พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 64 เกิดเหตุร้ายกะทันหัน
บทที่ 64 เกิดเหตุร้ายกะทันหัน
ตอนที่เนี่ยเฟิงตื่นขึ้นมา ก็เห็นข้อความในโทรศัพท์
เขาหรี่ตา “ฉันว่าแล้วเชียวเจ้าพวกนี้จะต้องไม่มีทางปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป”
หลังเนี่ยเฟิงกดเข้าไป ก็บอกกลุ่มข่าวกรองสำนักมังกรว่า “แฮคระบบรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลเฟิร์สได้แล้วเหรอ? ดักฟังไปถึงไหนแล้ว?”
“ตอบราชามังกร ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว!”
“ดี ละครดีจะออกฉายแล้วสินะ”
เนี่ยเฟิงยิ้มเย็น จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มาที่โรงพยาบาลคังหมิง
เนี่ยเฟิงเพิ่งมาถึง ก็เห็นสีหน้าพี่สี่เคร่งขรึมอยู่บ้าง เธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน
“ค่ะ ฉันรู้แล้ว”
หลังหมิงอี๋หานวางสายก็เห็นว่าเนี่ยเฟิงมาแล้ว เธอฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า “เสี่ยวเฟิง วันนี้ฉันมีเรื่องที่ต้องจัดการเยอะอยู่บ้าง เลยไม่ได้ไปรับนาย เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?”
“ไม่ต้องมารับผมหรอก พี่สี่ ผมรู้ว่าโรงพยาบาลของเราอยู่ที่ไหน”
เนี่ยเฟิงเดินเข้าไป จากนั้นก็มองหาที่นั่งแล้วนั่งลง “พี่สี่ ผมว่าสีหน้าพี่ท่าทางดูไม่ดีนัก ทำไมเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”
“ปิดบังนายไม่ได้จริงๆ ด้วย”
หมิงอี๋หานถอนหายใจ “เมื่อเช้าทางตำรวจส่งข่าวมา บอกว่า……ผู้อำนวยการเจิ้งตายแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง? เมื่อวานเห็นผู้อำนวยการเจิ้งยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ก็ดูเป็นคนแข็งแรงดีนี่”
เนี่ยเฟิงแสร้งทำท่าตกใจมองหมิงอี๋หาน
“ฉันก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน……ปกติเขาไม่มีโรคประจำตัวอะไร หรือว่าเขาจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองอักเสบมาตลอด? พอพบเจอเรื่องแบบนี้ เลยทนไม่ไหวเลือดออกในสมองตาย?”
หมิงอี๋หานลูบคาง พลางวิเคราะห์ออกมา
“ช่างเถอะ ถึงเวลาหมอนิติเวชก็วินิจฉัยเอง เพียงแค่รู้สึกเหนือความคาดหมายเท่านั้นเอง”
เรื่องนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไรเลย เนี่ยเฟิงทราบดี
เพราะเมื่อวานเนี่ยเฟิงให้คนคอยจับตาดูอย่างลับๆ พบว่าเมื่อกลางดึกมี “ทนาย” ของผู้อำนวยการเจิ้งแวะมาหา
เขาอยู่ในมุมอับสายตา จากนั้นก็ฉีดยาบางอย่างให้เขา
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อำนวยการเจิ้งตายอย่างฉับพลัน
“พี่สี่ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก! วันนี้ยังมีงานต้องทำอีกนะ!”
เนี่ยเฟิงส่งยิ้มอย่างจริงใจไปให้ หมิงอี๋หานจึงพยักหน้า “นั่นสิ วันนี้ยังมีทีมงานการแพทย์ของประเทศรัสเซียมาเยี่ยมเราที่นี่ด้วย เสี่ยวเฟิง นายก็คอยฟังอยู่ข้างๆ ฉันนี่แหละ”
“ได้!”
เพียงแต่ที่เนี่ยเฟิงบอกว่ามีงานต้องทำ ไม่ได้เกี่ยวกับงานหลักเลยสักนิด
เวลาเก้าโมงกว่า ดร.หยางที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในบ้านจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
เขาเดินไปเปิดประตูอย่างนึกสงสัยอยู่บ้าง ก็เห็นว่ามีตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตู
“ดร.หยาง พวกเราสงสัยว่าคุณร่วมกันทำผิดกฎหมายโดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองมนุษย์ ขอเชิญคุณตามไปกับพวกเราด้วย!”
ดร.หยางพลันเบิกตากว้าง สีหน้าเจือแววร้อนรน “พวกคุณพูดบ้าอะไร?! ผมจะไปทำการทดลองมนุษย์ได้ยังไง! พวกคุณมีหลักฐานอะไร!”
ตำรวจหยิบแท็ปเลตออกมา ด้านในมีเนื้อหาประกาศว่าดร.หยางทำผิดกฎหมายโดยทำการทดลองมนุษย์!
ดร.หยางพลันนิ่งงันอยู่กับที่ เห็นชัดว่าเป็นเขากำลังทำการทดลองอยู่ในห้องทดลอง ทำไมถึงมีคนถ่ายไว้ได้? แท้จริงเป็นฝีมือใครกันแน่?
“พวกเราได้รับแจ้งจากผู้นิรนาม ดร.หยาง เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของเราได้รุดไปยังห้องทดลองของคุณแล้ว คุณโต้แย้งได้ แต่สิ่งที่คุณพูดจะนำไปใช้ในการพิจารณาคดีในชั้นศาล”
หลังดร.หยางถูกจับ ข่าวนี้คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นที่ฮือฮาในโลกโซเชี่ยล
คลิปวิดีโอที่รุนแรงและยังฟุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเต็มเกลื่อนในโลกโซเชี่ยล และเนื้อหาด้านในก็คือดร.หยางที่ขึ้นชื่อว่าอาจารย์กำลังทำการทดลองมนุษย์
หลังเรื่องราวเป็นที่ฮือฮาอยู่ไม่นานนัก ก็มีข่าวร้ายแรงแพร่มาอีก
เป็นเรื่องที่ประธานสมาคมของสมาคมการแพทย์แห่งเมืองจินไห่ประพฤติตัวเสื่อมเสีย ดังนั้นสมาคมการแพทย์แห่งเมืองจินไห่จึงได้รับการตรวจสอบจากเบื้องบน
ภายใต้ความช่วยเหลือของ “พลเมืองผู้หวังดี” พวกเขาจึงควบคุมข่าวได้อย่างรวดเร็ว และยังสืบเจอความจริงที่ว่าเบื้องบนของแพทยสมาคมได้ใช้มูลนิธิการกุศลในการหาเงินโดยมิชอบ
ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิการกุศลของแพทยสมาคม จึงถูกระงับเงินทุนหมุนเวียนทั้งหมดตั้งแต่เมื่อเช้า พนักงานรวมถึงโรงพยาบาลต่างถูกตรวจสอบทั้งหมด
หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าแพทยสมาคมในเวลานี้เริ่มหนาวแล้ว
เนี่ยเฟิงอ่านข่าวนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจอย่างมาก ตอนนี้โรงพยาบาลใหญ่น้อยในเมืองจินไห่ที่เข้าร่วมกับแพทยสมาคมคงจะอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาแล้ว
“เสี่ยวเฟิง เหลือข้อมูลที่ต้องจัดเก็บอีกไม่มากแล้วใช่ไหม?”
เวลานี้ หมิงอี๋หานเดินเข้ามา วันนี้เธอยุ่งเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาสนใจข่าวทางอินเทอร์เน็ต
“ที่แท้นายก็มัวเล่นมือถืออยู่นี่เอง หากไม่จัดการให้เสร็จล่ะก็ งั้นพี่ก็จะจัดการให้นายทำงานเล็กๆ เหล่านี้แทน จะได้ไม่ต้องใช้ความสามารถ”
หมิงอี๋หานพยักหน้ากับตัวเอง เนี่ยเฟิงได้ยินก็รู้สึกแค่ว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “งานวิชาการน่ะเหมาะกับผมแล้ว งานนั้นพี่รับไปก็พอ อ้อ จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง……”
เนี่ยเฟิงเดินไปหาหมิงอี๋หานพลางส่งโทรศัพท์ให้ “วันนี้เหมือนจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นบางอย่าง พี่สี่ลองอ่านสิ!”
หมิงอี๋หานขมวดคิ้ว รับโทรศัพท์ไปเปิดดู จากนั้นก็เบิกตากว้างอย่างห้ามไม่อยู่ “ดร.หยางถึงกับเคยทำเรื่องแบบนี้เชียวหรือ?!”
“แม้คลิปวิดีโอจะถูกเซนเซอร์ไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ได้แคปหน้าจอเก็บไว้บางส่วน ดร.หยางดูเป็นคนท่าทางสุภาพใจดี แต่คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะถึงกับทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ไม่อาจตัดสินคนที่หน้าตาได้จริงๆ”
“เรื่องนี้ตัดสินแล้วหรือยัง? คลิปวิดีโอนี้คงไม่ได้มีคนอื่นจงใจสร้างขึ้นมาหรอกนะ?”
หมิงอี๋หานรู้สึกแค่ว่ามันแปลกเกินไป คลิปวิดีโอเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นมุมที่กล้องวงจรปิดถ่ายได้ หรือพวกเขาจะเป็นคนเผยแพร่วิดีโอกล้องวงจรปิดของที่นั่นออกมา?
“เรื่องนี่ผมเองก็ไม่ทราบ แต่ดร.หยางถูกตำรวจพาตัวไปแล้ว และบัญชีธนาคารของแพทยสมาคมก็ถูกระงับแล้ว! พี่ เงินก้อนนั้นของเราคงเข้าแล้วสินะ?”
ในความเป็นจริงแล้วเนี่ยเฟิงรู้อยู่แก่ใจดี ว่าเงินก้อนนั้นจะต้องเข้าแล้วอย่างแน่นอน
“เมื่อวานเข้าบัญชีแล้วล่ะ คิดไม่ถึงว่าวันนี้พวกเขาจะระงับบัญชีของแพทยสมาคมแล้ว ช่างทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ”
แม้ว่าโรงพยาบาลคังหมิงของพวกเขาจะไม่ได้พึ่งพาความสะดวกสบายจากแพทยสมาคม แต่โรงพยาบาลเล็กส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาแพทยสมาคมในการปูทางให้กับพวกเขา
“ตอนนี้แพทยสมาคมถูกตรวจสอบแล้ว อาจเป็นที่โจษขานไปทั่วเมือง และหลังจากมูลนิธิถูกปิดไป ก็อาจจะสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้ยากแล้ว ถึงเวลาอาจเป็นหายนะในหายนะสำหรับโรงพยาบาลเล็กๆ บางแห่งเลยก็ว่าได้”
หมิงอี๋หานขมวดคิ้วมุ่น
“มองไม่ออกเลยว่าพี่สี่จะยังเป็นห่วงพวกเขาอยู่ ทั้งๆ ที่เมื่อวานพวกเขาทำกับพี่แบบนั้น พี่ก็ยังไม่โกรธ”
ปกติหมิงอี๋หานมองดูเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น และมองดูก็เหมือนเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเองเช่นกัน สามารถไม่แยแสเรื่องราวใดๆ ก็ได้
แต่ในความเป็นจริง เธอจิตใจดีงามยิ่งกว่าใคร
“พวกเขาจะปฏิบัติกับพี่ยังไงก็ช่างเถอะ ยิ่งสุนัขที่ไร้ปัญญาจะกัดคนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห่าดังมากเท่านั้น แต่อย่างไรนี่ก็เป็นหน่วยงานทางการแพทย์ พวกเขาล้มแล้ว คนที่ลำบากก็คือชาวบ้าน”
“คำพูดนี้แม้จะพูดได้ไม่ผิด แต่เงินทุนในมูลนิธิการกุศลมักจะถูกขูดรีดไปเป็นชั้นๆ พอถึงคราวสงเคราะห์ชาวบ้านจริงๆ ก็เหลืออยู่เพียงน้อยนิดแล้ว”
เนี่ยเฟิงจงใจยกหัวข้อที่เกิดขึ้นกับมูลนิธิการกุศลขึ้นมาพูด
“นี่คือตัวปัญหาที่แท้จริง”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็สร้างมูลนิธิการกุศลของเราเองขึ้นมาสิ!”