พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 472 จุดจบของผู้กีดขวาง
ความเคลื่อนไหวที่นี่ดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจของลูกพี่คนนำ ชายในชุดรัดรูปสีม่วงฉูดฉาด สวมรองเท้าหนังเป็นมันเงา ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเนี่ยเฟิง
เขามองพิจารณาเนี่ยเฟิงด้วยสายตาจับผิด จากนั้นก็ถูกดึงดูดด้วยความงามของชิวมู่เฉิง
เขามองเธอด้วยความลุ่มหลง ราวกับจะสำรวจชิวมู่เฉิงจนหมดจดด้วยสายตาของเขา
“ไอ้หนูที่ไหนเนี่ย ถึงไม่รู้จักพี่ชุนแห่งเมืองซานเจียงของพวกเรา แต่คนตัวเล็กๆ อย่างพวกแก ไม่เคยได้ยินชื่อพี่ชุนก็ถือเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ฉันจะให้โอกาสแกออกไปจากที่นี่ทันที แกไปได้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ต้องอยู่เป็นการไถ่โทษ” ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ
คิ้วของชิวมู่เฉิงได้ขมวดแน่นแล้ว บ่งบอกได้ว่าเธอไม่พอใจมาก
เมื่อฝูหม่านโหลวเกิดเรื่อง ชิวมู่เฉิงก็วางแผนจะออกไปกับเนี่ยเฟิง แต่ตอนนี้ชิวมู่เฉิงเปลี่ยนใจอีกแล้ว เมื่อพบเจอกับการยั่วยุและรังควานที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ เธอจะนั่งดูเฉยๆ อยู่ได้อย่างไร?
“ตอนนี้คุณกำลังรังควานฉันอยู่หรือเปล่า?” ชิวมู่เฉิงเงยหน้าขึ้นมองชายในชุดสีม่วงด้วยดวงตาทั้งสองอันงดงาม
ชายชุดม่วงแสยะยิ้ม “สาวสวย ถ้าคุณพอใจ จะเรียกว่าจีบก็ได้”
“รบกวนเวลากินข้าวของเราสองคน แล้วยังมาพูดจาแทะโลมผู้หญิงของผมต่อหน้าต่อตาอีก ดูท่าทางคุณช่างห้าวหาญนัก”
เนี่ยเฟิงยิ้มเยาะ
“ไอ้เด็กเวร กล้าดียังไงมาพูดจาอวดดีต่อหน้าพี่ปอโล๋ของเรา? ดูท่าทางแกจะไม่รู้จักคำว่าตายซะแล้ว!”
อาจเป็นเพราะมีลูกพี่ออกมาหนุนหลัง ดังนั้นเจ้าเด็กเวรนี่จึงลืมความเจ็บปวดเมื่อแผลหาย เกิดกำแหงขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าลืมความอับอายเมื่อครู่ที่เขาพยายามยกโต๊ะหลายครั้งก็ยังยกไม่ขึ้นไปหมดแล้ว
“ผมไม่ไป พวกคุณต้องการสั่งสอนผมเหรอ?”
ดวงตาอันคมกริบของเนี่ยเฟิงหรี่ลงเป็นเส้น ส่องประกายอันตราย
ในเวลานี้เถ้าแก่ของฝูหม่านโหลวก็มาถึง เป็นผู้ชายที่ยังหนุ่มมาก ดูจากสายตาอายุแค่ราวๆ สามสิบ
แม้ว่าจะยังหนุ่มมาก แต่ก็เป็นคนอ้วนเตี้ย เมื่อเห็นสถานการณ์ทางนี้ ไอ้อ้วนเตี้ยก็วิ่งลนลานเข้ามาหา พยักหน้าโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้รับข่าวล่วงหน้าว่าพี่ชุนจะมาเหมาที่นั่ง… แต่พวกคุณมาที่นี่กะทันหันเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็รอสักครู่
“หลังจากที่แขกชุดนี้รับประทานอาหารเย็นเสร็จ ผมจะให้คนไปทำความสะอาดทันที ไม่ทำให้พวกคุณเสียเวลาหรอก”
ไอ้อ้วนเตี้ยพูดกับพี่ปอโล๋ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ใครจะรู้ว่าพี่ปอโล๋จะยิ้มเยาะแล้วถีบไอ้อ้วนเตี้ยกระเด็นออกไป ไอ้อ้วนเตี้ยล้มลงกับพื้นทันที กลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้นสองรอบ หน้าตายู่ยี่
“นี่นายกำลังต่อรองอยู่กับใคร? หรือว่านายจะเป็นเหมือนคนนอกคนนี้ ที่ไม่รู้ว่าพี่ชุนมีอำนาจแค่ไหน?”
พี่ปอโล๋มองลงไปที่ไอ้อ้วนเตี้ย แล้วยิ้มอย่างเย็นชา
ไอ้อ้วนเตี้ยพยายามลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก แล้วเดินเข้าไปกระซิบข้างๆ เนี่ยเฟิงว่า “คุณผู้ชายท่านนี้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ คุณก็ได้เห็นสถานการณ์ทางนี้แล้ว ไม่ต้องกังวล มื้ออาหารวันนี้ทางเราจะไม่เรียกเก็บ แล้วยังจะมอบคูปองเงินสดจำนวน 5,000 หยวนให้แก่พวกคุณด้วย พวกคุณสามารถนำคูปองเงินสดนี้มาใช้รับประทานอาหารได้ทุกเวลา”
ไอ้อ้วนเตี้ยก็โชคร้ายเช่นกัน เมื่อต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้เขาก็ไม่มีทางเลือก
แต่เนี่ยเฟิงไม่มีทีท่าว่าจะไป “ต้องขอโทษจริงๆ มื้อนี้ผมยังรับประทานไม่เสร็จ ไม่มีทางทิ้งโต๊ะไปกลางคันเด็ดขาด” เนี่ยเฟิงเหลือบมองไอ้อ้วนเตี้ย แล้วมองพี่ปอโล๋อย่างยั่วยุ เขาพูดประโยคนี้ออกมาช้าๆ
พี่ปอโล๋คงไม่คิดว่าเนี่ยเฟิงจะงี่เง่าแบบนี้ ทั้งๆ ที่รู้สถานะของพวกเขาที่นี่ก็ยังจะอยู่ต่ออีก?
“ดูท่าทางพูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง ในเมื่อรีบรนหาที่ตาย ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะทำให้แกสมความปรารถนา พอแกตายแล้ว แฟนสาวของแกพวกเราจะรับช่วงต่อเอง!”
พวกเขาส่งเสียงหัวเราะดังลั่นและหยาบคาย และในเวลานี้เนี่ยเฟิงก็หัวเราะอย่างคลุมเครือ
“พวกคุณจะลองดูก็ได้”
หลังจากพี่ปอโล๋หัวเราะจนพอใจแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขายกมือขึ้น กำลังจะต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของเนี่ยเฟิง แต่ก่อนที่มือของเขาจะได้สัมผัสเนี่ยเฟิง ร่างของเขาก็ลอยหวือออกไปแล้ว จนกระแทกลงบนโต๊ะอาหารที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร เขารู้สึกได้ว่ากระดูกของตัวเองแตกละเอียด
เนี่ยเฟิงยกขาถีบชายคนนั้นออกไปโดยไม่ต้องรวบรวมพละกำลังเลย
นักเลงที่อยู่ข้างๆ เห็นลูกพี่ของตัวเองถูกโจมตี จึงย่อมต้องการจะลงมือบ้าง เขาฟาดฝ่ามือลงไป เนี่ยเฟิงถอยออกไปเล็กน้อย มือของนักเลงจึงฟาดลงกับโต๊ะโดยตรง และในเวลานี้เนี่ยเฟิงก็คว้าตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมาแล้วแทงเข้าที่หลังมือของอีกฝ่าย
“ซี้ด!” เสียงดังขึ้นอย่างฉับพลัน ตามมาด้วยเสียงคร่ำครวญของนักเลง ไอ้อ้วนเตี้ยเห็นมือของนักเลงถูกตะเกียบแทงเข้าไป และตะเกียบนั้นก็เสียบทะลุโต๊ะอีกด้วย
ไอ้อ้วนเตี้ยกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก มองเนี่ยเฟิงด้วยสายตาหวาดกลัวลนลาน ผู้ชายคนนี้เป็นใครมาจากไหน? ทำไมถึงร้ายกาจเช่นนี้?
อันที่จริงชิวมู่เฉิงก็รู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนี้หยาบคายเกินไป แต่อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มก่อน เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ตอบโต้กลับ ดังนั้นเธอจึงมองเนี่ยเฟิงด้วยสายตาชื่นชม
“พี่ใหญ่ ทำให้พี่ตกใจหรือเปล่า?” หลังจากเนี่ยเฟิงรู้สึกตัวก็ถามชิวมู่เฉิงเช่นนี้ แต่ชิวมู่เฉิงกลับส่ายหน้า
“คนแบบนี้จำเป็นต้องได้รับบทเรียนจริงๆ ให้พวกเขารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมายั่วยุได้ง่ายๆ”
“น่าเสียดาย โต๊ะตัวนี้เกรงว่าจะใช้ไม่ได้แล้ว เถ้าแก่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ทำลายข้าวของของคุณ”
เนี่ยเฟิงมองไอ้อ้วนเตี้ยด้วยท่าทางขอโทษ ไอ้อ้วนเตี้ยส่ายหน้าอย่างมึนงง เขารู้สึกวิงเวียน ภาพตรงหน้ามันออกจะมหัศจรรย์เกินไปหน่อย ตะเกียบนี้เป็นไม้จริงๆ แต่โต๊ะนั้นทำด้วยโลหะบวกกับไม้ คุณคนนี้ต้องใช้พละกำลังเท่าไหร่ถึงจะแทงตะเกียบทะลุได้ และหลังมือของเขาก็ทะลุโต๊ะด้วย?
และในเวลานี้นักเลงก็เจ็บปวดมากจนไม่กล้าชักมือออก ตอนนี้มือของเขาต้องถูกตะเกียบตรึงไว้เท่านั้น
“ตอนแรกอยากรับประทานอาหารอย่างสงบ แต่ตอนนี้ดูท่าทางจะกินไม่ลงแล้ว”
เนี่ยเฟิงพูดพลางถอนหายใจแล้วลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนร่างกาย ถึงอย่างไรถ้าคนคนนี้ยังยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็กินไม่ลงเหมือนกัน
“งั้นเราไปร้านอื่นกันดีไหม?” ชิวมู่เฉิงพูดจบก็หยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างเก้าอี้ขึ้นมา ดูท่าทางกำลังจะเดินออกไป ในเวลานี้ไอ้อ้วนเตี้ยงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่พักหนึ่ง
“เปลี่ยนร้านกินต้องดีแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมซัดสองคนนี้หมอบ เกรงว่าจะมีใครมาสร้างปัญหาให้เถ้าแก่ในภายหลัง…”
เนี่ยเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบโทรศัพท์ออกมา “ผมจะให้เบอร์โทรคุณไว้ ถ้ามีใครมาหาเรื่องก็โทรหาผม ผมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำเอง”
เหตุผลหลักคือคนที่ชื่อพี่ชุนคนนี้ได้ส่งคนมาเคลียร์สถานที่อย่างเอิกเกริก ทำให้เนี่ยเฟิงไม่พอใจมาก
ไอ้อ้วนเตี้ยก็ไม่รู้ว่าเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างไร และบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของเนี่ยเฟิงเอาไว้อย่างงุนงง
“คุณชื่ออะไร? ผมชื่อเนี่ยเฟิง”