พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 464 ผู้อยู่เบื้องหลัง
พอเฟยหลงได้ยินเนี่ยเฟิงพูดอย่างนี้ทันทีทันใดก็เงียบไปเลย เห็นเพียงใบหน้าของเขาเศร้าลง “ทำไมไม่ให้หม่างซืออยู่ที่นี่ล่ะ? ผมก็อยากไปเช่นกัน!”
ใครจะไร้สาระวิ่งมาทำลายห้องกัปตันเรือล่ะ คิดแล้วก็เป็นไปไม่ได้
ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาก็จะไม่พูดมากแล้ว ตามครูไป ถึงยังไงก็สามารถเจอกับศัตรูได้บ้าง แก้คันมือสักหน่อย
หม่างซือหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ประเด็นหลักคือคุณดูแล้วไว้ใจได้กว่า!”
เฟยหลงไม่มีทางอื่นได้เพียงแต่อยู่เฝ้าห้องกัปตันเรือต่อ
เนี่ยเฟิงและคนอื่นๆในมือหิ้วเครื่องดับเพลิงไว้ไปยังชั้นที่สอง
ตอนนี้บนเรือสำราญลำนี้มีไฟไหม้ที่ใหญ่เล็กต่างกัน มีสถานภาพที่ไฟเล็กน้อยกลายเป็นดุร้ายเป็นพิเศษแล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องดับก่อน โชคดีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่อยู่บนเรือสำราญนี้เต็มเปี่ยมมาก ทุกชั้นล้วนติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงเลย
เนี่ยเฟิงกับหม่างซือทั้งสองคนแยกย้ายไปดำเนินการ ส่วนหมิงอี๋หานติดตามอยู่ข้างกายเนี่ยเฟิง
เดิมทีเธอคิดว่าจะไปดับไฟที่ข้างห้องด้วยตนเอง แต่เนี่ยเฟิงกลับล็อกเธอไว้อยู่ข้างกาย “เรือลำนี้ยังมีอันตรายที่ไม่รู้อีกมากมาย พี่สี่ยังคงอยู่ข้างกายผมจะดีกว่า”
หมิงอี๋หานไม่มีทางอื่น ได้เพียงแต่ติดตามอยู่ข้างกายเนี่ยเฟิงแล้ว
เนี่ยเฟิงดับไฟว่องไวมาก ผ่านไปไม่นานก็ดับไฟชั้นที่สามไปหมดแล้ว
เรือสำราญลำนี้แม้ว่ามีสิบสองชั้น แต่ไม่ใช่ทุกชั้นล้วนมีเนื้อที่เดียวกัน มันเหมือนรูปร่างเจดีย์ เดินขึ้นข้างบนเนื้อที่ก็จะยิ่งเล็กลง
โดยทั่วไปชั้นข้างล่างล้วนเป็นที่พักกับสถานที่ทำงานของพนักงาน ส่วนชั้นกลางจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกความบันเทิงที่ชั้นสูงกว่านี้หน่อยก็คือสถานที่พักของพวกแขกผู้มีเกียรติ
ดังนั้นเมื่อกี้พวกเขาลงมาจึงได้เจอคนมากมายขนาดนั้น เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่ละคนหวาดกลัวเหลือเกิน
ทั้งข้างล่างไม่ได้เห็นมีคนอะไรเลย คนเหล่านั้นน่าจะล้วนรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นสูง ปัจจุบันนี้พวกเขายังสามารถได้ยินเสียงร้องที่เศร้าโศก,เสียงร้องกรี๊ดที่เลือนรางไม่ชัดเจนส่งมาจากข้างบนลงมาได้บ้าง
กระทั่งมีคนกระโดดลงไปจากเรือแล้ว อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้กระโดดลงไปมีเพียงแค่ทางตายทางเดียว
“เสี่ยวเฟิง ในใจฉันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ถ้าหากเรือสำราญลำนี้ถูกทำลายแล้ว งั้นพวกเราควรจะทำยังไงดีล่ะ?”
สำคัญที่สุดคือที่นี่พวกเขาไม่มีเครื่องส่งสัญญาณ อีกทั้งก็ไม่มีสัญญาณเช่นกัน อยากจะติดต่อกองบัญชาการกองทัพจะเป็นไปไม่ค่อยได้เช่นกัน
“มีผมอยู่ จะไม่เป็นไรล่ะ”
เนี่ยเฟิงตอบกลับอย่างมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม เมื่อกี้เขาอยู่ในห้องกัปตันเรือได้ตรวจดูแผนผังเรือสำราญอย่างชัดเจนแล้ว อีกทั้งรู้ถึงตำแหน่งที่อยู่ของเรือชูชีพด้วย
ถึงแม้ว่าเรือสำราญที่โออ่าหรูหราที่พวกเขาอยู่จมลงไปแล้ว พวกเขาเนี่ยเฟิงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตายเช่นกัน
หมิงอี๋หานเห็นลักษณะท่าทีที่มั่นใจในตนเองขนาดนั้นของเนี่ยเฟิง เธอก็ค่อยๆโล่งอกไปที
“ในเมื่อแกพูดเช่นนี้แล้ว งั้นฉันก็เชื่อแก”
เนี่ยเฟิงหลายคนดับไฟต่อ
และอยู่ในเวลานี้ คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนส่วนยอดที่สุดของเรือสำราญมองลงไปชมดูสภาพน่าเวทนานี้อยู่ พวกเขาหลายคนดื่มไวน์แดงเอ้อระเหยอิสระอยู่
“ไอ้หยะ เห็นคนเหล่านี้หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ ก็ทำให้ผมนึกถึงคดีร้ายแรงแต่ก่อนเรื่องนั้น”
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณพูดส่งเดชอะไรล่ะ? นั่นจะเป็นคดีร้ายแรงได้ยังไง นั่นเรียกว่าศิลปะ!”
“วันหลังจะถูกเรียกว่าอะไรนะ? เหมือนเป็นคดีร้ายแรงบนทะเล ใช่ไหม?”
“แต่น่าเสียดายแล้ว ในตอนต้นไม่ได้ทำให้เชื้อสายที่เหลือตัวนั้นตาย ให้เขาเอาตัวรอดไปวันๆมาจนได้ ตอนนี้ยังสร้างความยุ่งยากที่รุนแรงขนาดนั้นให้กับพวกเราอีก…….”
หลายคนนั้นทำตายี๋จ้องมองอยู่
ผู้ชายที่ดูแล้วสุภาพเรียบร้อยแว่นตาขอบทองในนั้นคนหนึ่ง นัยน์ตาที่สีเหลืองอำพันคู่นั้นของเขาแว็บผ่านแสงที่เจ้าเล่ห์เล็กน้อย “มีอะไรน่าเสียดายล่ะ? เขาก็อยู่ในแผนการทำลายของผมเช่นกัน”
“สมเป็นผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเป็นพระราชาแห่งตี้ตู เป็นอย่างที่คิดไว้ร้ายกาจจริงๆ!”
สุนัขรับใช้หลายตัวที่อยู่ข้างกายชื่นชมอย่างประจบทันที
“เอาล่ะ อย่าพูดสิ่งเหล่านี้เลย ให้ลูกน้องของพวกคุณดำเนินงานอย่างเรียบง่ายหน่อย รีบจัดการหลู่เปิ่นเหว่ยทิ้ง หากเขาอยู่รอดจะสร้างความเสียหายที่รุนแรงมากให้กับพวกเรา”
ชายที่ใส่แว่นตาขอบทองทำตายี๋ทั้งคู่แล้วทำตายี๋ทั้งคู่อีก คำพูดที่เขาพูดออกมาอ่อนโยนนุ่มนวล แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยแรงอาฆาต
“ลูกน้องของผมบอกว่ามีคนเปลี่ยนเส้นทางเรือสำราญแล้ว”
ในเวลานี้ สมาชิกในนั้นคนหนึ่งสีหน้าเปลี่ยนทันที “ในคนที่แค่กินดื่มเป็นไม่ทำอะไรเลยเหล่านี้ถึงขนาดยังมีคนขับเรือเป็นเหรอ?”
ต้องรู้ว่ากัปตันเรือ,รองกัปตันเรือ,คนถือหางเสือและพวกกะลาสีเรือที่อยู่บนเรือลำนี้ล้วนถูกพวกเขาจัดการไปแล้ว แม้แต่อุปกรณ์การเชื่อมต่อของแผงควบคุมล้วนถูกตัดขาดแล้วเช่นกัน ตามหลักการมากล่าวแล้วจะไม่มีคนสามารถควบคุมเรือสำราญได้นะ
“รู้ว่ามีคนควบคุมเรือสำราญอยู่ งั้นยังไม่รีบไปจัดการอีกล่ะ? จะรอให้เรือสำราญขับกลับไปจนทำให้พวกเราถูกเปิดเผยเลยเชียวเหรอ?”
ชายที่สวมแว่นตาดื่มเหล้าหนึ่งทีอย่างช้าๆ พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนแบบนี้
“ผมรู้แล้ว ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“ต้องส่งคนที่เก่งที่สุดคนนั้นไป ฝ่ายตรงข้ามอยู่ภายใต้สภาพการณ์ที่วุ่นวายขนาดนี้สามารถหาห้องกัปตันเรือเจอ อีกทั้งยังฟื้นคืนแผงควบคุมเรือสำราญแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นบุคคลที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง อย่าชะล่าใจ”
“เข้าใจแล้ว!”
ในเวลานี้ยามนี้ เฟยหลงกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้กัปตันเรือ เขารู้สึกเซ็งมากจ้องมองพื้นทะเลที่มืดสลัวอยู่ข้างหน้า รู้สึกขาดความตื่นเต้นเล็กน้อย
“หม่างซือ คุณฝั่งโน้นเป็นยังไงบ้างแล้ว? ได้พบเจอกับยอดฝีมือหรือไม่ล่ะ?”
แม้ว่าไม่มีสัญญาณ แต่ที่พวกเขาสวมใส่คือเครื่องการสื่อสารทางทหาร เครื่องการสื่อสารอันนี้ไม่ต้องได้รับสัญญาณไร้สายเลย มันใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดังนั้นถึงแม้ว่าอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ทั้งสองคนก็สามารถพูดคุยกันได้
“กำลังยุ่งดับไฟอยู่ล่ะ ยอดฝีมืออะไร แม้แต่แมลงวันก็ยังไม่ได้ตีสักตัว!”
ตอนนี้หม่างซือมีความเสียใจภายหลังเล็กน้อยแล้ว ถ้ารู้ตั้งแต่แรกไม่มีคนอะไรที่จะสามารถให้เขาฝึกฝีมือหน่อย เขาก็จะเปลี่ยนกันกับเฟยหลงเสียเลย
พอเฟยหลงได้ยิน ทันทีนั้นมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นขึ้นมา “ฮึ! ดูแล้วงานชิ้นนั้นของคุณก็ไม่ได้ทำง่ายเช่นกันล่ะ? ครูพวกเขาล่ะไปไหนแล้ว? พวกคุณดับไฟดับถึงชั้นที่เท่าไหร่แล้วล่ะ?”
“ผมอยู่ทิศใต้ ครูพวกเขาอยู่ทิศเหนือ ตอนนี้พวกเราดับไฟดับถึงชั้นที่ห้าแล้ว”
หม่างซือเขย่าเครื่องดับเพลิงในมือเขย่าแล้วเขย่าอีก ในเวลานี้เขาพบเห็นว่าปริมาณในเครื่องดับเพลิงไม่เยอะแล้ว ดังนั้นเขาเดินไปที่ข้างดาดฟ้าเรือ คิดว่าจะเปลี่ยนเครื่องดับเพลิงอีกอันหนึ่ง
ก็อยู่ในเวลานี้หม่างซือมองเห็น ระเบียงทางเดินท้ายสุดมีผู้ชายคนหนึ่งค่อยๆเดินเข้ามายังเขา เขาสังเกตถึงอย่างฉลาดหลักแหลมว่าคนคนนี้ไม่ใช่ครูเด็ดขาด
เขาทำตายี๋แล้วทำตายี๋อีก เห็นลักษณะท่าทีของคนคนนี้ไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ย่างก้าวเบาบาง น่าจะเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง
สำคัญที่สุดคือหน้าอกของไอ้คนนี้มีเข็มกลัดที่สะท้อนแสงได้อันหนึ่ง ก็พูดได้ว่าเขาเป็นผู้ก่อจลาจล
ในเวลานี้ แสงจันทร์โผล่ออกมาจากเมฆดำ แสงจันทร์ที่เย็นสดใสเช่นดั่งน้ำแข็งสาดส่องอยู่บนดาดฟ้าเรืออย่างเจิดจ้า หม่างซือก็เห็นคนที่มาได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน
บนกายเขาสวมใส่ชุดกังฟูสีขาว บนใบหน้าไม่มีสีหน้าใดๆ เห็นเพียงเขากวักมือแล้วกวักมืออีกกับหม่างซือ ทิ้งประโยคหนึ่งมาว่า “รีบมารับความตาย”
และเนี่ยเฟิงที่อยู่ในเวลานี้ ไปถึงชั้นที่หกแล้ว สถานภาพไฟอยู่ที่บันไดรุนแรงมาก ไหม้จนคนเหงื่อออกพลั่กๆเขายังไม่ทันดับไฟล่ะ ก็ได้เห็นรูปร่างคนครุมเครืออยู่ในแสงไฟ
เนี่ยเฟิงยักคิ้วหนึ่งที โดยจิตใต้สำนึกพาหมิงอี๋หานไปข้างหลัง หมิงอี๋หานรู้ว่าคนคนนั้นที่อยู่ตรงข้ามไฟน่าจะร้ายกาจมาก
“ที่แท้ยังมีคนใจเย็นขนาดนั้น ช่างสุดยอดจริงๆ”
น้ำเสียงตอนที่ฝ่ายตรงข้ามพูดมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย เช่นดั่งลิ้นยืดไม่ตรง เพราะว่าผ่านกำแพงไฟอยู่ ดังนั้นเนี่ยเฟิงเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ค่อยชัด
“ผมกล่าวเตือนคุณดีที่สุดอย่าขวางทางผม” เนี่ยเฟิงหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “มิฉะนั้นเครื่องดับเพลิงของผมจะไม่มีตานะ”