พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 66 ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
บทที่ 66 ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
คณะเพิ่งจะเดินไปถึงใต้ตึกแผนกผู้ป่วยใน ก็เห็นคู่สามีภรรยาวัยกลางคนคุกเข่าตะโกนร้องไห้เสียงดังอยู่บนพื้น
เรียกได้ว่าพวกเขาร้องปิ่มจะขาดใจเลยทีเดียว
“พวกคุณเป็นอะไร?”
หัวหน้าทีมเดินเข้าไปถาม
บางทีอาจจะเห็นว่ามีคนออกหน้าแทนตัวเอง ดังนั้นสามีภรรยาวัยกลางคนจึงพูดอย่างหายใจหายคอไม่ทันว่า
“โรงพยาบาลคังหมิงรักษาคนตาย แต่ไม่ยอมรับ! น่าสงสารพ่อผู้ชราของผม เดิมทีร่างกายแข็งแรงเป็นแค่ไข้หวัดเล็กๆ เท่านั้น พอมารักษาที่นี่ครั้งเดียว กลับไปบ้านถึงกับกระอักเลือดตาย!”
“พ่อ! ชีวิตช่างขมขื่นเหลือเกิน โรงพยาบาลที่ไม่มีคุณธรรมเช่นนี้ช่างเป็นหายนะจริงๆ!”
คนผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างเช็ดน้ำตากรีดร้องเสียงแหลม ดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย
มีญาติคนไข้จำนวนมากที่เดินอยู่บนระเบียงทางเดินต่างเยี่ยมหน้ามาสำรวจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“คณบดี คุณมาแล้ว!”
เวลานี้ หัวหน้าพยาบาลก็เดินเข้ามาเช่นกัน เมื่อกี้ตอนที่สามีภรรยาคู่นี้ร้องไห้โหวกเหวกอีกครั้ง หัวหน้าพยาบาลก็พอจะเข้าใจเรื่องราวแล้ว
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หมิงอี๋หานขมวดคิ้วสวยแน่น เธอติดตามการรักษามานานขนาดนี้ โรงพยาบาลคังหมิงอยู่ใต้การดูแลของเขา อุบัติเหตุแทบจะเป็นศูนย์
เพราะเธอรู้ว่าอาชีพของพวกเขาเป็นอาชีพที่พิเศษ ดังนั้นจึงระมัดระวังมาตลอด จึงไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้มาก่อน
“พวกเราได้สืบประวัติคนไข้มาแล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อนพวกเขาเป็นคนไข้ของแผนกผู้ป่วยนอก คนไข้ชื่อหวงต้าลี่ ปีนี้อายุแปดสิบสามปี นี่เป็นประวัติคนไข้ในตอนนั้น”
เดิมทีหัวหน้าพยาบาลคิดจะคลี่คลายสถานการณ์ แต่สามีภรรยาวัยกลางคนคู่นี้ไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง สรุปก็คือต้องการนั่งทำเสียงดังเอะอะอยู่ที่นี่
เอาแต่บอกว่าการตายของบิดาเขาเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล
หมิงอี๋หานอ่านประวัติคนไข้รอบหนึ่ง ยาที่จ่ายให้ในนี้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง พูดได้ว่า สำหรับคนไข้ที่อายุขนาดนี้ ยาเหล่านี้ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรได้
“ดูอะไรกัน! กินยาของที่นี่เข้าไป พ่อของฉันก็แย่ลง! ไม่ใช่ปัญหาของพวกคุณ หรือว่าเป็นปัญหาของพวกเรางั้นหรือ?!”
พี่หวงทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็ตีพื้นร้องไห้เสียงดัง “ก็เพราะพวกเราไว้ใจโรงพยาบาลพวกคุณ ดังนั้นจึงไม่ได้สงสัยในตัวพวกคุณ แต่การตายของพ่อฉันน่าสงสัยเกินไปจริงๆ พอกินยาของพวกคุณลงไปก็รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก! ทำไมพวกคุณถึงยังสบายใจกันอยู่ได้!”
“ไม่รู้ว่ายังมียาที่กินเหลืออยู่ไหม นำมาให้พวกเราตรวจสอบได้ แต่ตามประวัติคนไข้ยาที่จ่ายให้คุณหวงไม่มีปัญหาอะไร”
และก่อนจ่ายยาได้ถามคุณหวงแล้วว่าเคยแพ้ยาหรือเปล่า ยาอะไรทานได้ ยาอะไรทานไม่ได้ ก็ถามอย่างละเอียดทั้งหมดแล้ว สุดท้ายจึงเจาะน้ำเกลือให้คุณหวง จ่ายยาและให้เขากลับบ้าน
“ยาที่พวกคุณจ่ายให้ไม่ทันถึงอาหารสามมื้อก็กินหมดแล้ว! หากรู้แต่แรกว่าเป็นอย่างนี้ พวกเราไม่มีทางให้พ่อกินหรอก!”
พี่หวงถลึงตามองหมิงอี๋หานอย่างเดือดดาล
“พี่ชายท่านนี้พูดจาต้องรับผิดชอบ คุณน่าจะรู้ว่าคนคนหนึ่งของที่กินเข้าไปทุกวันล้วนไม่เหมือนกัน คุณถือดีอะไรมาบอกว่าพ่อคุณกินยาของโรงพยาบาลเราเข้าไปก็ตายเสียแล้ว?”
เนี่ยเฟิงหรี่ตา ยิงคำถามนี้ใส่พี่หวงอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
พี่หวงโกรธจนอยากจะเอาชีวิตทันที “พวกคุณก็แค่รังแกคนซื่อสัตย์อย่างพวกเรา รู้ว่าพวกเราไม่มีการศึกษาอะไร! แต่หลังจากที่พ่อฉันกลับไป วันหนึ่งสามมื้อล้วนกินแต่โจ๊กเปล่า เขาบอกว่ารู้สึกตัวร้อนไม่อยากอาหาร พวกเราเอาเนื้อให้เขาก็ไม่กิน! ฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าหนึ่งวันสามมื้อกินแต่โจ๊กเปล่า แล้วยังกระอักเลือดตายได้!”
“จริงด้วย โรงพยาบาลของพวกคุณนี่ยังไงกัน วันนี้พวกเราก็แค่มาทวงความยุติธรรม แต่พวกคุณถึงกับคิดจะปัดความรับผิดชอบมาให้พวกเรา นี่ทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า!”
ภรรยาของพี่หวงเช็ดน้ำตาที่ห่างตา จากนั้นก็พูดต่อว่า
“ที่พวกเรามาที่นี่ ไม่ได้ต้องการให้พวกคุณชดใช้ และไม่ได้ให้พวกคุณทำยังไง พวกเราก็แค่อยากจะมาทวงความยุติธรรมแทนพ่อเท่านั้น แต่การแสดงออกของพวกคุณน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่า!”
ทวงความยุติธรรม?
เหอะ มีเรื่องบังเอิญแบบนั้นที่ไหนกัน หากมารักษาเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน อย่างนั้นพ่อเขาตายแล้ว ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก็จัดงานศพเสร็จแล้ว ทำไมถึงพึ่งมาทวงความยุติธรรมเวลานี้ด้วย?
แถมยังเลือกเวลามาทวงความยุติธรรมตอนคนของกรมกำกับดูแลยามาที่นี่ด้วย นี่ไม่แปลกไปหน่อยหรือ?
อีกทั้งเวลาที่สองคนนี้พูดดวงตาก็หลุกหลิก น้ำตาก็แค่ฝืนเค้นออกมา ผู้ชายคนนั้นที่สุดแล้วทำได้เพียงร้องตะโกนอยู่ตรงนั้น กระทั่งน้ำตายังบีบไม่ออก คล้ายกับว่าพวกเขามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์
“ทุกเรื่องต้องมีหลักฐาน หากคุณบอกว่าพ่อคุณมารักษาที่นี่แล้วตาย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะส่งพ่อคุณไปให้หมอนิติเวชทำการผ่าตัด เป็นอย่างไร?”
เนี่ยเฟิงไม่สนว่าพวกเขาจะพูดอะไรบ้าง ที่ได้ผลตรงไปตรงมาที่สุดก็คือการส่งให้หมอนิติเวชทำการชันสูตร เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไรกันแน่ ถึงทำให้บิดาของเขาถึงแก่ความตาย
สามีภรรยาวัยกลางคนลอบแลกเปลี่ยนสายตากัน ฝ่ายผู้หญิงร้องไห้เสียงดังขึ้นมาทันที
“พ่อของเราถูกฝังไปแล้ว หรือคุณยังจะให้ขุดเขาออกมาจากสุสานอีก! เห็นๆ อยู่ว่าพวกคุณนั่นแหละที่จ่ายยาให้เขาไม่ถูก ทำให้เขาตาย ตอนนี้พวกคุณต้องการปัดความรับผิดชอบใช่ไหม?!”
“จริงด้วย นี่นับเป็นเหตุผลอะไรกัน?”
พวกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเริ่มพากันซุบซิบนินทาแล้ว ญาติคนไข้บางส่วนที่อยู่บนระเบียงทางเดินเผยสีหน้าลังเลออกมา ในใจเป็นกังวลอย่างมาก กังวลว่าสถานการณ์ของพวกเขาจะเหมือนกับสามีภรรยาวัยกลางคนคู่นี้
“พวกเราไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ พวกเราเพียงต้องการพิสูจน์ความจริง ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าพ่อของคุณตายเพราะได้รับการรักษาจากเราหรือไม่ และสาเหตุที่ทำให้ตายเป็นยาหรือว่าอย่างอื่น? พวกเรายังไม่รู้สักอย่าง หากต้องการความจริง ก็ต้องทำการผ่าตัดชันสูตร ทำไม? หรือพวกคุณไม่คิดจะค้นหาความจริง?”
เนี่ยเฟิงยืดตัวตรง มีเหตุก็ต้องมีผล
“โธ่! พ่อผู้อาภัพของฉัน ทำไมท่านถึงอาภัพเช่นนี้ ตายก็ยังไปสู่สุคติไม่ได้ คนอื่นต่างคิดจะขุดพ่อออกมา!”
“ยอมรับว่าตัวเองผิดมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำไมถึงทำกับคนน่าสงสารอย่างพวกเราแบบนี้ด้วย!”
ทั้งสองคนเริ่มร้องไห้ตีอกชกหัว ฝ่ายผู้หญิงถึงขั้นโผเข้าไปหาคนของกรมกำกับดูแลยาเพื่อขอร้องให้ช่วยทวงความยุติธรรมให้ “ทุกท่าน ขอพวกคุณช่วยเมตตา มอบคำชี้แจงให้พวกเราสักครั้งด้วยเถอะ!”
หัวหน้าทีมหน่วยย่อยขมวดคิ้วแน่น เขาเห็นสองคนนี้ร้องไห้เสียงดัง ในใจก็เกิดความสงสารขึ้นมาทันที แต่สิ่งที่เนี่ยเฟิงพูดมาก็ถูก จำเป็นต้องสืบหาสาเหตุการตายให้ชัดเจน ถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หากตอนนี้ผลีผลามตัดสินไปแล้วก็ ก็ล้วนไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายไหนทั้งสิ้น
ตอนที่หัวหน้าทีมเตรียมจะเอ่ยปากให้สามีภรรยาวัยกลางคนแจ้งให้ตำรวจจัดการ ก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรี่เข้ามาอย่างเร่งร้อน
“แย่แล้ว คณบดี ที่ด้านนอกมีคนมาดึงแผ่นคำขวัญแล้ว!”
หมิงอี๋หานกำหมัด “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“พวกเราเองก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน คุณออกไปดูเองดีกว่าค่ะ!”
หมิงอี๋หานกับเนี่ยเฟิงสบตากัน ทั้งสองรีบเดินออกไป หัวหน้าทีมก็พาสมาชิกของตนเองออกไปดูเช่นกัน
“โรงพยาบาลคังหมิงบกพร่องในการรักษาแต่ไม่ยอมรับ! คืนขาของฉันมา! คืนขาของฉันมา!”
“โรงพยาบาลคังหมิงดีแต่พูดจาสวยหรู! ลูกฉันรักษาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ใบหน้าชักเกร็งอยู่ตลอดเวลา! หรือนี่ไม่ใช่บกพร่องในการรักษาใช่ไหม!”