล็กน้อย “สถานะของแกพิเศษกว่า ฉันกังวลว่าจะมีคนไม่ดีต่อแก ดังนั้นพวกเรายังคงอย่าไปเข้าร่วมเลย…….”
“ผมปรากฏตัวอยู่ในสายตาของสื่อมวลชนแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้อยากจะหลบหนี เห็นได้ชัดว่าไม่ทันแล้วเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นมิสู้พวกเราตรงไปตรงมาสักหน่อยดีกว่า”
ต่อเรื่องนี้เนี่ยเฟิงดูเปิดโปงจริงๆ
“คำพูดแม้ว่าพูดอย่างนี้ไม่ผิด แต่สงบสุขชั่ววูบได้ก็สงบสุขชั่ววูบ……”
เนี่ยเฟิงกะพริบตาหนึ่งที “แต่เมื่อคืนในหอการค้าก็มีคนไม่น้อยที่เห็นการปฏิสัมพันธ์ของผมกับฉินเทียนกังทั้งสองคน ถ้าผมไม่ไปดูเหมือนจะพูดไม่ได้นะ”
คำพูดนี้ของเนี่ยเฟิงกลับเป็นจริง
หลังจากชิวมู่เฉิงคิดไปสักพัก จ้องมองไปยังเนี่ยเฟิง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นฉันก็ไปด้วยกันกับแกเถอะ”
“งั้นผมไปถามสักหน่อย”
“แกอยู่ที่นี่ไม่คุ้นสถานที่ไม่รู้จักใคร แกจะไปถามใครล่ะ? ถ้าจะถามก็ต้องให้ฉันไปถาม แกก็อยู่ในโรงแรม ล้วนไม่ต้องไปไหน”
ชิวมู่เฉิงขมวดคิ้วอยู่ตลอด มองออกได้ว่า เธอมีเรื่องหนักอกหนักใจ
ประเด็นหลักคือเธอกังวลถึงเวลานั้นการปรากฏตัวอยู่ในงานศพ เป็นไปได้ที่เนี่ยเฟิงอาจจะพบเจอคนที่เมื่อก่อนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเนี่ยยิ่งมาก
ชิวมู่เฉิงรู้ว่าช้าเร็วเนี่ยเฟิงล้วนต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าเธอยังคงเห็นแก่ตัวหน่อย เธอไม่อยากให้เนี่ยเฟิงโดนคลุกเคล้าเข้าไปเร็วขนาดนี้
เนี่ยเฟิงกลับเชื่อฟังมาก รอชิวมู่เฉิงอยู่ในโรงแรมอย่างเป็นเด็กดีที่เชื่อฟัง
ไม่นานชิวมู่เฉิงก็ซักถามกิจธุระต่างๆในงานศพได้ ดูลักษณะงานศพจะดำเนินการในวันพรุ่งนี้
แม้ว่ารีบเร่งเหลือเกิน แต่นี่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะว่าลูกชายเพียงคนเดียวของฉินเทียนกัง ฉินเห้าหรานในตอนนี้ยังสติวิปลาสอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีทางจัดการงานศพให้กับบิดาเขาเลยสักนิด
เนี่ยเฟิงได้ยินข่าวนี้ บนใบหน้าปรากฏสีหน้าที่ทอดถอนใจออกมา “คนมีอายุแล้วก็อาจจะมีอาการอย่างนี้อย่างนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพียงแค่มีความเสียดายเล็กน้อย เมื่อวานผมเจอกับฉินเทียนกัง นึกไม่ถึงเขาถึงขนาดตายแล้ว อั้ย”
ตามความจริงเนี่ยเฟิงรู้ว่าฉินเทียนกังตายมานานแล้ว เพราะว่าเขาอยากให้คนคนหนึ่งตายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขามีชีวิตอยู่
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเนี่ยเฟิงทำ
ทางนี้เพียงแค่เชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น เขาจะทำให้ผู้วางแผนเหล่านั้นที่เข้าร่วมในคดีร้ายแรงคดีนี้ แต่ละคนตกเข้าสู่ความหวาดกลัว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเราก็อยู่ที่นี่ต่ออีกวันหนึ่งเถอะ เมื่อวานแกเพิ่งเจอกันกับฉินเทียนกัง กลางคืนเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นวันนี้แกก็อย่าเพิ่งปรากฏตัว”
เป็นอย่างที่คิดไว้วันนี้พี่น้องทั้งสองล้วนไม่ได้ออกจากประตูของโรงแรมเลยจริงๆ ชิวมู่เฉิงจัดการกิจธุระของบริษัทอยู่ในโรงแรม ส่วนเนี่ยเฟิงเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ
ตามความจริงเขาไม่ได้เล่นเกมอะไรเลย เขาเปิดมือถือขึ้นมาสืบหาหลักฐานว่ารวบรวมเป็นยังไงแล้วบ้าง
บริษัทของฉินเทียนกังในตอนนี้ไม่มีประธานกรรมการและไม่มีทายาทด้วย ปัจจุบันนี้วุ่นวายเละเป็นโจ๊ก
ฉินเทียนกังคนนี้เดิมทีก็เป็นคนเห็นแก่ตัวถือดีคนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมอบทรัพย์สินให้กับคนนอก นอกเหนือจากลูกชายตนเอง
เพียงน่าเสียดายที่ลูกชายเขาก็เป็นคนไร้ความสามารถไม่เอาไหนคนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นอีกในตอนนี้ลูกชายเขาเป็นโรคประสาทยังอยู่ในโรงพยาบาลดังนั้นบริษัทของฉินเทียนกังก็กลายเป็นเนื้อติดมันชิ้นหนึ่ง คนทั้งหลายล้วนอยากได้จนน้ำลายไหลอยู่
“น่าเสียดายแล้ว”
เนี่ยเฟิงส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก ฉากนี้ที่บริษัทเขาถูกแตกเป็นเสี่ยงๆไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา ถ้ารู้แต่แรกน่าจะไว้ชีวิตเขาสักหน่อย ให้เขาเห็นบริษัทของตนเองแตกกระจุยกับตา กำจัดเขาอย่างนี้ ทำให้เขาสบายเกินไปแล้วจริงๆ
แต่ว่าเมื่อคืนเนี่ยเฟิงควบคุมกระบวนความคิดของตนเองไม่ไหวจริงๆ ถึงยังไงคู่อริที่ฆ่าพ่อก็อยู่ต่อหน้าตนเอง เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะใจอ่อนล่ะ?
แม้ว่าหุ้นส่วนเหล่านั้นไม่ได้ไปแบ่งกลืนอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้นเลย แต่ก็ค่อยๆกินทีละนิดอยู่เช่นกัน
แต่ถึงแม้ว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเศรษฐกิจหลักตกอยู่ในมือของเนี่ยเฟิงมานานแล้ว
หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฉินเทียนกังจับกุมอยู่ในมือของเนี่ยเฟิงแล้ว
รอถึงพรุ่งนี้ตอนที่เริ่มงานศพ เขายังจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับคนที่ตายแล้ว แม้ว่าฉินเทียนกังรับของขวัญชิ้นนี้ไม่ได้แล้ว แต่ว่าคนอื่นๆยังสามารถมองเห็นได้
วันถัดมา ชิวมู่เฉิงเปลี่ยนชุดเดรสสีดำชุดหนึ่ง เสื้อสีดำนั้นเสริมให้เธอมีความงดงามที่โอ่อ่าเคร่งขรึมน่าเคารพแบบหนึ่ง ทำให้คนเห็นแล้วละสายตาไม่ได้
ความสวยงามแบบนี้ไม่อนุญาตให้ดูหมิ่นนะ
บนใบหน้าที่ขาวสะอาดหมดจดของเธอไม่มีแป้งเสริมสวยอะไร แต่ล้วนไม่รู้ว่าดูดีกว่าคนอื่นที่ได้แต่งหน้ามากขนาดไหน
“เสี่ยวเฟิง ไปเถอะ”
เนี่ยเฟิงก็ยากที่จะเปลี่ยนเป็นชุดสูทสีดำเช่นกัน น้อยมากที่เขาจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้
เนี่ยเฟิงพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีกติดตามอยู่ข้างหลังชิวมู่เฉิง
ทั้งสองคนขึ้นรถมาถึงสถานที่จัดงานศพ
ฉินเทียนกังนอนอยู่โลงแก้วอย่างเงียบๆ ให้คนมองด้วยความเคารพ